ตอนที่ 494 หมิงอวี้จากไป
หมิงอวี้ร้อนรนที่จะจากไปอย่างยิ่ง นางกลัวว่าจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงวันที่จะได้ออกจากวังจึงคอยเร่งอยู่ทุกวัน กระทั่งฮ่องเต้มีราชโองการอนุญาตให้นางออกไปพักฟื้นยังพระตำหนักข้างนอก แต่เพราะร่างกายนางไม่พร้อมจึงส่งคนไปแจ้งจวงไท่เฟย ให้นางส่งคนสนิทไปดูแลหมิงอวี้
เซียงฉืออยากติดตามไปดูแลหมิงอวี้แต่ถูกปฏิเสธ
ขณะใกล้ถึงเวลาขึ้นรถ เซียงฉือมองหมิงอวี้อย่างเศร้าใจ แต่หมิงอวี้ยิ้มให้นางอย่างโล่งใจ
นางรับปากหรงจิงไปแล้วว่าจะไม่เปิดปากอีก
แต่นางเห็นสายตาเซียงฉือแล้วทำให้อดไม่ได้ จึงดึงมือนางมาเขียนตัวหนังสือลงไป
‘มีคนคิดไม่ดีกับเจ้า เจ้าต้องระวังโหรวผิน’
เซียงฉือผงกศีรษะ นางกอดหมิงอวี้ร้องไห้โฮ หมิงอวี้เป็นเพื่อนของนาง เป็นน้องสาวนาง นางไม่ได้ดูแลหมิงอวี้ให้ดี จึงทำให้หมิงอวี้ต้องถูกทำร้ายเช่นนี้
หมิงอวี้ก็ไว้ใจเซียงฉือที่สุดเช่นกัน แม้แต่คำพูดที่นางไม่บอกหรงจิงแต่กลับบอกกับเซียงฉือ
เพราะว่าเรื่องทั้งหมดที่นางได้ยินมาล้วนพุ่งไปที่เซียงฉือ ถึงนางจะไม่เข้าใจว่าเซียงฉือที่เป็นเพียงข้าราชสำนักสตรีเล็กๆ คนหนึ่ง เหตุใดจึงมีคนต้องการคิดร้ายนาง อย่างไรก็ตามนางยังคงหวังให้เซียงฉืออยู่รอดต่อไป
พอเซียงฉือรู้ว่ามีคนจะจัดการนางจึงเกิดความตระหนก แต่เวลานี้นางอัดอั้นและตำหนิตัวเองมากกว่า
ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไรตอบคำเตือนทิ้งท้ายของหมิงอวี้ เพียงเก็บความหวาดกลัวลงในส่วนลึกของใจไม่ให้ใครเห็นเท่านั้น
นางรู้ว่าการที่หมิงอวี้เพิ่งพูดคำพูดนี้ออกมาในตอนท้ายเช่นนี้จะต้องไม่ใช่เรื่องโคมลอยไร้หลักฐาน และเป็นไปได้ว่าหมิงอวี้ต้องตกน้ำก็เพราะสาเหตุนี้
นางย่อมไม่กล้าเปิดเผยออกมา ซึ่งจะทำให้พวกไม่หวังดีคิดร้ายต่อหมิงอวี้
หมิงอวี้ขึ้นรถ หรงจิงยืนโบกมือให้นางอยู่บนกำแพงเมือง หมิงอวี้หมุนตัวเข้าไปในรถม้า ชายเสื้อสีชมพูอ่อนหายไปเสียงกระดิ่งรถม้าดังขึ้นติงตัง
ความเร็วค่อยๆ เร่งขึ้น หันหลังให้กับพระราชวัง มุ่งหน้าออกไปไม่เห็นฝุ่น
ด้านหลังมีผู้รับใช้ติดตามมากมาย ทหารองครักษ์ก็มากเช่นกัน แต่ในสายตาเซียงฉือ หมิงอวี้เหมือนตัวคนเดียว หันหลังให้กับป้อมปราการนี้ พกพาความเสียใจและผิดหวังเต็มกายออกไปจากที่นี่
นางยังจำที่หมิงอวี้บอกกับนางได้ว่าที่นี่เป็นบ้านของนาง นางชอบความมีสีสันและงดงามของที่นี่ สตรีงดงามราวภาพวาด ชอบพี่ชายที่เอาใจใส่นางอย่างยิ่ง ชอบที่มีเซียงฉือเป็นเพื่อนคุยกับนาง
ตลอดมาโลกของนางเรียบง่าย แต่ที่นางชื่นชอบ สถานที่ที่งดงาม กลับกลายเป็นสถานที่ที่ต้องหลีกหนีออกไปอย่างรีบร้อนในใจนาง
สถานที่นั้นไม่ใช่บ้านของนางอีกต่อไป เป็นเพียงสวนดอกไม้ที่มืดมน
เซียงฉือคิดหาคำพูดที่จะรั้งนางไม่ได้ แต่ก็ไม่เข้าใจตนเองว่าทำไมจึงได้ตัดใจอำลานางยากนัก
ได้แต่มองส่งนางจากไป เมื่อหันกายกลับก็เห็นหรงจิงยืนอยู่บนกำแพงเมือง กับโหรวผินที่ยืนอยู่ข้างกายเขา
สายตาเซียงฉือค่อยๆ หดลง นางหมุนตัวกลับเข้าวัง
ข้างนอกวังสำหรับนางแล้วคือความดึงดูดใจตลอดกาล แต่เซียงฉือรู้มากขึ้นว่าตนเองจะต้องใช้ชีวิตอย่างไร
‘ระวังโหรวผิน มีคนจะทำร้ายเจ้า’
คำสองประโยคนี้เหมือนถูกสลักลงไปในกระดูก ทำให้นางเหน็บหนาวเสียดกระดูก
นางอยู่ในศูนย์กลางวังวนแห่งศักดาอำนาจ สิทธิประโยชน์ของแคว้นเซียวจิ่งถึงจะเป็นเพียงตัวประกอบเล็กๆ ไม่เป็นที่รู้จัก ก็ยังจำเพาะต้องเป็นเช่นนี้ที่มีคนคิดปองร้ายนาง
นางคิดไม่ออกว่าตนเองมีอะไรแปลกพิเศษ แต่นางไม่ต้องการที่จะถูกใครรังแกตามอำเภอใจเช่นนี้ ดังนั้นนางจะต่อต้าน จะไม่ยอมแพ้เพียงเท่านี้
เซียงฉือหันกลับไปเห็นประตูวังสีแดงค่อยๆ ปิดลง อีกทั้งด้านหลังของรถม้าที่ห่างไกลและเล็กลงทุกทีตรงซอกประตู รอยยิ้มของนางผุดคำอวยพรอีกทั้งยังมีความอิจฉาชื่นชม
ตอนที่ 495 เริ่มคัดเลือกสาวงาม
เซียงฉือส่งองค์หญิงหมิงอวี้ไปแล้ว ถึงนางจะใส่ใจกับเรื่องนี้มาก แต่ช่วงเวลาหลังจากนั้นนางกลับยุ่งจนไม่อาจปลีกตัวได้
เป็นเวลาติดต่อกันหลายวันที่นางถูกซูเฟยหรือกุ้ยเฟยเรียกตัวไปช่วยงานที่ข้างกายพวกนาง พวกนางเปลี่ยนแปลงวิธีที่ทำให้เซียงฉือต้องยุ่งจนเท้าแทบไม่สัมผัสพื้น
ในวังมีการคัดเลือกสาวงามสามปีครั้ง ฝ่ายในของหรงจิงเงียบเหงาตลอดมา ถึงตอนนี้แล้วก็ยังไม่มีฮองเฮา มีเพียงกุ้ยเฟย ซูเฟย จิ้งเฟยยังไม่ครบสี่พระสนม ตำแหน่งผินมีเพียงโหรวผินคนเดียว ส่วนกุ้ยเหริน ฉังไจ้ ตาอิ้งนั้นแทบจะนับตัวได้ ช่างมีจำนวนน้อยจนน่าสงสาร เป็นถึงประมุขของแผ่นดิน กลับไม่อาจเทียบกับเศรษฐีคนหนึ่งได้
แต่ไรมาหรงจิงเข้าสู่ฝ่ายในน้อยมากซึ่งเป็นเรื่องน่าเห็นใจ ที่ผ่านมาจะเพียงคัดเลือกคนที่มีพร้อมทั้งรูปโฉมและจริยาไม่กี่คนจากครอบครัวขุนนางหรือวงศาคณาญาติที่มีความดีความชอบให้เข้าวัง แล้วแต่งตั้งเป็นฉังไจ้หรือตาอิ้งตามขีดขั้นของบิดาเพียงเท่านั้น
ครั้งนี้ขุนนางใหญ่ในราชสำนักพากันยื่นหนังสือกราบทูลไม่ขาด เนื่องเพราะทายาทของหรงจิงมีน้อยมาก ดังนั้นขุนนางใหญ่ทั้งหลายจึงมีมติร่วมกันให้หรงจิงคัดเลือกสนมนางใน หรงจิงเห็นเหล่าพวกขุนนางใหญ่หนวดขาวสะเปะสะปะกันวุ่นวาย ทั้งยังอ้างคำพูดคุณธรรมอะไรกับเขาประเภท
‘ความอกตัญญูมีสามประการ การไร้ทายาทหนักหนาที่สุด’
หรงจิงรำคาญ ดังนั้นจึงมีคำสั่งให้คัดเลือกสาวงามในปีนี้ นี่จะเป็นการคัดเลือกสนมนางในครั้งใหญ่ครั้งแรกตั้งแต่หรงจิงขึ้นครองบัลลังก์ จึงต้องจัดให้ยิ่งใหญ่ ไม่กล้าขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย
ยุ่งวุ่นวายกันมาตลอดจนกระทั่งถึงวันที่สิบเดือนสิบในที่สุด ซึ่งถือเป็นวันดีสุดยอดที่ขุนนางผู้หยั่งรู้ฟ้าดินเป็นผู้ตรวจออกมา
เซียงฉือถูกซูเฟยนำตัวมาจากข้างกายฮ่องเต้หลายวัน ช่วงเช้าที่ฮ่องเต้ออกว่าราชการนางก็จะติดตามซูเฟยตรวจสอบความเรียบร้อยทั่วไป วันนี้นางรับหน้าที่เป็นข้าราชสำนักสตรีที่คอยบอกทาง ยืนอยู่หน้าประตูตำหนักเชียนสี่ รับผิดชอบตรวจสอบการแต่งกายของสาวงามทั้งหลายว่าถูกต้องหรือไม่ และช่วยชี้ทางเข้าสู่ตำหนักแก่พวกนาง
แต่เช้าตรู่ฟ้ายังสลัว แต่ทั่วทั้งวังคึกคักอย่างยิ่ง ทุกคนต่างมีงานที่ต้องทำ จึงตื่นตัวกันเต็มที่ในทันทีแล้วรับผิดชอบตามหน้าที่
เซียงฉือแต่งกายเรียบร้อยแล้วก็ไปปรากฏตัวพร้อมซู่เวิ่นอยู่ตรงประตูหน้าตำหนักเชียนสี่ทั้งสองคน
งานวันนี้เอิกเกริกอย่างยิ่ง ข้าราชสำนักสตรีที่อยู่ในหน้าที่เกือบทั้งหมดถูกเรียกให้ไปช่วยงาน ซู่เวิ่นกับนางต่างเป็นพวกจัดการงานได้ดีจึงให้มาอยู่ที่ตรงนี้ ซึ่งอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้กับซูเฟยและกุ้ยเฟย ทำให้ได้ผ่านตาบรรดาหญิงสาวเหล่านี้ด้วย
เซียงฉือเดินไปข้างกายซู่เวิ่น ทำความเคารพแล้วพูดยิ้มๆ
“ข้าคิดว่าต้องทำงานคนเดียวเสียอีก ยังกลัวจะเหงาอยู่เลย ตอนนี้มีพี่ซู่เวิ่นเป็นเพื่อน ไม่โดดเดี่ยวอีกแล้ว”
ซู่เวิ่นยิ้มน้อยๆ พูดว่า
“งานใหญ่ในวังมีเพียงไม่กี่งาน การคัดเลือกสาวงามนี้ก็นับเป็นงานมงคลงานหนึ่ง ซูเฟยเพิ่งจะทรงได้รับอำนาจดูแลฝ่ายในเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงทรงใส่ใจในทุกจุด”
เซียงฉือฟังจบก็ผงกศีรษะ ทั้งคู่เปิดสมุดรายชื่อในมือ มองดูรายชื่อแน่นขนัดในนั้นแล้วเกิดความสงสาร
“ซูเฟยทรงรอบคอบเสมอมา”
ซู่เวิ่นยิ้มแล้วถอยไปข้างหนึ่ง ยืนอยู่คนละข้างกับเซียงฉือ จัดแจงรูปลักษณ์ หน้าตานอบน้อมกวดขัน เมื่อได้ยินเสียงระฆังยามเช้าตีดัง ก็รู้ว่าประตูทั้งสี่เปิดออกแล้ว คอยต้อนรับคนใหม่ที่กำลังมาถึง
ฮ่องเต้อีกทั้งซูเฟย กุ้ยเฟย จิ้งเฟยทั้งสี่คนนั่งอยู่บนเกี้ยวทยอยออกมาจากอุทยานหลวง เกรียงไกรเป็นที่สะดุดตา
เซียงฉือลอบทอดถอนใจแล้วทำความเคารพอย่างนอบน้อมพร้อมซู่เวิ่น
“ถวายบังคมฝ่าบาท พระสนมทุกพระองค์เพคะ”
หรงจิงได้ยินเสียงเซียงฉือ จึงหยุดเท้า
เปรยขึ้นว่า
“ซูเฟยยืมตัวข้าราชสำนักสตรีคนสนิทของข้ามาเสียหลายวัน จนข้าแทบจะลืมไปแล้วว่านางหน้าตาเป็นอย่างไร”
ซูเฟยได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแล้วรีบเดินเข้าไป
“โธ่ ฝ่าบาทเพคะ หลายวันนี้งานยุ่งมากจริงๆ จนหม่อมฉันแทบแย่แล้วเพคะ โชคดีที่ฝ่าบาททรงฝึกสอนน้องเซียงฉือนางมีความสามารถเก่งที่สุด วันนี้หม่อมฉันจึงจัดให้น้องเซียงฉือรับใช้ฝ่าบาทอย่างใกล้ชิด ไม่ทราบฝ่าบาททรงพอพระทัยหรือไม่เพคะ”