ลู่จิ้นยวนไม่ได้โกรธอะไร พยักหน้าด้วยมาดนิ่งสงบแม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ตึงเครียดเช่นนี้ “ใช่แล้ว แม่ของลูกอาจจะไปแต่งงานกับผู้ชายที่ไหนก็ได้แล้ว พวกเขาก็จะมีลูกเป็นของตัวเอง พอถึงตอนนั้น แม่ของลูกก็ไม่สนใจลูกแล้ว”
คำข่มขู่นี้ สำหรับเด็กน้อยนั้นถือได้ว่ารุนแรงเป็นอย่างมาก ใบหน้าเล็กๆ ซีดเผือดตื่นตะลึง คิดถึงสถานการณ์นั้นที่จะเกิดขึ้น ก็รู้สึกหวาดผวาตื่นตระหนกในทันที
ลู่จิ้นยวนเมื่อเห็นว่าบรรลุผลตามเป้าหมายแล้ว ก็พูดอย่างช้าๆ ว่า “เพราะฉะนั้นนะไอ้ลูกชาย ตอนนี้พวกเราควรที่จะรวมพลังกัน ใช้แรงทั้งหมดที่มีกำจัดพวกบรรดาหนุ่มดอกไม้ที่เกาะแกะอยู่รอบกายแม่ของลูก รีบๆ มาช่วยพ่อ พ่อรับประกันเลยว่าลงมือแล้วต้องจะสำเร็จอย่างแน่นอน”
หลังจากที่สองคนพ่อลูกทำข้อตกลงขั้นต้นกันสำเร็จ โม่โยวคุยโทรศัพท์เสร็จก็เดินเข้ามาพอดี ลู่อันหรานหันไปส่งสายตาให้พ่อตนโดยมีความนัยที่ว่า “คอยดูผมนะ”
เขาวิ่งออกไป กอดเข้าไปที่ขาของโม่โยวเต็มรัก เงยหน้าขึ้นโดยที่สีหน้าแสดงถึงการเฝ้ารอคอยอย่างโหยหาแล้วเอ่ยออกมาว่า “แม่ แม่คลอดน้องชายไม่ก็น้องสาวสักคนให้ผมหน่อย จะได้มาเล่นด้วยกันกับผม”
ประโยคนี้ ทำให้ทั้งสองคนตื่นตะลึงไปเลย
ลู่จิ้นยวนมองเจ้าลูกชายอย่างตกใจ คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมาไม้นี้ แม้ว่านี่จะเป็นความต้องการที่อยู่ภายในใจเขา แต่ว่าตอนนี้ก็คงจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก
โม่โยวตกใจนิ่งค้างไป และต่อมาก็ตามมาด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน มองไปที่ลู่จิ้นยวนอย่างอายๆ ไม่รู้ว่าจะตอบเจ้าตัวน้อยว่าอย่างไรดี
“เรื่องนั้น อันหรานหมายความว่า เขาอยู่คนเดียวที่บ้านคงจะเหงามาก อยากให้เธอมาหาเขาบ่อยๆ ตอนที่ว่างก็พาเขาออกไปเล่นบ้าง” ลู่จิ้นยวนพูดอย่างประนีประนอม
เจ้าตัวน้อยทำปากยื่น แต่ก็ยังคงพยักหน้าไปตามน้ำไป “แม่ วันนี้เป็นวันหยุด ผมไม่ต้องไปโรงเรียน พาผมออกไปเที่ยวหน่อยนะครับ”
โม่โยวปราถนาที่อยากจะรีบจบหัวข้อสนทนาเมื่อสักครู่นี้ จึงรีบพยักหน้ารับคำโดยทันที
ลู่จิ้นยวนเองก็อยากจะไปกับสองแม่ลูกด้วย แต่ว่าเขามีงานที่ต้องทำอยู่ วันนี้มีประชุมที่สำคัญถึงสองครั้ง ดังนั้น จึงทำได้เพียงแต่อิจฉาลูกชายตัวเองจนตาร้อน
โม่โยวพาลู่อันหรานไปสวนสัตว์ และยังพาไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ตกบ่ายก็ไปดูการ์ตูนในโรงหนัง หลังจากนั้นก็เตรียมตัวไปกินข้าวที่ชั้นบนสุดของห้างสรรพสินค้า
เคราะห์ร้าย ปรากฏว่าพวกเธอได้ไปเจอเข้ากับคนคุ้นหน้าที่ห้างนั้น แถมยังเป็นคนที่โม่โยวไม่อยากที่จะเผชิญหน้าอีกด้วย
เธอจูงมือลูกชาย รวบรวมความอดกลั้นแล้วทักทายออกไป “ท่านป้า มาเที่ยวเล่นเหมือนกันเหรอคะ”
ไม่ผิดแล้ว คนที่ทั้งสองคนบังเอิญไปเจอเข้า ก็คือแม่ของโม่เทียนยวี๋ พานจื้อหลาน
พานจื้อหลานแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพงเฉกเช่นพวกคุณนายชั้นสูง แถมยังสวมใส่แว่นกันแดด แววตาที่ใช้มองโม่โยวเย็นชาเป็นอย่างมาก ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ออกมาข้างนอกก็ยังมาเจอกับแกได้ เคราะห์ซวยจริงๆ เลย”
“ฉันถามหน่อย ที่ให้เธอไปบอกลูกชายฉันให้ยกเลิกงานแต่งไปน่ะ ได้บอกไปหรือยัง”
โม่โยวเม้มริมฝีปาก ถูกถามคำถามแบบนี้ออกมาต่อหน้าลูกชายแล้ว เธอรู้สึกอับอายรับไม่ได้เป็นอย่างมาก
“ท่านป้า เทียนยวี๋ใกล้จะกลับมาแล้ว เรื่องนี้ พวกเรารอให้เขากลับมาก่อนแล้วค่อยมาคุยกันจะได้ไหมคะ วันนี้ฉันมีธุระอื่นด้วย ขอตัวก่อนนะคะ”
เธอกลัวว่าถ้ายังอยู่ที่นั่นนานไปมากกว่านี้ อีกฝ่ายจะทำกับเธอเหมือนเมื่อคราวที่แล้วที่ห้องทำงาน ถ้าเป็นตามปกติก็ไม่เป็นอะไร แต่ว่าวันนี้อันหรานก็อยู่ด้วย
แต่พานจื้อหลานเป็นคนแบบไหนมีหรือที่จะปล่อยให้เธอจากไปง่ายๆ
“หยุดก่อน ฉันให้แกเดินออกไปแล้วเหรอ กลางวันแสกๆ แบบนี้จะรีบหนีไปไหน ทำไม ละอายใจหรือไง”
เมื่อเธอกล่าวจบ ดวงตาของเธอก็พลันเสมองไปทางลู่อันหรานที่ทำสีหน้าเคร่งขรึมจ้องเธอเขม็งมาโดยตลอด “อุ้ย นี่เด็กที่ไหนเนี่ย รู้จักจ้องคนสะตาเขม็งเชียว ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนเลยนะเนี่ย”
สีหน้าของโม่โยวเย็นเฉียบ จ้องเธอไปตรงๆ “ท่านป้าคะ ถ้าท่านมีอะไรไม่พอใจให้มาลงกับฉันก็พอแล้วค่ะ เขายังเป็นแค่เด็กตัวน้อยๆ เท่านั้นเองค่ะ ท่านไม่จำเป็นต้องพูดจาโหดร้ายเสียขนาดนี้เลยนะคะ”
พานจื้อหลานไม่คาดคิดเลยว่าเธอจะกล้าพูดออกมาแบบนี้ ชั่วขณะนั้นก็กรุ่นโกรธ “แกคิดว่าแกเป็นใคร มาบอกว่าฉันพูดจาโหดร้าย แกสมควรที่ฉันจะพูดจาดีๆ ด้วยอย่างงั้นเหรอ”
“ฉันไม่เคยเห็นแกไร้ยางอายแบบนี้มาก่อนเลย จ้องคิดจะจับลูกฉันไม่ยอมปล่อย ชั้นต่ำ”
ลู่อันหรานเจ้าตัวน้อยโกรธขึ้นมาแล้ว ใบหน้าเล็กๆ นั้นเย็นเฉียบ “คุณป้าครับ หุบปากจะได้ไหมครับ”
ขณะที่เขาพูด ก็พุ่งตัวออกไป ใช้เท้าเล็กๆ ข้างนั้นเตะไปที่ขาของพานจื้อหลานอย่างเต็มแรง แม้ว่าเขาจะตัวเล็ก แต่อย่างไรก็ตามเขาก็เคยถูกฝึกมาในค่ายทหาร การที่จะต่อกรกับหญิงชราคนหนึ่งนั้นไม่ได้คณนามือเขาเลย
“โอ้ย……..”
พานจื้อหลานที่สวมรองเท้าส้นสูง เจ็บจนแม้แต่จะยืนให้มั่นคงก็ยังยาก จึงเอาก้นกระแทกลงไปที่พื้น ล้มลงไปอย่างรุนแรง
เจ้าตัวเล็กหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างชอบใจ ตัวตนเขาเป็นถึงคุณชายน้อยแห่งตระกูลลู่ เคยได้ลำบากเสียที่ไหนกัน ต่อให้เขาไปยุแหย่จนฟ้าถล่มดินทลาย ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรเขาหรอก
ดังนั้น ลู่อันหลานไม่ได้รู้สึกกดดันกังวลต่ออีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เปิดฝาแก้วกาแฟที่อยู่ในมือเขาออก แล้วสาดเข้าไปที่ใบหน้าของพานจื้อหลานอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
“อ๊า……….”
“อันหราน”
เมื่อสักครู่โม่โยวตกใจจนทั้งร่างตัวแข็งทื่อ เมื่อได้สติคืนกลับมาก็ตกใจจนหัวใจจะวาย รีบดึงอันหรานกลับมาแล้วก้าวถอยหลังไปหลายก้าว
บนหัวและใบหน้าของพานจื้อหลานเต็มไปด้วยกาแฟ หยาดน้ำกาแฟค่อยๆ หยดลงมา ดูแล้วก็เหมือนกับน้ำเน่า ดูโสโครกโสมมมาก
เป็นคุณหญิงคุณนายมาแล้วตั้งหลายปี ที่ผ่านมาก็มีแต่คอยหยิ่งทะนง เมื่อถูกทำแบบนี้แล้วเธอก็มีใจที่ราวกับอยากจะฆ่าคนขึ้นมา กัดฟันกรอดจนกรามขึ้นเป็นสัน สีหน้าอาฆาตแค้น
“ไอ้เด็กเวร ฉันจะฆ่าแก”
ลู่อันหรานดึงมือออกมาจากโม่โยว แล้วพลันเอามือกอดอกเดินขึ้นหน้ามา เชิดหน้าขึ้นสูง โกรธขึ้งจนเกินขีดสุด
“ผมกลัวว่าคุณป้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะฆ่าผมหรอกครับ ดูแล้วน่าจะอายุ 50 กว่าๆ แล้วใช่ไหมครับ แก่เสียขนาดนี้จะพูดจะจาก็ระวังหน่อยจะดีกว่านะครับ สะสมประสบการณ์ด้านมารยาทในการสนทนาไว้บ้าง ระวังตัวหน่อยว่าวันหนึ่งที่ได้ลงโลงไปยมโลกแล้ว จะไปส่งผลกระทบกับเรื่องการเกิดใหม่ในชาติหน้านะครับ”
ขณะที่เขาพูดอยู่ ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายภาพพานจื้อหลานไปเสียหลายภาพ
พานจื้อหลานโมโหเสียจนตัวสั่นระริก อวัยวะภายในปั่นป่วนจนเจ็บปวดไปหมด โกรธจนพูดอะไรไม่ออก จ้องไปที่โม่โยวตาเขม็ง นันย์ตาโกรธขึ้งเสียจนแดงก่ำไปหมด
ที่นี่เป็นห้างสรรพสินค้า สถานการณ์โหวกเหวกทางด้านนี้จึงทำให้ดึงดูดให้ผู้คนมารุมล้อมกระซิบกระซาบคุยกัน
โม่โยวกลัวว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ตัวสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดผวา พานจื้อหลานไม่เคยได้รับประสบการณ์อันน่าอับอายขายขี้หน้าเช่นนี้มาก่อน เธอฝังความแค้นทั้งหมดนี้เอาไว้ที่ตัวโม่โยว
ในมุมมองของเธอแล้ว เรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี้ก็คือตัวโม่โยวเองที่นำพามันมาให้เธอ ทั้งสองคนนี้ช่างเหมาะกับประโยคที่ว่ากันว่า ฝนตกขี้หมูไหลคนจัญไรมาพบกัน เพราะไม่แน่ว่าเด็กคนนี้จะได้รับการอบรมสั่งสอนมาจากโม่โยวยัยผู้หญิงชั้นต่ำคนนี้
สถานการณ์ทางฝั่งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เพียงไม่นานนักผู้จัดการก็เข้ามา เขามีท่าทางที่ดูเหมือนว่าจะรู้จักกันกับพานจื้อหลานอยู่แล้ว เมื่อเห็นสภาพของเธอก็มีดวงตาเบิกกว้าง รีบกระตือรือร้นเข้าไปหาในทันที
“โม่ คุณนายโม่ ท่าน…….”
“หุบปาก รีบพยุงฉันลุกขึ้นสิ”
“อ้อ ครับครับได้ครับ”
หลังจากที่พานจื้อหลานลุกขึ้น ก็จ้องเขม็งไปที่ทั้งสองคน ท่าทางแบบนั้น ราวกับว่าเสี้ยววินาทีต่อไปจะถลาพุ่งเข้าไปฉีกทึ้งร่างเนื้อของพวกเขา
เจ้าตัวน้อยแอบกลอกตาขึ้นอย่างเงียบๆ เขารู้สึกว่าการสั่งสอนเมื่อสักครู่นี้ของเขานั้นเบาไปเสียด้วยซ้ำ เขาไม่เคยเห็นหญิงชราคนไหนที่โหดร้ายไปเสียยิ่งกว่าป้าแก่คนนี้
“คุณแม่ พวกเราไปกันเถอะครับ”
เขาหมุนตัวไปดึงมือของโม่โยว เตรียมจะเดินไปจากที่นี่
แต่คำเรียกเมื่อสักครู่นี้ถูกพานจื้อหลานได้ยินเข้า
“เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้แกเรียกเธอว่าอะไรนะ แม่งั้นเหรอ”
ใจของโม่โยวนั้นสั่นไหวอย่างรุนแรง เกิดความโกลาหลอยู่ภายในใจเล็กน้อย
ลู่อันหรานหมุนตัวไปหาอย่างเบื่อหน่าย มองไปอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันเรียกว่าแม่ มีปัญหาอะไรอย่างนั้นเหรอ ดูเหมือนว่าป้าจะไม่ชอบใจเท่าไหร่นะ หรือว่าอยากจะมาเป็นแม่ของผมงั้นเหรอ”
ขณะที่เขาพูดนั้น ใบหน้าเล็กๆ นั้นเต็มก็ไปด้วยความเย็นชา “คุณนี่โตแต่ตัวจริงๆเลย น่าไม่อายเกินไปแล้ว พูดต่ออีกหน่อยแล้วกัน คุณหน้าตาอัปลักษณ์เสียขนาดนี้ จะมาคลอดลูกชายที่หล่อเหมือนผมได้อย่างไรกัน”