บ่วงแค้นแสนรัก – ตอนที่ 549 จับคู่ไขกระดูกได้แล้ว

เมื่อโทรศัพท์เสร็จ ซ่งรั่วอวิ้นจึงเดินออกมา

เธอจะไปเอาตัวอย่างเลือดด้วยตัวเองที่สนามบิน เรื่องนี้สำคัญมาก จะให้เกิดเรื่องผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว

แต่บังเอิญตรงที่ เมื่อเธอจะออกนอกบ้านก็ถูกหยงซือเหม่ยที่มาหาเธอเห็นเข้า “เป็นยังไงบ้าง เรื่องที่ให้เธอไปทำ ทำสำเร็จแล้วเหรอ?

ผู้หญิงคนนั้น ยินยอมที่จะจากไปหรือเปล่า?”

“ฉันกำลังช่วยคุณแม่ของเธอตามหาคนที่มีไขกระดูกที่เข้ากันได้ แค่เพียงหาเจอ เธอจะต้องยกลู่จิ้นยวนให้เธอแน่”

ซ่งรั่วอวิ้นพูดตามความจริง

“อะไรนะ?

หาไขกระดูกที่เข้ากันได้?

ซ่งรั่วอวิ้น เธอไม่ได้ล้อเล่นกับฉันหรอกนะ?

ถ้าหากหาไม่เจอ ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่มีวันไปจากลู่จิ้นยวนเหรอ?”

“ซือเหม่ย เรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้…”

“หึหึ ฉันว่าเเธอกำลังเล่นตลกกับฉันอยู่ ช่างเถอะ พูดอะไรกับคนแบบเธอก็สูญเปล่า ฉันสู้ไปหาเพื่อนของฉันยังจะดีกว่า ให้พวกเธอช่วยคิดหาวิธี”

“รอ รอเดี๋ยวก่อน พวกเธอจะคิดหาวิธีอะไร?”

ซ่งรั่วอวิ้นมีลางสังหรณ์ไม่ดีในทันที หลังจากที่หยงซือเหม่ยโตขึ้น นิสัยค่อนข้างดื้อรั้น จึงมีกลุ่มเพื่อนที่จิตใจไม่ค่อยดีชอบส่งเสริมให้เธอทำเรื่องไม่ดี

เธอกังวลว่าหยงซือเหม่ยจะคิดวิธีอะไรที่ร้ายแรง แล้วกลับเป็นการทำร้ายตัวเอง

“เรื่องนี้ เธอไม่ต้องสนใจ”

หยงซือเหม่ยไม่สนใจคำเกลี้ยกล่อมของซ่งรั่วอวิ้นสักนิด แต่กลับผลักเธอออก แล้วออกไปจากบ้าน

มองดูแผ่นหลังของเธอ ซ่งรั่วอวิ้นหมดหนทางเป็นอย่างมาก แต่ว่าเธอเป็นเพียงลูกเลี้ยง ถึงจะพูดอะไร เธอก็ไม่มีทางฟัง

เวินหนิงอยู่ภายในโรงแรม เล่นเป็นเพื่อนลู่อันหราน

ส่วนผู้ชายสองคนนั่น เธอไม่ได้สนใจใครทั้งนั้น

“อันหราน ดูอะไรอยู่เหรอ?”

เวินหนิงอาบน้ำเสร็จแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ ก็เห็นลู่อันหรานถือ ipad ดูอย่างจริงจังมาก

“ผมอยากไปที่นี่ ส่วนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ!”

ลู่อันหรานมองดูภาพใบปลิวบนรูปภาพอย่างตั้งหน้าตั้งตา

เห็นเขาอยากไปขนาดนั้น เวินหนิงเดินเข้าไป มองดูภาพใบปลิวบนนั้น “ลูกอยากไปขนาดนี้ งั้นพวกเราไปกันวันพรุ่งนี้”

“จริงเหรอครับ?

ดีมากจริง ๆ ครับ”

ลู่อันหรานดีใจจนกระโดดโลดเต้น “พวกเราเรียกคุณพ่อไปด้วยกันเถอะครับ”

เวินหนิงถอนหายใจ “แม่พาลูกไปไม่ดีเหรอจ้ะ?”

ลู่อันหรานเอนคอมองเธอ “คุณแม่ครับ ช่วงนี้คุณแม่ทะเลาะกับคุณพ่อใช่ไหมครับ?”

ถึงแม้ลู่อันหรานจะโง่ยังไงก็ดูออกได้ ว่าเวินหนิงกำลังหลบลู่จิ้นยวนอยู่

แต่ว่าทำไมนะ?

“ไม่ได้ทะเลาะกันจ้ะ เพียงแต่แม่คนเดียวสามารถพาลูกไปเที่ยวได้ แถมพ่อของลูกก็งานยุ่งมาก” คุ้นเคยกับชีวิตที่ไม่มีลู่จิ้นยวน

“งั้นก็ได้ครับ…”

ลู่อันหรานจึงทำได้เพียงรับปาก แต่ว่าอารมณ์ไม่ได้ดีขนาดนั้นเหมือนตอนแรก

เวินหนิงทำอะไรไม่ถูก ในเมื่อลู่จิ้นยวนเป็นคุณพ่อของเขา ดูเหมือนทำแบบนี้แน่นอนว่าทำให้เขาไม่ดีใจ แต่ว่าเธอไม่ทำแบบนี้ไม่ได้

ในตอนที่เวินหนิงกำลังคิดหาวิธีทำให้ลู่อันหรานดีใจอีกครั้ง โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก

เธอมองดู เป็นเมืองเจียงเฉิงด้านนู้นที่โทรมา จึงเดินออกไปรับสาย

คนที่อยู่อีกฝ่ายหนึ่งของโทรศัพท์เวินหนิงคิดไปคิดมา จึงโทรหาเย่ซือเยวี่ย

เธอไม่ได้ติดต่อกับเย่ซือเยวี่ยหลายวันแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง ได้เตรียมใจพร้อมสำหรับการผ่าตัดหรือยัง

โทรอยู่พักหนึ่งก็มีคนรับสาย “คุณป้าเย่เหรอคะ?

หนูคือเวินหนิงค่ะ หนูอยากจะคุยกับซือเยวี่ย”

“หนิงหนิง?

ได้จ้ะ ป้าจะบอกเธอให้ ช่วงนี้ซือเยวี่ยอารมณ์ไม่ค่อยดี หนิงหนิงหนูเกลี้ยกล่อมเธอเยอะ ๆ หน่อยนะ”

เมื่อวานคุณแม่เย่รู้สึกว่าท่าทางของเย่ซือเยวี่ยไม่ค่อยปกติ ทุกวันเวลาที่เหม่อลอยก็เปลี่ยนไปนานขึ้น ดังนั้นให้เวินหนิงชี้แนะเธอเยอะ ๆ จะได้ไม่ต้องคิดอะไรมั่ว ๆ

เวินหนิงตอบรับ แล้วโทรศัพท์ก็ถูกส่งให้กับเย่ซือเยวี่ย

“ซือเยวี่ย ตอนนี้ร่างกายเป็นยังไงบ้าง?

อันเฉินได้มาดูแลเธอหรือเปล่า?”

ถึงแม้จะอยู่ไกลถึงที่เมืองเจียงเฉิง แต่เวินหนิงก็รู้เรื่องที่อันเฉินกับเย่ซือเยวี่ยคบกันแล้ว

สำหรับทั้งสองคน เธอรู้สึกมาโดยตลอดว่าพวกเขาก็เหมือนกับคู่รักคู่แค้น ตอนนี้อันเฉินยินดีที่จะรับผิดชอบในเวลานี้ เธอรู้สึกว่าสามารถฝากเย่ซือเยวี่ยไว้กับเขาได้ ดังนั้นจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะคบกันอย่างดี

“มาแล้ว เพียงแต่ฉันให้เขากลับไปแล้ว”

น้ำเสียงของเย่ซือเยวี่ย สับสนอย่างพูดไม่ออก

เรื่องเมื่อวาน ทำให้เธอไม่ได้นอนหลับดีทั้งคืน

เธออดไม่ได้ที่จะคิด ถ้าหากว่าชีวิตนี้ไม่มีทางฟื้นฟูการมองเห็นได้ งั้นเป็นไปได้ไหมที่อันเฉินจะไม่มีทางยอมรับกับโลกภายนอกถึงการมีอยู่ของเธอ

ในเมื่อมีแฟนเป็นคนตาบอด สำหรับเขาคงจะเป็นเรื่องที่น่าขายขี้หน้ามาก

“ทำไมเหรอ เธอกับเขาทะเลาะกันเหรอ?”

เย่ซือเยวี่ยเงียบอยู่พักหนึ่ง “เขาไม่ยอมที่จะบอกเรื่องของฉันกับแม่ของเขา หรือว่ารู้สึกว่าการยอมรับฉันในตอนนี้ เป็นเรื่องน่าขายหน้า”

“จะเป็นไปได้ยังไง”

เวินหนิงปฏิเสธทันที อันเฉินไม่ใช่คนแบบนี้ ช่วงเวลานี้เขาวิ่งแล่นไปมาก็เพื่อเย่ซือเยวี่ย เขาผอมลงไปเยอะมาก ถ้าหากเขาไม่ยินยอม ใครจะไปบีบบังคับให้เขาทำแบบนี้ได้?

“ไม่แน่เขาอาจจะมีแผนของตัวเอง ถ้าหากไม่ชอบเธอ เขาจะสารภาพรักกับเธอตอนนี้ทำไม ไม่ใช่ว่าวางงานไม่มีอะไรทำ”

“ฉันไม่รู้ บางทีตอนนี้เขาชอบฉัน แต่ในอนาคตก็อาจจะเปลี่ยนไป ในเมื่อไม่มีใครรู้ว่าความอดทนนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหน

“ซือเยวี่ย…”

ได้ยินคำพูดตัดพ้อของเย่ซือเยวี่ย เวินหนิงรู้สึกไม่สบายใจมาก

แต่ว่าเธอไม่สามารถพูดอะไรเพื่อเกลี้ยกล่อมเธอได้ เพราะว่าตนเองก็เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เป็นทุกข์ร้อนในเรื่องผลได้ผลเสียส่วนตัว ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

พูดได้แค่ว่าความรักเป็นสิ่งที่ทรมานคนอย่างหนึ่ง

“วางใจเถอะ เธอจะต้องดีขึ้นแน่ ถึงเวลาถ้าหากเขากล้าไม่ยอมรับเธอ เธอก็บุกไปถึงที่ได้เลย ดูว่าเขาจะว่ายังไง”

เวินหนิงล้อเล่น ในที่สุดก็ทำให้ความเศร้าบนใบหน้าของเย่ซือเยวี่ยลดน้อยลง

ทั้งสองคนคุยกันสักพัก แล้วก็วางสายไป

ซ่งรั่วอวิ้นพาตัวอย่างเลือดไปส่งที่สถานทดลองด้วยตนเอง จากนั้นก็ดูพวกเขาเริ่มมองหาคู่ที่เหมาะสม

เธอก็ไม่ได้หวังว่าจะพบคู่ที่เหมาะสมได้เร็วขนาดนี้ แต่เกินความคาดหมายคือ ผ่านไปได้ไม่นาน เจ้าหน้าที่ข้างในก็เดินออกมา

“หาคู่ที่เหมาะสมได้แล้วครับ คุณหนูซ่ง”

“จริงเหรอ?

เป็นใคร?

คุณสามารถติดต่อเขาโดยเร็วที่สุดเพื่อบริจาคได้หรือไม่?

ราคาอะไรสามารถคุยกันได้”

“คนที่จับคู่สำเร็จก็คือคุณครับ”

ซ่งรั่วอวิ้นตะลึงไปเลย

จะบังเอิญขนาดนี้ได้ยังไง

เธอได้เข้าร่วมในกิจกรรมการกุศลที่เรียกร้องให้ครอบครัวหยงบริจาคไขกระดูก บริจาคตัวอย่างเลือด ในเวลาเดียวกันก็คิดว่าบางทีอาจจะใช้วิธีนี้ ตามหาคนในครอบครัวของตัวเอง

แต่คิดไม่ถึงว่าจับคู่ไขกระดูกเข้ากับคุณแม่ของเวินหนิงได้

จับคู่ไขกระดูก ถ้าหากไม่ใช่ญาติกันความเป็นไปได้คือหนึ่งในแสนหรือหนึ่งในล้าน

ซ่งรั่วอวิ้นอดที่จะตกอยู่ในภวังค์ได้ บนโลกนี้จะมีเรื่องที่บังเอิญขนาดนี้จริง ๆ เหรอ?

ผู้หญิงคนนั้นที่กำลังป่วยอยู่ตอนนี้ เป็นไปได้มีที่จะมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดอะไรกับตัวเอง?

บ่วงแค้นแสนรัก

บ่วงแค้นแสนรัก

ของขวัญวันเกิดอายุ18ปีของเวินหนิง คือเธอต้องติดคุก10ปี เพื่อการแก้แค้นเธอจึงตอบตกลงคำขอร้องของปีศาจ เธอต้องแต่งงานกับสามีที่นอนอยู่ในสภาพเหมือนผัก แต่คิดไม่ถึงว่า…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset