เหลือเวลาก่อนจะถึงร้านผ้าไหมสกุลเยี่ย หลี่หมิงอวินจึงบอกเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ของคนตระกูลเยี่ยให้หลินหลันได้รับรู้ขณะที่อยู่บนรถม้า
สองผู้อาวุโสตระกูลเยี่ยมีบุตรชายสองคนบุตรสาวหนึ่งคน บุตรสาวก็คงไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มากความแล้ว นางก็คือมารดาของหลี่หมิงอวิน ท่านที่กำลังหลับใหลไปตลอดกาลอยู่ ณ สุสานหลังหุบเขาเจี้ยนซี แต่ถึงอย่างไรหลินหลันก็ยังรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก มารดาของหลี่หมิงอวินคร่าวๆ คือถูกแม่เลี้ยงซึ่งอยู่ที่เมืองหลวงผู้นั้นทำร้าย มิเช่นนั้นหลี่หมิงอวินไฉนจะจงเกลียดจงชังครอบครัวนั้นเสียขนาดนั้น แต่ทว่า ตระกูลเยี่ยร่ำรวยเสียขนาดนี้ แล้วเหตุไฉนจึงสร้างหลุมฝังศพในถิ่นทุรกันดารของท่านแม่หมิงอวินไว้อย่างธรรมดาและเรียบง่ายเอาเสียมากๆ ได้แต่ทิ้งความสงสัยนี้เอาไว้ในใจชั่วคราว แล้วฟังสิ่งที่หลี่หมิงอวินพูดต่อ
เยี่ยเต๋อฮ๋วยบุตรชายคนโตของตระกูลเยี่ยเดิมทีรับหน้าที่หลักในการดำเนินกิจการตระกูลเยี่ย แต่ทว่าเมื่อปีก่อนท่านตาเยี่ยให้เขาถ่ายโอนกิจการของเขตเฟิงอานทั้งหมดไปให้บุตรชายคนที่สองเยี่ยเต๋อเซิ่งจัดการดูแล และสั่งให้เขาไปดำเนินการขยายกิจการที่เมืองหลวง หลินกลันกำลังคาดเดา ที่ท่านตาเยี่ยสั่งย้ายในครั้งนี้มีความเกี่ยวข้องกับการตายของท่านแม่หลี่หมิงอวินหรือไม่?
เยี่ยเต๋อฮ๋วยมีบุตรชายหนึ่งคนและหญิงอีกหนึ่งคน บุตรคนโตเยี่ยซือเฉิงตามผู้เป็นบิดาเข้าเมืองหลวง เพื่อไปคอยเป็นผู้ช่วย โดยทิ้งบุตรสาวเยี่ยซินเอ๋อร์ไว้ที่เมืองเฟิงอาน แต่ทว่าเยี่ยเต๋อเซิ่งก็ค่อนข้างน่าสงสาร ก่อนหน้านี้ให้กำเนินบุตรชายสามคนแต่ทั้งหมดล้วนยังไม่ทันเติบใหญ่ก็ตายจากไป ปัจจุบันจึงมีเพียงบุตรสาวเยี่ยเคอเอ๋อร์เพียงผู้เดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ ปีนี้นางอายุสิบสี่ปี แต่นั้นมาสกุลฉีฟู่เหรินก็ไม่ได้ให้กำเนิดอีกและเยี่ยเต๋อเซิ่งก็ไม่มีนางสนมอีกด้วย ประเด็นนี้ทำให้หลินหลันรู้สึกนับถือท่านลุงทั้งสองท่านนี้เป็นอย่างยิ่ง ในยุคสมัยโบราณ ผู้ชายคนหนึ่งสามารถทำได้เช่นนี้ ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย ทำให้เห็นว่าเขากับท่านป้าสะใภ้รองสกุลฉีมีรักแท้ต่อกันอย่างแท้จริง แต่ก็น่าแปลกที่หลังจากแม่นางสกุลฉีผ่านเรื่องราวความทุกข์มาอย่างมากมาย ก็ยังคงสามารถสดใสได้เสียขนาดนี้ ก็อย่างว่าล่ะน้าพลังแห่งความรักล้วนๆ!
เมื่อได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ หลินหลันก็เข้าใจว่าทำไมเยี่ยเอ๋อร์จึงได้มีนิสัยเอาแต่ใจตนเองเสียขนาดนี้ เป็นเพราะถูกประคบประหงมนั่นเอง
เมื่อมาถึงยังร้านผ้าไหมตระกูลเยี่ย ท่านป้าสะใภ้รองสกุลฉีได้รออยู่นานแล้ว หลังจากนั้นจึงไปช่วยหลินหลันเลือกเนื้อผ้าอย่างเป็นกันเอง ผ้าไหม ผ้าแพร ผ้าทั้งหมดถูกหยิบมาให้หลินหลันเลือก หลินหลันมองดูจนตาลายไปหมด ไม่รู้ว่าควรเลือกชนิดไหนดี
แม่นางสกุลฉีหยิบผ้าขึ้นมาทีละชิ้นทาบลงบนตัวหลินหลัน หลังจากนั้นก็มองดูความคิดเห็นของหลี่หมิงอวิน
หลี่หมิงอวินนั่งดื่มชาอย่างผ่อนคลายอยู่ด้านข้าง หากเขารู้สึกว่าเหมาะสมดี ก็จะพยักหน้า หากไม่เหมาะสมก็จะส่ายศีรษะ
เริ่มแรกหลินหลันรู้สึกไม่ค่อยพึงพอใจนัก เป็นการตัดเสื้อผ้าให้นางแท้ๆ แต่เหตุใดจึงไม่เอ่ยถามความคิดเห็นจากนางเลย เอาแต่ถามความคิดเห็นของหลี่หมิงอวิน นางไม่ได้สวมใส่เพื่อให้เขาดูเป็นการเฉพาะเสียหน่อย แต่ทว่าต่อมานางพบว่าแบบที่นางชอบ หลี่หมิงอวินล้วนเลือกเอาไว้แล้วทั้งหมด และเขาไม่เลือกแบบที่นางไม่ได้ชอบเช่นกัน หรือว่าแบบนี้นี่หรือที่เป็นสิ่งที่เรียกได้ว่า “ใจตรงกัน” ?
แต่เพื่อแสดงให้เห็นว่านางก็เป็นคนที่มีความคิดเป็นของตนเอง หลินหลันจึงเลือกผ้าไหมสีแดงเข้มผืนหนึ่งซึ่งนางไม่ได้ชอบเสียเท่าไหร่
หลี่หมิงอวินอมยิ้ม แล้วพยักหน้า
ถัดไปจึงเป็นการเลือกแบบชุด
“หลายรูปแบบนี้ล้วนเป็นแบบที่กำลังได้รับความนิยมจากหญิงสาวในเมืองหลวงปีนี้ ในเขตเฟิงอานของเราก็ยังไม่มี เจ้าลองดูสิจ๊ะ ตัวนี้รอบเอวเข้ารูปเป็นอย่างดี ตัวนี้แขนเสื้อดูเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร แล้วยังมีตัวนี้คอเสื้อที่สวยเอามากๆ แต่ทว่าหากเป็นคนที่ลำคอไม่ยาวระหงส์เช่นนั้นก็คงไม่เหมาะสม แล้วลองดูชุดเหล่านี้อีกสิ ทั้งประณีตทั้งเป็นดูธรรมชาติ”
หลินหลันมองดูก็รู้สึกชอบไปหมด ล้วนมีความสวยงามแตกต่างกันออกไป ในใจซึ่งกำลังคิดว่าทุกชุดล้วนจะต้องขึ้นมาอยู่บนรูปร่างเช่นนี้ ก็รู้สึกเกรงใจขึ้นมา จึงหันไปมองท่าทีความคิดเห็นของหลีหมิงอวิน
หลี่หมิงอวินชี้ไปยังหนึ่งในชุดแบบที่คอเสื้อเว้าค่อนข้างลึกแล้วกล่าวขึ้น “ชุดนี้ไม่ต้องการ ส่วนที่เหลือ ทำออกมาแบบละหนึ่งชุด”
หลินหลันไม่พอใจเป็นอย่างมาก ชุดที่เขาบอกว่าไม่ต้องการนั่นเป็นหนึ่งในชุดที่นางถูกใจ แขนเสื้อกว้างและคอเสื้อลึก สามารถเผยความงามของลำคอระหงส์และไหปลาร้าที่ดูเย้ายวนน่าดึงดูด ทั้งเย็นสบายแล้วก็ไม่ได้เปิดเผยเนื้อหนังมังสาจนเกินไป ทำไมถึงไม่ต้องการ?
“แต่ข้าชอบชุดนี้” หลินหลันโต้แย้ง
หลี่หมิงอวินก้มหน้าก้มตาดื่มชา พูดขึ้นอย่างเบาๆ “ตัวนั้นไม่เหมาะกับเจ้า”
หลินหลันมุ่ยปาก ในใจรู้สึกกำลังถูกเหยียดหยามอยู่ ไม่เหมาะสมอย่างไรกัน? ก็ไม่ใช่แค่ว่าคอเสื้อลึกไปหน่อยเท่านั้นเอง ผู้ชายก็มักจะใจแคบ ทีกับผู้หญิงนางอื่นมีแต่หวังอย่างยิ่งที่จะได้เห็น แต่กับผู้หญิงของตนเองก็ทำเป็นบงการอย่างเข้มงวด ถึงขั้นแม้กระทั่งใบหน้าเอาผ้าบางๆ คลุมไว้ด้วยได้จะเป็นดีที่สุด และก็คิดขึ้นมาได้ว่า ‘ผู้หญิงของตนเอง’ คำนี้ หลินหลันอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองหลี่หมิงอวิน เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด เขาไม่มีทางคิดเช่นนี้หรอก
“ข้าไม่สน ข้าต้องการชุดแบบนี้” หลินหลันยืนกราน
นางสกุลฉีเห็นสถานการณ์ จึงเอ่ยขึ้นอย่างล้อเล่น “ข้าว่าหมิงอวิน เจ้าเกรงว่าหลินหลันจะสวยงามเกินไป แล้วทำให้ใครต่อใครที่มองเห็นพากันชื่นชอบ?”
ใบหน้าของหมิงอวินแดงระเรื่อ กล่าวกลับไปอย่างจำยอม “เช่นนั้นก็เอาตามที่นางว่าเถอะ!”
หลินหลันเผยรอยยิ้มอย่างผู้ชนะ
หลังจัดการเรื่องเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย หลี่หมิงอวินก็กล่าวลานางสกุลฉี “เรื่องพวกนี้รบกวนท่านป้าสะใภ้รองด้วย ตอนนี้ข้าจะพาหลินหลันไปร้านรุ่ยฝู๋”
นางสกุลฉีดึงมือหลินหลัน และเอ่ยอย่างทีเล่นทีจริง “ไปเถิดไปเถิด! ข้าบอกกับผู้ดูแลร้านของลุ่ยฝู๋ไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเจ้ามีหน้าที่แค่ไปเลือกสรร และลงบัญชีเอาไว้ก่อน ไว้ให้ข้าจะไปจัดการจ่ายเงินภายหลังก็พอ”
ดูแล้วงานตัวอักษรฝีมือหลี่หมิงอวินคงจะถูกใจนางสกุลฉีเป็นยิ่งนัก ดังนั้น นางสกุลฉีถึงได้ใจกว้างเสียขนาดนี้ งานตัวอักษรของหลี่หมิงอวินมีค่ามากขนาดนี้เชียว? หลินหลันนึกสงสัย หากมีมูลค่ามากมายขนาดนี้จริง ภายในสามปีนี้นางจะต้องสะสมงานเขียนตัวอักษรของเขาไว้ให้ดีๆ ไว้รอแยกจากตระกูหลี่เมื่อไหร่จะได้นำไปขาย ก็ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางการค้า
“ขอขอบคุณมาก ท่านป้าสะใภ้รอง” หลี่หมิงอวินยิ้มขณะเดียวกันก็ยกสองมือขึ้นแสดงท่าคาราวะ
หลินหลันก็เอ่ยขอบคุณขึ้นมาเช่นกัน
“ล้วนเป็นคนกันเองทั้งนั้น ยังจะมาพิธีรีตองอะไรกันเล่า เพียงแค่หลังจากพวกเจ้าเข้าเมืองหลวงกันแล้ว ก็คงต้องให้เจ้าบอกท่านลุงของเจ้าตามเคยว่าช่วยส่งจดหมายมาบ้างซักฉบับก็ยังดี มิเช่นนั้น ข้าจะต้องเจ็บปวดหัวใจแย่” นางสกุลฉีกล่าวล้อเล่น
เมื่อออกมาพ้นร้านผ้าไหมสกุลเยี่ย หลินหลันก็เอ่ยขึ้น “ท่านป้าสะใภ้รองของเจ้าเป็นคนดีจริงๆ นิสัยใจคอร่าเริง ใจกว้างและเป็นกันเอง”
หลี่หมิงอวินยิ้มเล็กน้อย มองมองหลันด้วยความอ่อนโยน แล้วแก้ไขคำพูดของหลินหลัน “ก็เป็นท่านป้าสะใภ้รองของเจ้าด้วยเช่นกัน”
หลินหลันหัวเราะ ฮิฮิ “ก็แค่ชั่วคราวน่ะ ชั่วคราว”
ทั้งสองเดินเคียงข้างไปด้วยกัน หลี่หมิงอวินเกิดมาดูดีเกินไป อีกทั้งยังสวมใส่ชุดฮวา [1] ทำให้ดูโดดเด่น หล่อเหล่า ราวเป็นนกกระเรียนที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงไก่ ชวนให้จ้องมอง ดึงดูดสายตาผู้คนบนทางเดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นเพศหญิง จ้องมองกันอย่างไม่วางตาเลยทีเดียว
ยิ่งมองดูแววตาซึ่งดูเป็นธรรมชาติของหลี่หมิงอวิน ที่สง่างามและสงบ ราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจการจ้องมองจากสายตาคนรอบข้างเลยแม้แต่น้อย
หลินหลันอดไม่ได้ที่จะให้ร้ายในใจ พ่อหนุ่มนี่เสแสร้งเก่งดี ในใจคงปลื้มปริ่มอย่างยิ่งเป็นแน่ และคิดไปอีกว่า หากระหว่างนางกับหลี่หมิงอวินเป็นเรื่องจริง เหมือนว่าก็คงจะดีไม่น้อย พาสามีเช่นนี้ออกไปข้างนอก ทำให้มีหน้ามีตา! ผู้อื่นคงพากันอิจฉาตาร้อนนางเป็นอย่างมาก
“หลี่หมิงอวิน ทำไมพวกเราถึงไม่นั่งรถม้า” หลินหลันเอ่ยถาม เพราะการเดินตามท้องถนนเช่นนี้ช่างดูเป็นการดึงดูดความสนใจเกินไปเสียแล้ว
ในใจคิดสับสนวนวายไปหมด จึงไม่ทันได้ระมัดระวัง หลินหลันก้าวไปบนรอยต่อที่ไม่เสมอกันระหว่างแผ่นหินสีน้ำเงินสองแผ่น ทันใดนั้นเองหลี่หมิงอวินราวกับว่ามีดวงตาเพิ่มขึ้นมาด้านหลัง เอี้ยวตัวมาเล็กน้อยและพยุงตัวนางเอาไว้ได้
คิ้วเข้มขมวดขึ้น กล่าวขึ้นอย่างตำหนิเล็กน้อย “ก้าวเดินไม่ดูทาง มัวคิดอะไรอยู่หรือ”
“เปล่าหนิ! ไม่ได้คิดอะไร” หลินหลันร้อนรีบโต้กลับ บริเวณข้อเท้ารู้สึกเจ็บจี๊ดจนทำให้นางขมวดคิ้วแน่น
เขาเหลือบสายตามามองเล็กน้อย มองพิจารณาอย่างไม่เชื่อถือ หลังจากนั้นจึงคุกเข่าลงอย่างง่ายๆ ต้องการช่วยดูอาการให้แก่นาง “ยังเดินไหวไหม”
หลินหลันสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่เข้าปอด สะกดความเจ็บปวดเอาไว้ ค่อยๆ สงบจิตสงบใจให้นิ่ง “น่าจะไม่เป็นอะไร เดินให้ช้าลงก็พอ”
เขาเงยหน้าขึ้นมอง แล้วเอ่ย “เลี้ยวไปข้างหน้าก็เป็นร้านยาฮู๋จี้แล้ว”
เอ่อ! หลินหลันลำบากใจเล็กน้อย เมื่อครู่เอาแต่คิดเรื่องไร้สาระปนเปไปหมด จึงไม่ทันได้ระมัดระวัง ทั้งที่เป็นเส้นทางซึ่งนางไปมาอย่างบ่อยครั้ง
เขาลุกยืนขึ้น ประครองนางเอาไว้ด้วยมือเดียว “ไปตรวจดูอาการที่ท่านอาจารย์ของเจ้ากันเถอะ!”
หลินหลันรู้ดีว่าเท้าของนางไม่เป็นไร หากมีปัญหาก็คงจะยืนขึ้นไม่ไหวแล้ว ทว่า อยากไปเยี่ยมท่านอาจารย์และเหล่าศิษย์พี่อยู่เหมือนกัน จึงเดินขะโยกเขยกไปร้านยาฮู๋จี้กับเขาแต่โดยดี
——
[1] ชุดฮวา 华衣 เป็นชุดสาบเสื้อตรงนิยมใส่ในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น