ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1286 คาวบอยสุดหล่อ

ลูกชายคนโตของพอลลี่อายุราวๆ สิบสี่สิบห้าปี ยืนอยู่ด้านข้างเขาและคอยเป็นผู้ช่วยฉินสือโอวย่างเนื้อสเต๊ก
มองดูใบหน้าเศร้าสร้อยของคนเป็นพ่อ เขาก็กัดฟันกรอดแล้วพูด “แม่งเอ๊ย! ขอสาปแช่งให้ไอ้พวกระยำไออาร์เอสโดนพระเจ้าลงโทษ!”
ถึงอย่างไรเจ้าของฟาร์มก็ถือว่าเป็นชนชั้นนายทุน มีเงินมีการศึกษา ในด้านการสอนลูกชายจึงค่อนข้างเข้มงวด พอได้ยินที่ลูกชายของตนพูด พอลลี่ก็พูดปลอบประโลมให้ลูกชายใจเย็นลงด้วยสีหน้าหนักแน่น “เวนเดลล์ ใครสอนให้ลูกพูดคำสบถหยาบคายแบบนั้น? ลูกไม่ควรพูดคำหยาบนะเข้าใจมั้ย?”
ชายหนุ่มพูดอย่างไม่ยอมแพ้ “ไม่มีใครสอนผมทั้งนั้นแหละ ก็มาจาก SHIT นั่นแหละ ก็พ่อไม่ใช่เหรอที่เป็นคนบอกว่าตอนใช้คำนี้ผมต้องอิงจากกฎ SHIT นะ”
ซึ่งถ้านำ SHIT มาแยกเป็นคำเดี่ยวๆ จะใช้ในการด่าทอผู้คน มีความหมายว่า ‘ขี้หมา’ ‘อุจจาระ’ ‘ขยะ’ ซึ่งคำพวกนี้มักจะได้ยินในทีวี รายการโชว์อเมริกาและภาพยนตร์ฮอลลีวูดอยู่บ่อยๆ
ที่ลูกชายของพอลลี่กำลังพูดถึงอยู่นี้คือการย่อคำ ซึ่งมีที่มาจากอเมริกาเหนือ ที่มาจากคำว่า ‘Society-to-Highlight-Ingrate-Terms’ และนำมาย่อเป็น SHIT
เป้าหมายของการสมาคมนี้คือการวิเคราะห์ความหมายของศัพท์ ศึกษาการใช้คำสบถ ดังนั้นที่อเมริกาและแคนาดาพ่อแม่ต่างรู้ว่าลูกๆ ของตนจะใช้คำสบถที่หยาบคายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงสอนการใช้และความหมายของคำว่า SHIT เพื่อให้สามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง
ฉินสือโอวเข้าใจความหมายของสิ่งที่ลูกชายพอลลี่พูดเมื่อครู่ และรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าสนใจ หากอธิบายความต่างของการใช้คำว่า shit และ fuck อย่างเช่นมีคนสอบตก หรือมองดูทีมที่เขาสนับสนุนกำลังพ่ายแพ้ก็สามารถใช้คำว่า shit ในการสบถเพื่อแสดงความโกรธ ไม่พอใจของตนได้
แต่ถ้าประสบกับโชคร้ายหรือเรื่องไม่ดี ในตอนนั้นก็สามารถใช้คำว่า “fuck” ได้
แต่อย่างไรก็ตามยังมีข้อยกเว้นประการหนึ่งนั่นก็คือเมื่อเผชิญหน้ากับไออาร์เอส สามารถอธิบายกลุ่มคำ SHIT ได้ว่า “ในตอนที่เจอกับพวกกรมสรรพากรแคนาดา ใช้ได้ทั้ง ‘shit’ และ ‘fuck’ ซึ่งคำด่าไหนที่ใช้แล้วทำให้รู้สึกว่าแสดงอารมณ์โกรธออกมาได้มากกว่า ก็เลือกใช้ไปได้เลย”
ฟังจากนี้ก็พอจะรู้แล้วว่ากรมสรรพากรที่แคนาดาไม่เป็นที่พึงพอใจขนาดไหน และแน่นอนว่า ไม่ว่าประเทศไหนก็คงไม่ต่างกัน
สเต๊ก ไส้กรอก เบคอน ขนมปังที่ย่างจนกรอบ และอาหารหลากหลายจานของเหมาเหว่ยหลงวางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อย เขายังทำสลัดผลไม้และผักจานยักษ์ด้วย และทุกคนก็พากันมาล้อมวงกินข้าวอยู่บนพื้นหญ้า
พอลลี่หยิบขวดเบียร์หนึ่งลังลงมาจากรถ แล้วพูดแบบยิ้มๆ “นี่คือเบียร์ที่ผมที่ได้ตอนมาจากฟาร์มนาของโลฮ่าที่เพิ่งจะหมักเสร็จวันนี้ รสชาติมันต้องดีมากแน่”
เหมาเหว่ยหลงชูกำปั้นแล้วส่งเสียงร้องดีใจ จากนั้นจึงหันมาแนะนำให้ฉินสือโอวฟัง “โลฮ่าก็คือเจ้าของฟาร์มคนหนึ่ง เขามีฟาร์มเล็กๆ แห่งหนึ่งที่เน้นการผลิตเบียร์ และนี่ก็เป็นเบียร์ที่เขาทำขึ้นมาเอง เขาเป็นนักผลิตเบียร์ที่เก่งมากคนหนึ่งเลยล่ะ”
“แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถได้รับเบียร์จากโลฮ่ามาไว้ในครอบครองนะ” ลูกชายคนโตของพอลลี่พูดอย่างภาคภูมิใจ “เขาชอบกินเนื้อแกะย่างของพ่อผมมาก ดังนั้นทุกครั้งที่พวกเราไปหาเขา ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะได้กลับบ้านมือเปล่าเลย”
พอลลี่ยื่นแก้วใบโตให้ฉินสือโอว ฉินสือโอวมองสีและฟองของมันก่อนพูดชมเชยว่า “ว้าว เป็นเบียร์ขาวที่สุดยอดมากเลยนะเนี่ย”
เบียร์ขาวเป็นเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมในทวีปยุโรป มันทำมาจากข้าวมอลต์และวัถุดิบจากข้าวมอลต์ ในบางครั้งก็มีเพิ่มข้าวโอ๊ตไปด้วย และสุดท้ายนำไปหมักด้วยยีสต์และกรดแลคติก
เบียร์ที่ฉินสือโอวเคยดื่มตอนอยู่เกาะแฟร์เวลก็มีหลากหลายชนิดมาก แต่จุดเด่นของเบียร์ประเภทนี้จะผสมแอลกอฮอล์เข้าไปเพียงเล็กน้อย แต่เนื้อเบียร์มีความเข้ม ชุ่มคอ และมีสารอาหารมากมาย และยังสามารถดื่มได้ทุกฤดูกาล
“กินกับสเต๊กของผม คุณจะรู้สึกว่ามันสุดยอดกว่าเดิมอีกล่ะ” พอลลี่หัวเราะและพูด “แน่นอน คุณจะว่าผมพูดขี้โม้ก็ได้นะ แต่แนะนำให้คุณลองชิมดู”
ฉินสือโอเลือกสเต๊กชิ้นหนาที่สุกระดับกลางให้วินนี่ และเลือกชิ้นที่บางกว่าให้ตนเอง หลังจากตัดเป็นชิ้นและเอาเข้าปาก น้ำในเนื้อช่างชุ่มฉ่ำ เนื้อสัมผัสนุ่ม ส่งกลิ่นหอมกระจายไปทั่วโพรงปาก
ในตอนที่ผสมกับความหวานของเบียร์ขาวเข้าไป ฉินสือโอวไม่สามารถสรรหาคำพูดมาบรรยายได้ เขารู้สึกว่ามันสุดยอดมาก!
ทานข้าวพร้อมพูดคุยเล่นกันไปเรื่อยเปื่อย เหมาเหว่ยหลงพูดเตือนเรื่องที่ฉินสือโอวจะขี่ม้าขึ้นมากลางโต๊ะอาหาร ฉินสือโอวฟังด้วยความเบื่อหน่าย และบอกว่ามันก็คงไม่ต่างจากการขับรถหรอก ที่ต้องพึ่งการปฏิบัติ แกจะมาพูดให้ได้อะไรตอนนี้?
พอพอลลี่ได้ยินก็ถามขึ้น “พวกคุณจะไปขี่ม้าเล่นกันพรุ่งนี้เหรอ?”
ฉินสือโอวตอบ “ใช่แล้ว ที่พวกเรามาครั้งนี้ก็เพื่อจะมาขี่ม้า คุณรู้มั้ย ที่เซนต์จอห์นเป็นเมืองติดทะเล ที่นั่นมีแต่เรือหาปลา ไม่มีม้าเลยสักตัว”
พอลลี่จึงพูดว่า “ถ้าอย่างงั้นพรุ่งนี้เช้าผมจะเอาม้าไปด้วยสองตัว ที่โรงม้าของผมมีม้าอยู่เยอะมาก ที่ฟาร์มของเหมามีม้าโตอยู่แค่สองตัวเองใช่ไหม? แต่พวกคุณมีกันสามคน คงไม่พอแน่ๆ”
ตั๋วตั่วจึงดึงมือฉินสือโอวและชี้ไปที่โรงม้าของม้าตัวเล็ก ซึ่งหมายความว่าเธออนุญาตให้ฉินสือโอวยืมม้าตัวเล็กของเธอได้
ฉินสือโอวดึงเธอมากอดและหัวเราะยกใหญ่ ลูกม้าสองตัวเล็กนั้น เดาว่าถ้าเขาขึ้นขี่หลังมันคงต้องหักก่อนเป็นแน่
เหมาเหว่ยหลงและพอลลี่เกรงใจกันอยู่สักพักก็ตกลงกันเรียบร้อย เพราะคราวแรกเขาก็กังวลเรื่องพรุ่งนี้ที่มีม้าแค่สองตัวแต่พวกเขามีกันถึงสามคน ซึ่งจำนวนไม่พอ
หลังจากทานข้าวและเก็บของเสร็จ ฉินสือโอวก็พูดคุยกับคนอื่นๆ ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นครอบครัวพอลลี่ก็กลับไป วินนี่ก็อุ้มลูกสาวเข้าไปพักผ่อนในห้องพัก
ฉินสือโอวกำลังจะขอตัวแต่เหมาเหว่ยหลงก็เรียกเขาไว้ เขานั่งลงบนพื้นหญ้าแหงนมองดาวบนท้องฟ้า และพูดว่า “แกดูสิ ที่ของฉันพอมองดูดาวบนฟ้าตอนกลางคืนสวยมากเลยใช่มั้ย”
แฮมิลตันดูแลสภาพแวดล้อมได้ดีเลยทีเดียว แต่ก็เทียบกับเกาะแฟร์เวลไม่ได้ ฉินสือโอวนอนลงกับพื้นหญ้าและอิงแขนแทนหมอน ก่อนมองดวงดาวที่สว่างไสวบนฟ้าแล้วเอ่ยขึ้น “ถ้าเทียบกับในเมืองแล้ว มันช่างสวยงามจริงๆ แต่ก็เทียบไม่ได้กับที่ที่ฉันอยู่”
ครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่นั่งชมดาวด้วยกันก็ราวสองปีก่อนได้ ในตอนนั้นฉินสือโอวยังตามจีบวินนี่อยู่ พวกเขาทั้งคู่นั่งนับดาวอยู่บนเขาเคอร์บัลด้วยกัน
ในตอนนี้พวกเขาทั้งคู่ต่างแต่งงานและเป็นพ่อคนแล้ว ฉินสือโอวอุทานออกมาในขณะที่ยังมองดูดาว “แม่ง อย่าได้พูดเลยนะว่าเวลาผ่านไปเร็วขนาดไหนแล้วน่ะ? ดาวบนท้องฟ้าก็ยังเป็นดาวบนท้องฟ้า แต่ตอนนี้พวกเราไม่ใช่คนเดินกันอีกต่อไปแล้ว”
ดาวที่ส่องประกายท่ามกลางความมืดบนท้องฟ้าช่างน่าค้นหา ในฤดูร้อนท้องฟ้าจะโล่ง และรู้สึกได้ว่าดวงดาวใกล้กับเราเพียงแค่เอื้อม
พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้เจอกันมาระยะหนึ่ง จึงนอนพูดคุยกันบนพื้นหญ้าพักใหญ่จนกระทั่งน้ำค้างเริ่มเกาะตัว แล้วค่อยแยกย้ายกันเข้าไปพักผ่อน
วันที่สองตอนรุ่งเช้า ในตอนที่ฉินสือโอววิ่งออกกำลังกายอยู่ พอลลี่ก็มาถึงโดยขี่ม้าตัวหนึ่งมา และพาม้าอีกสองตัวมาด้วย เขาแต่งตัวเหมือนคาวบอย คาดปืนลูกโม่ไว้ที่สะโพก ซึ่งทำให้เขาดูเหมือนคาวบอยที่กล้าหาญมากขึ้นไปอีก
เมื่อพอลลี่มาถึงแล้ว ฉินสือโอวจึงหยุดออกกำลังกายและกลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
เขาสวมหมวกคาวบอยและสวมรองเท้าบู๊ต และติดตะปูไว้ที่ด้านหลังบู๊ต เลือกใส่หัวเข็มขัดลายหัวเสือ และพันผ้าพันคอแบบคาวบอยไว้ที่หน้าอก ฉินสือโอวก็รู้สึกว่ามันไม่เลวเลย วินนี่เข้ามาช่วยเขาจัดชุดให้เรียบร้อย และทั้งยิ้มทั้งพูดว่า “อืม เป็นคาวบอยที่หล่อมากเลย สาวๆ ในเท็กซัสเห็นแล้วคงต้องหลงเสน่ห์คุณแน่”
………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset