ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1287 ในที่สุดก็วิ่งสักที

หลังจากฉินสือโอวกับวินนี่ออกมา เหมาเหว่ยหลงก็พาพวกเขาไปทำความสะอาดโรงม้าต่อ ในเวลาเดียวกันก็ไปอาบน้ำแปรงขนให้ม้าดำฟรีดริชด้วย
แล้วฉินสือโอวก็หันไปพูดกับพอลลี่ “เฮ้ ผมไม่ต้องไปทำความสะอาดฟรีดริชต่อแล้วใช่ไหม? ก็วันนี้ผมคงไม่ได้ขี่มัน อีกอย่างตรงนั้นก็มีม้าอีกสองตัว พอสำหรับผมกับวินนี่แล้ว”
เหมาเหว่ยหลงจึงตอบกลับ “แกคิดให้ดีนะ ถ้าแกรับมือกับฟรีดริชได้ ต่อไปแกก็จะมีม้าคู่ใจขี่ได้ตลอด แต่ถ้าวันนี้แกขี่ม้าของพอลลี่ งั้นถ้าครั้งหน้าแกมาเล่นที่นี่อีก แกก็จะไปยืมม้าบ้านพอลลี่ทุกครั้งเลยงั้นเหรอ?”
“เหนื่อยครั้งเดียวสบายไปทั้งชาติ โอเค แกพูดถูก” แล้วฉินสือโอวก็ยักไหล่และเดินไปในโรงม้ากับเหมาเหว่ยหลง
เมื่อวานเขาได้เรียนรู้วิธีการจัดการม้า การเรียนรู้ของฉินสือโอวนั้นยอดเยี่ยมมาก วันนี้เขาจัดการทำได้อย่างเรียบร้อยเป็นระเบียบแบบแผน และในตอนที่แปรงขนแผงคอให้ฟรีดริช เขายังใช้ฝ่ามือขยี้ขนคอมันอย่างแรง
เหมาเหว่ยหลงประหลาดใจเล็กน้อย จึงถามเขาว่า “แกเคยเรียนวิธีการปรนนิบัติม้ามาก่อนเหรอ?”
ฉินสือโอวตอบ “แกไม่รู้จักฉันรึไง? ฉันจะไปเรียนวิธีปรนนิบัติม้ามาจากที่ไหน?”
เหมาเหว่ยหลงจึงพูดเล่นว่า “ถ้าอย่างนั้นก็คงจะเป็นพรสวรรค์แล้วล่ะ คาดไม่ถึงเลยว่าจะอุ่นร่างกายให้ม้าเป็นด้วย”
ฉินสือโอวที่เพิ่งใช้มือลูบขนแผงคอม้าด้วยแรงที่เสมอกันอย่างทั่วถึง นี่ก็เป็นวิธีที่ช่วยวอร์มร่างกายก่อน จริงๆ แล้วนี่เป็นวิธีสำหรับม้าแข่ง เป้าหมายคือเพื่อให้เลือดของมันไหลเวียนได้อย่างรวดเร็ว
วิธีพวกนี้แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดเอง แต่แค่มีโทรศัพท์มือถือ เขาแกว่งโทรศัพท์มือถือไปมา เมื่อคืนเขาโหลดแอปพลิเคชันอันหนึ่งเอาไว้ เป็นแอปพลิเคชันที่แนะนำและสอนโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเรื่องการขี่ม้า
ฟรีดริชถูกเขาปรนนิบัติอย่างสบายแล้ว ด้านหลังก็ต้องทำแบบเดียวกันฉินสือโอวเดินลากบังเหียนม้าอยู่ด้านหน้า ด้านหลังเป็นฟรีดริชที่ส่งเสียงร้องออกมาทางจมูกพอฉินสือโอวหยุดเดิน มันก็เอาหน้ามาดันหลังเขา
เหมาเหว่ยหลงยิ้ม “นั่งไง ฉันบอกแล้วว่าม้าฉลาดกว่าหมา ครั้งนี้แกเชื่อหรือยังล่ะ?”
ฉินสือโอวเบะปากแล้วหันกลับมาพูดกับฟรีดริชว่า “นั่งลง! กลิ้ง! ขอมือ! ลาก่อน!”
ม้าดำมองมาที่เขาอย่างงงๆ ใบหน้าของมันไม่มีอารมณ์ร่วมเลยแม้แต่น้อย
ฉินสือโอวจึงพูดกับเหมาเหว่ยหลงว่า “ครั้งหน้าถ้าแกไปหาฉัน ฉันจะให้หู่จือเป้าจือแสดงท่าทางพวกนี้ให้แกดูสักหน่อย พวกมันชำนาญมาก มองแล้วเบิกบานหัวใจสุดๆ”
เหมาเหว่ยหลงยิ้มออกมาแล้วทำได้แค่พูดว่า “เรื่องของแก เอาจริงเอาจังกันจริงว่ะๆ!”
ต่อไปก็ต้องขี่ม้าแล้ว เหมาเหว่ยหลงเอาบังเหียนมาใส่ให้กับฟรีดริช หลังจากนั้นก็จัดให้รู้สึกมั่นคงมากขึ้น แล้วเขาก็พยักหน้าและพูดว่า “อืม แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว ใช่ไหมพอลลี่?”
จากนั้นพอฉินสือโอวกำลังจะพลิกตัวขึ้นบนม้า เหมาเหว่ยหลงก็ถามขึ้นจนทำให้เขาตกใจ “ซวยล่ะ แกยังไม่ใส่บังเหียนให้ม้าหรอกเหรอวะ?”
บังเหียนม้าก็คือที่บังคับม้าของจีน เป็นอุปกรณ์หลักสำหรับคนขี่ม้า ก็เหมือนกับพวงมาลัยและเกียร์ของรถยนต์ ดังนั้นบังเหียนสำหรับม้าจึงถือว่าสำคัญมาก
ซึ่งฉินสือโอวจำเป็นต้องเข้าใจวิธีใช้มัน ก็เหมือนกับตอนขับรถแต่ยังติดตั้งพวงมาลัยไม่เสร็จดี ก่อนขับรถก็จะยังไม่มีอะไร แต่พอรถออกตัวเร่งความเร็ว สุดท้ายพอออกแรงพวงมาลัยก็หลุดออกมา ในตอนนั้นก็คงทำได้แค่สวดภาวนาต่อพระเจ้าให้ลงมาช่วยชีวิตเขา
พอลลี่ยิ้มแล้วเดินเข้ามาช่วยจัดการ ฉินสือโอวจึงลากเหมาเหว่ยหลงมาคุยด้วย “แกล้อเล่นอะไร แกทำไม่เป็นเหรอวะ?”
เหมาเว่ยหลงพูดอย่างคนไร้ความผิด “ก็ปกติฉันไม่ขี่ม้านี่น่า อีกอย่างใส่บังเหียนมันก็ยุ่งยากออกขนาดนั้น แกว่าฉันจะทำมันเป็นได้ยังไงล่ะ?”
พอลลี่เป็นคนดีอย่างที่สุด เขาช่วยเอาอานม้ามาติดตั้งให้เรียบร้อย ฉินสือโอวถือโอกาสนี้นับถือเขาเป็นอาจารย์ คอยชี้แนะวิธีขี่ม้าให้เขา ชัดเจนเลยว่าเหมาเหว่ยหลงคือคนไร้ประโยชน์ไปเลยจริงๆ
ไม่แปลกใจเลยที่เหมาเหว่ยหลงถึงช่วยพอลลี่ เขาเป็นคนจริงใจคนหนึ่งเลย ในตอนที่ช่วยสอนฉินสือโอวก็สอนด้วยใจ และยังสาธิตท่าทางให้เขาได้เรียนรู้ด้วย
วินนี่หัวเราะอยู่ด้านข้าง ฉินสือโอวเลยถามขึ้น “คุณขี่เป็นหรือยัง? ให้อาจารย์พอลลี่สอนอีกสักครั้งไหม”
วินนี่พูดยิ้มๆ “ก็ไม่เชิงค่ะ ฉันแค่ขี่เร็วๆ ไม่ค่อยได้ แต่ก่อนก็เคยเรียนมาบ้าง คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรนะคะ”
ฉินสือโอวเลยพูดอย่างเป็นห่วงว่า “งั้นเดี๋ยวผมลองก่อน คุณรอดูว่าถ้าไม่มีปัญหาอะไรค่อยขี่มันแล้วกันนะ”
พูดจบ เขาก็เอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบไปบนโกลนม้าอย่างมั่นคง สองมือตบลงบนหลังม้าฟรีดริชอย่างแรง เพื่ออยากที่จะใช้ท่วงท่าที่สง่างามผ่าเผยเหมือนนกนางแอ่นขึ้นขี่ม้า
สุดท้ายตอนที่เขากำลังจะกระโดดขึ้นมา ฟรีดริชก็ออกแรงวิ่งอย่างรวดเร็วไปด้านหน้าสองสามก้าวในทันที!
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกน่าเวทนามาก เขายังไม่ทันขึ้นขี่ม้าเลย และตอนนั้นเท้าของเขาก็เหยียบอยู่ในโกลนม้าแน่นมาก แล้วในตอนนั้นก็ดึงเท้าออกมาไม่ได้ด้วย มองดูแล้วอันตรายมาก ถ้าหากเขาจับไว้ไม่แน่นพอก็จะถูกม้าลากไปตามทางได้เลย
แบบนี้เท้าของฉินสือโอวจึงถูกตรึงไว้ในโกลนม้า ถ้าแค่ข้อเท้าหักนี่ก็ถือว่าเบาแล้ว!
โชคดีที่ฉินสือโอวถูกจิตสำนึกแห่งโพไซดอนปรับเปลี่ยนให้สมรรถภาพทางกายดีขึ้น ความยืดหยุ่นและการตอบสนองของเขานั้นแข็งแกร่งมาก ฟรีดริชที่วิ่งตรงไปข้างหน้า เอวของเขาแข็งราวกับรากต้นไม้เก่า สองมือของเขายึดบังเหียนม้าไว้อย่างมั่นคง เท้าซ้ายติดอยู่ในโกลน เท้าขวาวางแนบไปกับท้องม้า…
ฟรีดริชวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุด ฉินสือโอวเกาะอยู่ด้านข้างตัวม้าเหมือนกับจิ้งจกตุ๊กแก คนอื่นๆ เห็นก็ล้วนแต่อ้าปากค้าง
“เฮ้ย ฉินโซ่ว ทักษะกังฟูแกนี่สุดยอดจริงๆ เลยว่ะ” เหมาเหว่ยหลงอุทานอย่างตกตะลึงออกมา “ปกติเวลาไม่มีอะไรทำแกแอบฝึกโยคะอยู่ฟาร์มปลาหรือว่ายังไงกันวะ?”
ฉินสือโอวเหงื่อท่วมตัว เขาจ้องเหมาเหว่ยหลงด้วยความโกรธแค้น แล้วพูด “หยุดพล่ามซะทีไอ้บ้าเอ๊ย ไหนแกบอกว่าม้าถูกฝึกมาอย่างดีแล้วไม่ใช่เหรอวะ? แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
พอลลี่จึงพูดอย่างเป็นกลางขึ้นมา “มันไม่เกี่ยวอะไรกับม้าหรอกนะ ฉิน เมื่อกี้นี้ทำไมคุณถึงตบที่อานม้าแรงอย่างนั้นล่ะ? ในตอนที่ฝึกซ้อม นี่มันเป็นการทำให้ม้าเพิ่มความเร็วไม่ใช่เหรอ แต่โชคยังดีนะที่ฟรีดริชได้รับการฝึกมาก่อน ถ้าทำรุนแรงกับม้าแบบนั้นก็จะทำให้มันตกใจ มันจะไม่ใช่แค่วิ่งไม่กี่ก้าวแบบนั้นน่ะ!”
ฉินสือโอวยิ้มกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พอลลี่ช่วยเขาลงมาจากฟรีดริช และแนะนำให้เขาขึ้นขี่ม้าด้วยท่าทางที่อ่อนโยน “ให้ม้ารับรู้ถึงคุณ หลังจากนั้นทั้งสองก็จะรวมเข้าด้วยกัน นี่ถึงจะเป็นเทคนิคการขี่ม้าอย่างแท้จริง!”
วินนี่พูดเสริม “แล้วก็ที่รัก อย่าเหยียบโกลนม้าด้วยเท้าสองข้างสิคะ ถ้าเกิดอุบัติเหตุแบบกะทันหันก็จะได้กระโดดออกมาได้ ไม่อย่างนั้นก็จะถูกม้าหนีบเท้าไว้อย่างน่าเวทนา”
ฉินสือโอวลองยื่นเท้าไปเหยียบบนโกลนม้า พอลลี่แสดงวิธีควบคุมม้าโดยใช้บังเหียนม้าให้เขา แต่ว่าดูคนอื่นควบคุมกับตัวเองควบคุมเองมันไม่เหมือนกัน ฉินสะบัดบังเหียนม้าไปมา ฟรีดริชไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ยังคงใจจดใจจ่ออยู่กับการพ่นลมออกมาทางจมูก
“แม่งเอ๊ย โคตรโง่เลย” ฉินสือโอวถอนหายใจอย่างน่าเสียดาย เทียบกับเจ้าพวกนั้นไม่ได้เอาซะเลย ก็เหมือนความแตกต่างของเครื่องซักผ้ารุ่นเก่ากับเครื่องซักผ้าแบบหมุนรุ่นใหม่ล่ะนะ
ไม่ว่าเขาจะลองอีกกี่ครั้ง ฟรีดริชก็ไม่ขยับเลย ฉินสือโอวร้อนใจ จึงสะบัดบังเหียนม้าพลางร้องตะโกน “ไป!”
ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ฟรีดริชที่งง พอลลี่เองก็งงไปด้วย เขาถามเหมาเหว่ยหลงด้วยความงงงัน “เมื่อกี้นี้ฉินตะโกนอะไรเหรอ?”
เหมาเหว่ยหลงหัวเราะจนตัวงอ เขาอธิบายให้กับพอลลี่ พอลลี่มีสีหน้าเงิบไปหนึ่งทีแล้วพูดว่า “ฉิน ฟรีดริชไม่เคยเรียนภาษาจีน ฉันว่ามันน่าจะฟังคำสั่งนายไม่ออกนะ”
ในตอนนั้นมีม้าหนึ่งตัววิ่งมาอย่างนุ่มนวลดังสายลม ฟรีดริชค่อนข้างตกใจจึงก้าวถอยหลังอยู่กับที่ แต่พอฉินสือโอวใช้บังเหียนบังคับได้ ม้าดำก็ก้าวตามไปทีละก้าวเล็กๆ โดยทันที
…………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset