ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 334 ความผิดของหู่จือและเป้าจือ

ชายผู้ตรวจที่จูงหมาขมวดคิ้วขึ้น สายตาของเขามองผลัดไปยังฉินสือโอวและกระเป๋าที่อยู่ตรงหน้าอกของพนักงานรักษาความปลอดภัย เขาแสดงเจตจำนงที่เข้าไปเก็บเอากุญแจมือและพูดกับฉินสือโอวขึ้นว่า “สุนัขตำรวจของเราตัวนี้เก่งมากในเรื่องยาเสพติด มันไม่มีทางดมผิดแน่นอน และอันที่จริงแล้วที่ดึงดูดความสนใจของมันไม่ใช่กระเป๋าใบนี้ แต่เป็นคุณครับ คุณผู้ชาย”
พอผู้ตรวจพูดอย่างนี้แล้ว ฉินสือโอวก็มีอารมณ์ขันขึ้นมา ถ้าบอกว่าในกระเป๋ามีปัญหาก็พอจะเชื่อได้ อีกทั้งพ่อแม่ของเขาก็ออกนอกประเทศมาครั้งแรกก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเอาสินค้าต้องห้ามพวกยาสมุนไพรอะไรอย่างนี้มาด้วยก็ได้ แต่นี่มาบอกว่าเป็นที่ตัวเขาเองมีปัญหา นั่นมันไม่ตลกไปหน่อยเหรอ
แต่เดิมฉินสือโอวก็ไม่ยอมรับการตรวจสอบอยู่แล้วเพราะเขาไม่รู้ว่าข้างในกระเป๋ามีอะไร แล้วถ้ามีสมุนไพรต้องห้ามจริงๆ งั้นก็คงต้องให้เออร์บักมาจัดการ
ส่วนตอนนี้กลับมาสงสัยที่ตัวเอง เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา เขาเลยถามออกไปอย่างตรงๆ ว่า “ผมยอมรับการตรวจสอบ พวกคุณว่ามาเลย ว่าจะตรวจสอบยังไง?”
ผู้ตรวจเลยให้ฉินสือโอวดึงแขนเสื้อขึ้น เพราะเขาอยากจะดูว่าที่แขนของฝ่ายตรงข้ามมีรอยการใช้เข็มฉีดยาเสพติดหลงเหลือไว้ไหม แต่สุดท้ายก็ไม่เจออะไร
จากนั้นผู้ตรวจกับพนักงานรักษาความปลอดภัยก็พาฉินสือโอวเข้าไปในห้องทำงานห้องหนึ่ง ทำให้พ่อและแม่ของฉินสือโอวเป็นกังวลมาก วินนี่ก็พยายามปลอบพวกท่านแล้วบอกว่าปัญหาครั้งนี้เป็นที่สนามบิน พวกเขาต้องรับผิดชอบแน่ๆ อย่าได้กังวลใจไป
แต่จะไม่ให้พ่อแม่ของฉินสือโอวกังวลใจได้ยังไง? ที่ฉินสือโอวอยู่ๆ ก็ได้ลาภลอยที่แคนาดาอย่างนี้ พวกเขาเลยได้แต่รู้สึกว่าเงินที่ได้มานั้นผิดกฎหมายหรือเปล่า ตอนนี้ตำรวจเลยต้องพาเขาไป แล้วมาบอกว่าไม่มีปัญหาอะไรจะให้พวกเขาเชื่อได้อย่างไร?
พอเข้าไปในห้องทำงาน พนักงานรักษาความปลอดภัยก็ทำการค้นตัวฉินสือโอว ทั้งเสื้อกางเกงแม้กระทั่งรองเท้าต่างก็ตรวจสอบหมดแต่ก็ไม่พบอะไร พวกเขาสงสัยมากจนต้องปล่อยสุนัขจับยาเสพติด ส่วนเจ้าหมาตัวนี้ก็ยังคงวิ่งวนรอบฉินสือโอวอยู่ดี
ผู้ตรวจมีอาการตะลึงเล็กน้อย เลยพูดอย่างสงสัยขึ้น “เขามีสารเสพติดอยู่ในร่างกายจริงหรือนี่?”
ส่วนผู้ตรวจที่มีเชื้อสายจีนที่ค่อนข้างอ่อนโยนยื่นบุหรี่มวนหนึ่งให้ฉินสือโอว ตรงนี้ก็เหมือนเป็นหลุมพรางอีกอย่างหนึ่งซึ่งก็คือ ในระหว่างการตีสนิทโดยการยื่นบุหรี่ให้ของคนจีนนั้น ที่จริงแล้วทำให้สามารถดูจากท่าทางการรับบุหรี่ของคนคนนั้นได้ว่าเป็นนักสูบมานานเท่าไรแล้ว
เพราะอย่างที่ทุกคนรู้ พวกเล่นยาส่วนมากก็เป็นนักสูบบุหรี่ด้วยกันทั้งนั้น
และก็ทำให้พวกเขาผิดหวังไปตามๆ กัน เพราะฉินสือโอวผลักออกทันที และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ขอโทษนะ ผมสูบแต่ซิการ์คิวบา อย่างอื่นไม่แตะ”
จากนั้นผู้ตรวจที่มีเชื้อสายจีนก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดีขึ้น และจุดบุหรี่สูบเองแล้วพูดขึ้น “คุณผู้ชายอย่าขัดแย้งกับพวกเราขนาดนั้นเลย พวกเราก็แค่ทำตามหน้าที่เพื่อให้ประเทศมีความพัฒนาก้าวหน้าขึ้นกว่าเดิม และตอนนี้ดูเหมือนว่าตัวคุณจะมีปัญหา แน่นอน ผมไม่ได้บอกว่าร่างกายคุณมีปัญหาอะไร แต่เป็นไปได้ไหมว่าคุณสัมผัสกับอะไรที่เสพยาเป็นปกติอยู่แล้ว? คุณลองนึกดูสักหน่อยสิ ว่ามีคนงานคนไหนน่าสงสัยไหม”
จากนั้นผู้ตรวจอีกคนก็พูดเสริมขึ้นมา “ใช่แล้วล่ะ คุณผู้ชาย คุณลองคิดดูดีๆ แล้วพูดออกมาได้เลยไม่ต้องกลัว ที่นี่มีแต่พวกเรา ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน”
ถ้าตามปกติ ฉินสือโอวก็คงจะอธิบายดีๆ ไปแล้ว แต่นี่ต้องมีการเข้าใจผิดแน่นอน แต่วันนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ เพราะครอบครัวของเขาที่อยู่ดีๆ ก็ต้องมาโดนก่อกวนแบบนี้ ไหนจะพ่อแม่ของเขาที่ต้องขายหน้า
เรื่องของเรื่องก็คือ ฉินสือโอวคิดไปถึงว่าถ้าเกิดมีคดีบ้าบอพวกนี้ขึ้นมา ต่อไปถ้าคิดอยากจะให้พ่อแม่ของเขามาที่แคนาดาอีกก็คงเป็นแค่ฝันไป นอกซะจากว่าเขาและวินนี่แต่งงานกันและวินนี่มีลูก แล้วให้พวกเขามาดูแลหลาน
แต่ดูๆ แล้ว ทั้งสองอย่างต่างก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้
อย่างนี้ฉินสือโอวเลยจำเป็นต้องไม่ไว้หน้าคนพวกนี้ พอได้ยินคำถามของผู้ตรวจสองคน เขาจึงหยิบบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสที่ไม่เคยให้เจ้าหน้าที่ดูออกมา เสร็จแล้วก็โยนเข้าไปในวงนั้นแล้วพูดขึ้น “ปกติผมคบค้าสมาคมกับคนประเภทนี้แหละ ถ้าผมบอกชื่อไป พวกคุณจะกล้าไปจับเขาไหมล่ะ?”
ทั้งผู้ตรวจและพนักงานรักษาความปลอดภัยต่างก็ไม่เคยเห็นบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสในสภาพความเป็นจริงมาก่อน แต่ถึงจะไม่เคยกินเนื้อหมูก็ยังเคยเห็นหมูหนีมาก่อน และยิ่งไปกว่านั้นบนบัตรยังมีตัวหนังสือเขียนว่า ‘อเมริกันเอ็กซ์เพรส’ ถ้าพวกเขายังไม่รู้ถึงสถานะของบัตรนี้ ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความรู้เท่าหางอึ่งแค่นั้น
ครั้งนี้บัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสก็ทำให้อึดอัดแล้วขึ้นมาบ้าง เพราะผู้ตรวจและพวกพนักงานเริ่มมีท่าทีเปลี่ยนเป็นเคารพนบนอบมากขึ้นแต่ก็ยังไม่ปล่อยเขาไปอยู่ดี ส่วนผู้ตรวจที่มีเชื้อสายจีนก็ถามขึ้น “ปกติคุณสูบบุหรี่ไหม? แล้วรู้จักกัญชาอะไรพวกนั้นไหม?”
“รอคุยกับทนายผมแล้วกันนะ” ฉินสือโอวยิ้มอย่างเย็นชา
ทนายมาเร็วกว่าที่ฉินสือโอวคาดการณ์ไว้ซะอีก เขาพูดจบลงไม่นานก็มีคนเคาะประตูจากข้างนอก ชายผิวขาววัยกลางคนพร้อมกับแต่งตัวด้วยชุดสูบกลีบเรียบเปิดประตูเดินเข้ามา พร้อมกับหยิบใบรับรองออกมาและพูดขึ้น “จอน คาร์เตอร์ จากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ผมต้องการพบลูกความ คุณฉินสือโอว”
ฉินสือโอวพยักหน้า และชายผิวขาววัยกลางคนก็เข้ามาจับมือกับเขาและอธิบายขึ้น “ผมคือคนที่คุณเออร์บักส่งมา เดี๋ยวอีกสักหน่อยเขาก็ถึง ส่วนผมมาดูก่อนว่าคุณได้รับสวัสดิการที่ไม่เท่าเทียมหรือเปล่า”
“ผมโดนเหยียดชาติพันธุ์” ฉินสือโอวรีบพูดออกไป และประโยคนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าคนขาวจะมีประโยชน์มากที่สุด
จากนั้นพวกผู้ตรวจก็เริ่มร้อนใจขึ้นมา พวกเขาไม่กลัวบริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรส เพราะพวกเขาเป็นผู้รักษากฎหมายของแคนาดา แต่ที่พวกเขากลัวคือสำนักงานทนายความของแคนาดา โดยเฉพาะสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์แห่งศาลแพ่งอันเลื่องชื่อในแคนาดา
ผู้ตรวจเลยเปิดคอมให้ทนายดูวิดีโอกล้องวงจรปิดในตอนนั้น และอธิบายขึ้นว่า “ดูสิครับ สุนัขตำรวจของทางเราพบสิ่งผิดปกติ งั้นก็แสดงว่าต้องมีอะไรผิดปกติแน่นอน เพราะตั้งแต่มันออกมาจากการฝึกมันก็ไม่เคยดมผิดมาก่อนเลย…”
ส่วนทนายคนนั้นก็พูดแทรกขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า “ดูท่าว่าตรรกะของคุณนั่นแหละครับที่มีปัญหา ไม่เคยผิดพลาดมาก่อนก็ไม่ใช่ว่าจะผิดพลาดไม่ได้ อีกอย่าง ขนาดคนที่ฉลาดก็ยังผิดพลาดได้ แล้วนับประสาอะไรกับสุนัขตัวหนึ่ง? และดูจากในคลิปวิดีโอ สุนัขตัวนี้ก็ไปวิ่งวนคนขาวตั้งหลายร้อยคน แต่พวกคุณก็ไม่ได้สนใจอะไรคนพวกนั้น จะมีก็แต่มาจับกุมลูกความของผม นั่นก็แสดงให้เห็นว่านี่เป็นการเหยียดชาติพันธุ์”
แคนาดาก็เหมือนกับอเมริกา ตรงที่มีกฎหมายเข้มงวดกับเรื่องเหยียดชาติพันธุ์ โดยเฉพาะพนักงานราชการ ถ้าเข้าไปพัวพันกับคดีนี้ก็สามารถตกงานได้อย่างแน่นอน
จากนั้นพนักงานตรวจสอบก็อดไม่ได้ที่จะไปขอความช่วยเหลือจากฉินสือโอวให้รีบเข้าไปชี้แจงกับทนายที่กำลังปะทะคารมอย่างดุเดือดขึ้น ผ่านไปสักพักก็มีเสียงเคาะประตูจากข้างนอก พร้อมกับมีผู้ชายสองคนในชุดสูทรองเท้าหนังเดินเข้ามา
“ทนายประจำฝ่ายกฎหมายของบริษัทจัดประมูลริชชี่ครับ กเราต้องการพบกับลูกความของเรา คุณฉินสือโอว”
ทันใดนั้นเองหน้าผากของพวกผู้ตรวจก็เต็มไปด้วยเหงื่อ และฉินสือโอวก็หันไปมองพวกเขาอย่างเย็นชา จากนั้นก็ยักไหล่แล้วพูดขึ้น “ยังจะต้องสอบสวนผมอีกไหม? ถ้าไม่สอบสวนอะไรอีกแล้ว ผมก็จะไปหาพ่อแม่และครอบครัวผม ตอนนี้พวกเขาคงกลัวกันตัวสั่นไปหมดแล้ว”
“สุนัขตรวจจับยาเสพติดของพวกเราไม่มีทางไปก่อกวนคนบริสุทธิ์โดยไม่มีเหตุผล!” ผู้ตรวจที่รับผิดชอบจูงแลบราดอร์ริทรีฟเวอร์ก็พูดออกมาอย่างยึดมั่น
ฉินสือโอวนิ่งไปพักหนึ่ง เขามองไปยังหมาแลบราดอร์ริทรีฟเวอร์ที่กำลังวิ่งวนเขาแล้วพูดขึ้นว่า “หมาตัวนี้เป็นตัวเมียใช่ไหม?”
ส่วนผู้ตรวจที่ไม่รู้ว่าเขาคิดจะพูดเรื่องอะไรอยู่ เลยพยักหน้าแบบไม่ค่อยมีแรง และพูดพึมพำขึ้นว่า “เป็นไปไม่ได้ รอสของพวกเราจะผิดแบบนี้ได้เหรอ? มันที่เอาแต่วิ่งรอบตัวคุณ ถ้าคุณไม่ได้มีปัญหาอะไร มันก็คงจะไม่ทำอย่างนี้”
แต่ฉินสือโอวรู้ว่าที่จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น เพราะเขาเล่นกับหู่จือและเป้าจืออยู่ทุกวัน บนตัวเขาก็เลยมีกลิ่นอายของเจ้าสองตัวนี้อยู่ กลิ่นอายแบบนี้ถ้าสำหรับมนุษย์แล้วจะไม่ได้กลิ่น และถ้าพูดถึงแลบราดอร์ริทรีฟเวอร์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความรู้สึกไวในการได้กลิ่น และกลิ่นของหู่จือกับเป้าจือชัดเจนมาก
โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วงจะเป็นฤดูติดสัดของแลบราดอร์ริทรีฟเวอร์…
พอรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ฉินสือโอวก็โมโหจนโดนความรู้สึกที่ทำหน้าไม่ถูกเข้าปกคลุมในทันที
จะโกรธยังไง? และจะโกรธใคร? กับหมาแลบราดอร์ริทรีฟเวอร์ที่อยู่ในช่วงติดสัด? หรือจะโมโหอย่างไรกับหมาตัวหนึ่ง? หรือจะโมโหใส่ผู้ตรวจ? แล้วผู้ตรวจสองคนนั้นทำผิดอะไร? ความผิดหนึ่งเดียวของพวกเขาก็คือการเชื่อในหมาของตัวเองที่เลี้ยงมา
แต่ถ้าฉินสือโอวยอมยกโทษให้ทางสนามบิน เห็นทีจะไม่ได้ เพราะว่าคนที่ได้รับผลกระทบคือพ่อและแม่ของเขา อีกทั้งเขาก็ไม่ได้เป็นนักบุญที่เอะอะก็จะยกโทษให้คนอื่น?
แต่ฉินสือโอวก็ไม่ได้ทำอะไรที่เกินไป เขาหยิบรูปหนึ่งใบออกมาจากในกระเป๋าเงิน ซึ่งเป็นรูปคู่ของเขากับหู่จือและเป้าจือ ยื่นให้ผู้ตรวจคนหนึ่งแล้วพูดขึ้น “ผมมีหมาอันเป็นที่รักอยู่สองตัว เป็นแลบราดอร์ริทรีฟเวอร์ที่มีนิสัยกล้าหาญทั้งสองตัว ซึ่งผมเล่นกับมันเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลนี้หรือเปล่า”
พอเห็นรูปนักสู้ม้าพันธุ์ดีอย่างหู่จือและเป้าจือ ผู้ตรวจทั้งสองก็มีสีหน้าท่าทางกลืนแบบไม่เข้าคายไม่ออก ฉินสือโอวเลยถอดเสื้อของเขาและโยนไปด้านข้าง ส่วนสุนัขจับยาเสพติดตัวนั้นก็วิ่งตามเข้ามาหาเสื้อ และก้มหัวลงดม
และทุกอย่างก็ถูกเปิดเผย จากนั้นฉินสือโอวก็เข้าไปเก็บและเดินจากไป พนักงานรักษาความปลอดภัยก็เปิดทางให้ และทนายคนหนึ่งก็ถามขึ้น “คุณฉิน คุณหมายความว่ายังไง?”
“ผมยังต้องการรักษาสิทธิในการฟ้องร้อง ผมยังยืนยันในความคิดที่ว่าพวกเขาเหยียดเชื้อชาติและบกพร่องต่อหน้าที่ นอกซะจากจะทำให้ผมพอใจ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไปเจอกันที่ศาลได้เลย” ฉินสือโอวทิ้งคำพูดไว้สองประโยค จากนั้นก็เดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับ
ออกมาจากห้องทำงานก็รับรู้ถึงความกระวนกระวายใจของพ่อและแม่ ฉินสือโอวเลยอธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นให้พวกเขาฟัง วินนี่ได้ฟังก็ขมวดคิ้ว “อะไรนะ เป็นหู่จือและเป้าจือเหรอที่ก่อความวุ่นวายในครั้งนี้? วันนี้ทั้งพ่อและแม่ก็ตกใจกันไปหมด!”
ส่วนพ่อและแม่ของฉินสือโอวไม่ค่อยเชื่อในคำอธิบายนี้ แต่ลูกโดนเจ้าขุนมูลนายออกมาส่งด้วยความเคารพนบน้อม พอพวกเขาได้เห็นกับตาก็รู้สึกสงสัย แต่ก็ทำได้เพียงเก็บไว้ในใจ
พอออกจากสนามบินฉินสือโอวก็พาครอบครัวไปพักที่โรงแรม เขาให้ที่อยู่กับคนขับรถ แต่สุดท้ายวินนี่ก็เปลี่ยนกะทันหัน จากนั้นรถแท็กซี่ก็เลยจอดและจอดหน้าประตูโรงแรมธรรมดาโรงแรมหนึ่ง ที่ไม่ใช่โรงแรมห้าดาวของโทรอนโต ‘โรงแรมนานาชาติโอเอซิส’
“คุณทำอะไร?”
“ฉันก็ไม่รู้ว่าคุณทำอะไร ตอนนี้พ่อแม่คุณกังวลแทบตายกลัวว่าคุณจะทำธุรกิจผิดกฎหมายที่แคนาดา! และสิ่งที่คุณเตรียมทั้งหมดมันก็ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่พ่อกับแม่ของคุณจะเข้าใจ ถ้ายังไปนอนห้องเพรสซิเดนท์สวีตอีกนะ ฉันกล้าพนันได้เลยว่าพวกท่านต้องเป็นบ้าแน่”
“เวรเอ้ย นึกว่าจะดีแต่กลับพังซะนี่!”
ฉินสือโอวอดไม่ได้ที่จะสบถคำหยาบออกมา เขาบอกกับวินนี่ด้วยความกังวลใจถึงว่าทำไมไม่พูดความจริงกับพ่อและแม่ในตอนแรกที่มาแคนาดา จากนั้นวินนี่แบมือออกแล้วพูดขึ้น “คุณโกหกพ่อแม่ว่ามาทำงานนอกสถานที่ที่แคนาดา จากนั้นก็รับช่วงต่อฟาร์มปลาและของเก่าที่ปู่ทิ้งไว้ให้ ส่วนตอนนี้ก็กลายเป็นผู้มีอิทธิพลเหรอ?”
“ใช่”
“ฉันล่ะไม่เคยเห็นเด็กอย่างคุณโง่ได้ขนาดนี้เลย คุณเป็นลูกของพวกท่านนะ ควรจะพูดความจริงสิ บางทีพวกเขาก็อาจจะมีเป็นห่วงบ้าง แต่พอได้คุยโทรศัพท์กับคุณทุกวัน พวกท่านก็สบายใจขึ้นมาบ้าง โอเค มาพูดกันตอนนี้ก็สายไปแล้ว ไปแก้ไขมันเถอะ”
ฉินสือโอวกลุ้มใจไม่ไหว ที่จริงแล้วทางเลือกในตอนแรกของเขานั้นไม่ผิดเลย เขาที่วางแผนไว้ว่าพอมาถึงแคนาดาก็จะขายฟาร์มปลาและกลับบ้านเกิดไปนั่งกินนอนกินอย่างเดียว ใครจะไปคิดว่าเขาจะได้หัวใจโพไซดอนไว้ในครอบครองล่ะ?
แต่วันนี้ก็ไม่ได้มีแต่เรื่องแย่ไปซะหมด เพราะก่อนหน้านั้นที่วินนี่คอยปลอบใจพ่อแม่พี่สาวและครอบครัวของเขา ทำให้ตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายรุดหน้าจนสามารถเรียกได้ว่ากลมเกลียว แม่ที่เวลาเรียกวินนี่ก็ใช้คำว่า ‘ลูกสาว’ แทนแล้ว
และวินนี่ก็เลือกได้ไม่ผิด พอเข้ามาในโรงแรมก็เห็นถึงการตกแต่งที่สวยงามและสะอาด จากนั้นพ่อก็ถามว่าราคาเท่าไรก่อนเลยเป็นอันดับแรก
วินนี้เลยพูดขึ้น ห้องเตียงใหญ่หนึ่งห้องแค่แปดสิบห้าหยวน พ่อเลยถอนหายใจและพูดขึ้น “ราคายังถือว่าถูกมาก”
ฉินสือโอวเลยยิ้มอย่างเคอะเขิน และคิดว่าถ้าเขายังจะไปพักห้องเพรสซิเดนท์สวีตสามพันแปดร้อยดอลลาร์แคนาดาต่อคืนตามที่วางแผนเอาไว้ พ่อแม่ของเขาต้องตกใจแน่ๆ
…………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset