ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 353 ประหลาดใจอย่างต่อเนื่อง

ภาพสีน้ำมันภาพนี้น่าจะมีความยาวประมาณหนึ่งเมตร กว้างแปดสิบเซนติเมตร เก็บรักษาได้สมบูรณ์ ไม่มีการปฏิกิริยาออกซิเดชัน
บิลลี่ค่อยๆ กางภาพออก เผยให้เห็นถึงสภาพที่แท้จริงของมัน สิ่งที่วาดอยู่ธรรมดามาก ที่วาดอยู่ด้านบนคือท้องฟ้าสีเทา ด้านล่างเป็นหมู่ต้นไม้พุ่มไม้จำนวนมาก
พอเห็นถึงภาพนี้ ภายในใจฉินสือโอวรู้สึกไม่ค่อยสบาย เขาดูไม่ออกว่าในภาพนั้นคืออะไร แต่กลับรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ค่อนข้างหดหู่ สีของภาพวาดนี้ค่อนข้างมืดสลัว มืดสลัวถึงขั้นทำให้คนรู้สึกหมดหวัง
แต่ด้านบิลลี่ที่เห็นภาพสีน้ำมันนี้ครั้งแรก เขาพยายามควบคุมมือทั้งสองไม่ให้สั่นเพื่อแผ่มุมด้านขวาที่ม้วนขึ้นของภาพนี้ให้เรียบ ที่นั่นมีลายเซ็นหวัดลายเซ็นหนึ่ง ฉินสือโอวไม่ค่อยเข้าใจ จึงหันไปถามเขาว่า “นี่เป็นผลงานของใคร?”
“แวนโก๊ะ วินเซนต์ วิลเลียม แวนโก๊ะไง! นี่คือภาพ ‘อาทิตย์อัสดงที่มงต์มาจูร์’!” บิลลี่พูดด้วยอาการตกใจ
ได้ยินเสียงของเขา ฉินสือโอวเองก็พูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “อะไรนะ? นี่เป็นภาพของแวนโก๊ะ? เป็นของจริงหรือเปล่า?”
บิลลี่ใช้ผ้าลินินทับภาพสีน้ำมันเอาไว้ ปิดเครื่องสุญญากาศแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ โบกมือว่า “ไม่ไหวแล้วไม่ไหวแล้ว ขอพักก่อน พระเจ้า นี่ฉันต้องกำลังฝันอยู่แน่ ฉันหาภาพวาดที่สูญหายของแวนโก๊ะเจอเหรอเนี่ย? ภาพอาทิตย์อัสดงที่มงต์มาจูร์!”
ถ้าเทียบกันแล้ว ฉินสือโอวกลับใจเย็นกว่า เขาบอกว่า “อย่าเพิ่งตื่นเต้นขนาดนั้น ฉันจำได้ว่าแวนโก๊ะฆ่าตัวตายในปี 1890 ใช่ไหม? ภาพวาดของเขาในตอนนั้นไม่ได้รับความนิยมเลยสักนิด และเรือไททานิกก็จมลงในปี 1912 ห่างเพียงแค่ 20 กว่าปี ทำไมอยู่ๆ ภาพวาดของเขาก็ถูกเก็บรักษาอย่างดีจากคนคนหนึ่งกัน?
ข้อมูลเหล่านี้เขาทำความเข้าใจเมื่อตอนที่เขาหาภาพ ‘ทานตะวัน’ เจอ ไม่ได้รู้อะไรมากนัก หลังจากนั้นก็รู้ว่ามันเป็นของปลอม จึงไม่ได้ศึกษาภาพของแวนโก๊ะอีกเลย
แน่นอนว่าบิลลี่รู้มากกว่าอยู่แล้ว เขาเหลือบมองดูฉินสือโอวอย่างเหยียดๆ แวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “นายคิดว่าฉายาแวนโก๊ะศิลปินผู้โชคร้ายที่สุดนี้เป็นของปลอมเหรอ? ใช่แล้ว ผลงานของแวนโก๊ะไม่ได้รับการยอมรับเป็นเวลาค่อนข้างนานช่วงหนึ่งจากชาวโลก แต่สิบปีหลังจากที่เขาตายจากไป ในท้ายศตวรรษที่ 19 โลกได้เข้าสู่การปฏิรูปครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง ความคิดของผู้คนได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ความสามารถในการยอมรับสิ่งใหม่ๆ ก็ถูกยกระดับขึ้น มูลค่าของภาพจึงเริ่มปรากฏออกมา”
หลังอธิบายเกร็ดความรู้ง่ายๆ ให้กับฉินสือโอว บิลลี่ก็เริ่มต้นทำงาน เขาโทรศัพท์หาผู้เชี่ยวชาญในการประเมินภาพสีน้ำมันของบริษัทเพื่อสอบถามถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภาพวาดของแวนโก๊ะ ฉินสือโอวก็ทำความสะอาดตู้นิรภัยนี้ต่อ
เขารู้สึกว่าตู้นิรภัยนี้น่าจะไม่ได้มีเพียงแค่ภาพวาดนี้เท่านั้น และเป็นไปตามที่เขาคาดไว้ ภายในถ่านกำมะถันในกล่องยังมีสิ่งของอย่างหนึ่ง แต่ว่าไม่ใช่ผลงานศิลปะอะไร เป็นจดหมายฉบับหนึ่งเหมือนเดิม
ลายมือของจดหมายฉบับนี้หวัดมาก และไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ฉินสือโอวจึงได้แต่รอให้บิลลี่ดู
บิลลี่มีสีหน้าดีใจหลังจากที่วางสายไป เขาพูดกับฉินสือโอวว่า “ไม่ผิดอย่างแน่นอน นี่ก็คือภาพ ‘อาทิตย์อัสดงที่มงต์มาจูร์’ ของจริง เมื่อกี้ฉันให้คนไปตรวจสอบมาแล้ว”
เขาแนะนำต่อถึงการเดินทางของภาพนี้หลังถูกสร้างขึ้น “ภาพนี้เป็นภาพที่แวนโก๊ะสร้างขึ้นในปี 1888 สองปีหลังจากนั้นเขาก็ฆ่าตัวตาย ตอนนี้ภาพนี้ตกเป็นของธีโอน้องชายของเขา และในปี 1901 ธีโอนำภาพนี้ขายให้กับมูสตาดนักอุตสาหกรรมชาวนอร์เวย์ หลังจากนั้นพ่อบ้านของมูสตาดบอกว่าเขาเก็บรักษาภาพนี้มานานกว่าสิบปี ในปี 1911 ได้ขายให้กับตระกูลชนชั้นสูงหนึ่งของฝรั่งเศส หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้ข่าวของภาพนี้อีกเลย”
“เห็นชัดว่าเจ้าของภาพนี้อยากจะพามันไปนิวยอร์กด้วย แต่สุดท้ายกลับจมลงใต้ทะเล!” ฉินสือโอวพูดในตอนท้าย
บิลลี่พูดด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ถูกต้อง!”
หลังจากยืนยันตัวตนของภาพนี้ ทั้งสองคนก็เริ่มต้นพิจารณาถึงมูลค่าของภาพนี้ ด้านนี้มีผลดึงดูดต่อเบลคอย่างมาก ฉินสือโอวโทรศัพท์หาเขา แล้วว่า “เพื่อน ถ้าหากตอนนี้มีภาพของจริงของแวนโก๊ะภาพหนึ่ง อืม ชื่อภาพ ‘อาทิตย์อัสดงที่มงต์มาจูร์’ สามารถขายได้เท่าไร?”
เบลคพูดอย่างเชี่ยวชาญว่า “ภาพอาทิตย์อัสดงที่มงต์มาจูร์? ภาพปี 1888 ? ก่อนหน้านี้แวดวงการประมูลเคยทำการประเมินเอาไว้ ราคาน่าจะอยู่ระหว่าง 40 ถึง 48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ว่าในงานประมูลฤดูใบไม้ร่วงที่ซัทเทบีส์ในนิวยอร์กวันที่ 4 ของเดือนที่แล้ว ภาพ ‘ดอกป๊อปปี้และเดซี่ในแจกัน’ ที่แวนโก๊ะวาดไว้ในช่วงท้ายๆ ของชีวิตถูกประมูลไปในราคา 61.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ช่วงนี้ภาพวาดของแวนโก๊ะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลย…”
พูดมามากมาย ในที่สุดเบลคก็ได้สติกลับมา ได้ยินเสียงตะโกนมาจากอีกฝั่งว่า “โอ้พระเจ้า นายคงไม่ได้ไปเจอภาพ ‘อาทิตย์อัสดงที่มงต์มาจูร์’ ใช่ไหม? ภาพนี้ได้หายสาบสูญไปกว่าหนึ่งศตวรรษแล้วนะ!”
พอได้ยินว่าภาพนี้สามารถขายออกไปได้ห้าสิบล้าน ภายในใจฉินสือโอวก็ดีใจ พูดอย่างใจกว้างว่า “นายโชคดีมากเพื่อน นายจะได้เห็นภาพอันโด่งดังที่หายสาบสูญนี้ในไม่ช้าแล้ว อีกอย่าง ในบัญชีของนายก็จะได้มีเงินเพิ่มอีกก้อนใหญ่แล้ว”
“พรุ่งนี้ฉันจะรีบไปที่ฟาร์มปลาของนาย รอฉันด้วย ต้องเก็บรักษาภาพนี้ดีๆ นะ”หลังจากเบลคพูดจบประโยคนี้ ก็มีเสียงตะโกนของเขาดังมาจากอีกฝั่ง สั่งให้เลขาของเขาจองตั๋วเครื่องบินไปเซนต์จอห์นเที่ยวที่เร็วที่สุดให้เขา
ฉินสือโอวเก็บโทรศัพท์แล้วบอกการประเมินของเบลคให้กับบิลลี่ฟัง ทั้งสองคนแตะมือฉลอง บิลลี่พูดอย่างตื่นเต้นว่า “บ้านของนายมีแชมเปญไหม? พวกเราจำเป็นต้องเปิดแชมเปญฉลองแล้ว!”
ฉินสือโอวตั้งสติแล้วบอกว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อน พวกเรายังมีอีกกล่องหนึ่งนะ บางทีข้างในอาจจะเจอเข้ากับสิ่งของมีค่ายิ่งกว่าก็ได้”
“ของที่มีค่ายิ่งกว่าก็นาฬิกาพกทองของประจำตระกูลจอห์น เจคอบ แอสเตอร์ ที่ 4 แล้ว ฉันไม่คิดว่าในกล่องไวโอลินเล็กๆ นี้จะมีของแบบนี้ใส่อยู่ข้างใน” บิลลี่ยิ้มบอก
จอห์น เจคอบ แอสเตอร์ ที่ 4 เป็นคนใหญ่คนโตที่สุดในบรรดาผู้ประสบภัยเรือไททานิก เป็นคนที่รวยที่สุดในโลกและเป็นผู้นำตระกูลแอสเตอร์ในสหรัฐอเมริกา ณ ตอนนั้น เคยว่าจ้างกองทัพหนึ่งเข้าร่วมสงครามระหว่างสเปนกับอเมริกา ช่วยอเมริการบ การตายของเขาทำให้เกิดการปั่นป่วนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ เนื่องจากเขาเป็นผู้ที่มีครอบครองเยอะที่สุด
ทั้งสองคนพูดหัวเราะกัน บิลลี่เปิดกล่องไวโอลินสุดท้ายออก ก็พบกับไวโอลินสีน้ำตาลดำธรรมดาหนึ่งตัว แม้ว่าการปิดผนึกของกล่องไวโอลินค่อนข้างดี แต่ว่าสายไวโอลินก็ยังคนผุพังไม่น้อย ตัวไวโอลินเองก็มีตะกอนเกลือเกาะอยู่
ฉินสือโอวเชื่อว่าไวโอลินตัวนี้เองก็น่าจะมีเรื่องราวตำนานของมัน เพราะว่าเรือไททานิกลำนี้เป็นเรืออับปางที่เป็นตำนานเรื่องเล่า บนเรือไม่ว่าจะเจอเข้ากับสิ่งของอะไรต่างก็มีเรื่องราวทั้งนั้น
แต่ว่าบิลลี่พูดถูก แม้ว่าไวโอลินตัวนี้จะล้ำค่ายังไงก็คงเทียบกับภาพ ‘อาทิตย์อัสดงที่มงต์มาจูร์’ ไม่ได้ หรือมันยังเทียบกับจดหมายถึงบ้านของนาธาน สเตราส์ ไม่ได้ด้วยซ้ำ
อย่าดูถูกจดหมายฉบับนั้น เพราะก่อนหน้านี้มีจดหมายฉบับหนึ่งบนเรือไททานิกเคยถูกประมูลมาก่อน ราคาที่ประมูลคือ 89000 ปอนด์
เจ้าของจดหมายนั้นชื่อเอสเธอร์ ฮาร์ต เป็นแม่บ้านชาวอังกฤษธรรมดาที่พาลูกสาวเตรียมอพยพไปแคนาดาคนหนึ่ง แต่จดหมายฉบับนี้ล่ะ? นี่เป็นจดหมายถึงบ้านของสเตราส์ มูลค่าของทั้งสองฝ่ายเทียบกันไม่ได้เลย ไม่ต้องพูดถึงพลังของตระกูลสเตราส์ พูดแค่สิ่งที่ชายชราคนนี้ทำบนลำนี้ทั้งหมด ก็ควรค่าให้มูลค่าของจดหมายฉบับนี้ทวีคูณ ขายสักหนึ่งล้านปอนด์ก็ไม่มีปัญหา!
เก็บจดหมายทั้งสองฉบับ ไวโอลินและภาพวาดของแวนโก๊ะเรียบร้อย ทั้งสองคนพูดไปยิ้มไปเดินออกจากห้องใต้ดิน บิลลี่พูดเล่นว่า “พวกเราคงต้องว่าจ้างตำรวจหน่วยพิเศษมาปกป้องห้องใต้ดินของนายแล้ว”
ฉินสือโอว ทำไมต้องหาตำรวจหน่วยพิเศษ? ฉันมีครูฝึกจากเดลตาฟอร์ซและนักรบหน่วยรบพิเศษที่นี่ และที่สำคัญคือยังมีห่านรบสองฝูง อยากจะชิงของจากมือของฉัน ฝันไปเถอะ!”
“ห่านรบ? นั่นคืออะไร? ฝูงห่านโง่ที่นายเลี้ยงนั่นเหรอ?” บิลลี่หัวเราะ
ฉินสือโอวเองก็หัวเราะขึ้นมาด้วย แล้วเขาก็พบว่าที่แท้บิลลี่ยังไม่รู้ถึงความร้ายกาจของห่านไท่หูและห่านหัวสิงโตสินะ อย่างนั้นก็สนุกแล้วสิ
…………………………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset