ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 91 อาหารรสเลิศใต้ท่าเรือ

บทที่ 91 อาหารรสเลิศใต้ท่าเรือ
โดย
Ink Stone_Fantasy

วิลตามมาจนเจอฉินสือโอว ยักไหล่แล้วพูดว่า “ไม่ ฉิน อารมณ์ผมยังไม่ได้ดีขึ้นเลย”
ฉินสือโอวแอบขำอยู่ในใจ ไม่คิดว่าชายผิวดำคนนี้จะจริงจังกับคำพูดของเขา แต่เขาก็ไม่ควรแสดงความรู้สึกนี้ออกมาทางสีหน้า จึงพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “คุณวิล งั้นคงไม่พูดไม่ได้แล้วว่า คุณคงกดดันมาก ให้ตัวเองหยุดพักน่าจะดีที่สุด”
วิลถอนหายใจ พูดว่า “ก็จริงนะ เศรษฐกิจของแคนาดาตอนนี้ไม่ค่อยดี บริษัทก่อสร้างของพวกผมไม่ได้รับงานใหญ่แบบงานของคุณอย่างนี้นานมากแล้ว”
พูดคุยกันสักพัก วิลก็พูดถึงเหตุผลจริงๆที่เขาไล่ตามฉินสือโอว แผนการก่อสร้างของพวกเขาคือจะเริ่มสร้างจากท่าเทียบเรือมา แบบนี้แล้วก็ต้องมีการรื้อถอนท่าเทียบเรือเก่าบางส่วน เพื่อสะดวกในการหยิบใช้อุปกรณ์ก่อสร้าง
ฉินสือโอวบอกเขาว่าไม่มีปัญหา ทำอย่างไรก็ได้ วิลกล่าวขอบคุณ เดินไปที่ท่าเทียบเรือสั่งการคนงานให้เริ่มงานที่ใช้รถขุด เครื่องตอกเสาเข็ม
ฉงต้าแอบหลบอยู่ในบ้านครู่หนึ่ง ไม่มีคนเล่นด้วย และไม่มีอาหารกิน มันรู้สึกเบื่อจึงเดินโซซัดโซเซออกมา หยุดอยู่ตรงประตูมองไปทางท่าเรือ หลังเห็นเรือใหญ่เหล่านั้นไม่ขยับเขยื้อน จึงย้ายก้นอ้วนๆนั้นเดินไปหาฉินสือโอว
ฉินสือโอวกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้เอนข้างต้นเมเปิลเล่นมือถือ ตอนนี้ต้นเมเปิลแตกใบอ่อนแล้ว ใบไม้สีเขียวขจีนั้นปลิวไสวไปตามลมทะเล เปลือกไม้ก็ดูเหมือนมีชีวิตชีวา
ฉงต้าคลานมาถึงก็หมอบลงที่ตรงส่วนหัวด้านบนของเก้าอี้เอน นอนเอาหัวพิงอยู่ข้างหัวของฉินสือโอว ปรายตามองไปที่โทรศัพท์มือถือ เมื่อมองไม่เข้าใจก็ร้องงืดงืดด้วยความเบื่อ
ฉินสือโอวคุยแชทกับเพื่อนสมัยมหาลัยทางQQ เขาอยากจะเปิดกล้องโชว์ให้รู้ว่าที่บ้านเขาเลี้ยงหมีด้วย แต่พลันคิดได้ว่าเพื่อนทุกคนต่างเป็นเพื่อนเก่าสมัยเรียนทั้งนั้น การทำแบบนี้ก็ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร จึงแชทพิมพ์คุยกันต่อไป
สายลมแรงพัดมาจากทะเล เสียงใบต้นเมเปิลดังซ่าซ่าขึ้นมา น้ำเชื่อมต้นเมเปิลที่ไหลจากรอยแตกบนต้นไม้ถูกพัดไหลลงมาโดนตัว ฉินสือโอวรู้สึกเหนียวไม่สบายตัว จึงรีบเช็ดออก
ฉงต้านึกว่าฉินสือโอวแกล้งมันเล่น จึงอ้าปากไปงับมือฝ่ามือของฉินสือโอวเบาๆ แต่ลิ้นไปเลียโดนน้ำเชื่อมจากต้นเมเปิลเข้า ตาของมันเบิกกว้างทันที พร้อมร้องฮือฮือขึ้นมา
ฉินสือโอวพลันนึกขึ้นได้ ว่าหมีสีน้ำตาลนั้นชอบกินของหวานประเภทน้ำผึ้ง กับน้ำเชื่อมมาก จึงลุกขึ้นมาควักเข้าไปในรอยแตกบนต้นไม้ สุดท้ายควักได้น้ำเชื่อมจากต้นเมเปิลมาจำนวนหนึ่ง
น้ำเชื่อมต้นเมเปิลเหล่านี้ทั้งโดนแดดเผาโดนลมพัด ปริมาณน้ำได้ระเหยไปมากแล้ว เหลือไว้ก็เพียงแต่น้ำเชื่อมที่ข้นหนืด ฉินสือโอวหาช้อนอันใหญ่ที่ใช้สำหรับตักซุปปลา ควักเข้าไปทั้งช้อน ก็จะได้น้ำเชื่อมสีน้ำตาลอ่อนออกมา
ประสาทรับรสของหมีสีน้ำตาลโคดิแอคถือว่าเป็นหนึ่งในบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ดีกว่าสุนัทล่าสัตว์พันธุ์แลบราดอร์ริทรีฟเวอร์ถึงเจ็ดเท่า เมื่อควักน้ำเชื่อมช้อนเบ้อเร่อออกมา ฉงต้าตื่นเต้นสุดขีดไปชั่วขณะ อุ้งมือใหญ่คู่นั้นตบ’ป้าบป้าบ’ที่เก้าอี้เอน ตบไปเพียงทีสองทีก็ตบจนเก้าอี้พัง
 “เฮ้ย ไอ้หมีจอมซน!” ฉินสือโอวรู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก นี่เป็นเก้าอี้ตัวใหม่นะ โดนไอ้ตัวทำลายตัวนี้ทำเสียจนได้
เขารีบยื่นช้อนออกไป ฉงต้ายื่นมือประคองช้อนอย่างด้วยท่าทีเงอะงะ ลิ้นอันน้อยของมันเลียไปที่ช้อนอย่างสุดชีวิต ‘แผล่บ’ เพียงอึดใจเดียวก็เลียจนหมดเกลี้ยง!
เมื่อได้กินน้ำเชื่อมเข้าไปเต็มปาก อวัยวะที่น่ารักทั้งห้า(หู ตา คอ จมูก ปาก)ของฉงต้าเบียดรวมกันที่หน้าไปครู่หนึ่ง ปลายจมูกเล็กๆนั้นขยับไปมาไม่หยุด แสดงออกถึงท่าทีที่มีความสุข
การที่สัตว์แสดงอารมณ์ออกมานั้นเป็นอะไรที่หาดูได้ยากมาก ภาพลักษณ์ของหมีที่คนคุ้นเคยล้วนมีแต่อารมณ์โกรธทั้งนั้น ฉินสือโอวรีบยกโทรศัพท์’แชะแชะแชะ’ รัวถ่ายรูปฉงต้าที่อุ้มช้อนเอาไว้
หลังจากควักต่อไปอีกสี่ห้าช้อน จุดที่มีน้ำเชื่อมบนต้นนั้นก็ถูกฉินสือโอวควักจนหมดเกลี้ยง น้ำเชื่อมพวกนี้ต้องใช้เวลาในการสะสมนานถึงจะได้มา เมื่อควักจนหมดก็ไม่มีเหลือแล้ว
ฉงต้ากินไม่อิ่ม ใช้เล็บชี้ไปยังรูที่อยู่สูงขึ้นไปบนต้นไม้ ร้อง‘อู้อู้’ไม่หยุด ฉินสือโอวที่รู้สึกฉุนขึ้นมา ใช้มือตบไปที่หัวที่เต็มไปด้วยขนหนาๆ แล้วพูดว่า “พอเป็นเรื่องกินแกนี่ดูหัวไวเชียวนะ ทำไมทีเวลาปกตินี่โง่จัง?”
เสี่ยวหมิงที่นั่งแทะลูกสนอยู่บนกิ่งไม้อยู่นั้น เมื่อเห็นฉงต้าชี้ไปที่รูบนต้นไม้ หางพวงโตรีบลุกชันขึ้นมา วิ่งไปไม่กี่ก้าว ก็หยุดนั่งอยู่หน้ารูบนต้นไม้นั้นแล้วมองฉงต้าด้วยท่าทีตื่นตัว
ฉินสือโอวเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมา จึงหาบันไดมาปีนขึ้นไปดู ในรูนั้นมีน้ำเชื่อมอยู่ แต่สิ่งที่มีมากกว่าน้ำเชื่อมก็คือลูกสน ที่แท้ที่นี่คือที่เก็บอาหารของเสี่ยวหมิงนี่เอง
ถึงว่าต้นสนที่กินก่อนหน้านี้มีรสหวานจากน้ำเชื่อมอยู่ด้วย ที่แท้ก็ด้วยเหตุผลนี้นี่เอง ฉินสือโอวเข้าใจแล้ว
ฉงต้าเห็นเสี่ยวหมิงขวางอยู่หน้ารูต้นไม้ เกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา ความขี้กลัวของมันจะมีก็แต่กับสัตว์ตัวใหญ่อย่างหลุนฮั่วเท่านั้น กับกระรอกตัวเล็กๆอย่างนี้มันไม่กลัวหรอก ถึงยังไงมันก็เคยเป็นพี่ใหญ่บนภูเขามาก่อน
ต่อหน้าเสี่ยวหมิง มันลุกยืนขึ้นมา กรงเล็บจากขาหน้าตบไปที่ต้นไม้ ร้อง‘อุ้อุ้’ไปด้วยพลางออกแรงผลักต้นไม้ไปด้วย
ก่อนหน้านี้ตอนค้นหาข้อมูลของหมีโคดิแอคนั้นฉินสือโอวได้รู้ว่า หมีสีน้ำตาลพันธุ์นี้ชอบใช้การผลักต้นไม้ในการแสดงอำนาจของตัวเอง ท่าทางของฉงต้าที่พิงอยู่ที่ต้นไม้ในตอนนี้ ก็คือการแสดงว่าตัวเองเก่งกาจ
แต่น่าเสียดายที่ฉงต้ายังเล็ก แล้วขนาดของต้นเมเปิลนี้ก็ใหญ่มากขนาดสามคนโอบก็ยังไม่รอบเลย อย่าว่าแต่เป็นมันเลย ถึงแม้หมีรุ่นใหญ่มาเองก็คงทำอะไรไม่ได้
ฉงต้าผลักต้นไม้พลางร้องคำรามสักพัก เสี่ยวหมิงใจกล้าตัวนี้ไม่กลัวสักนิด กลับคิดว่าเจ้านี่คือหมีโง่ตัวหนึ่ง หยิบลูกสนมาลูกหนึ่งยื่นให้ฉินสือโอว แล้วปีนกลับไปแทะลูกสนต่ออย่างสบายใจ
ฉินสือโอวมองดูอย่างสนุกสนาน ผ่านไปสักพัก วิลกวักมือเรียกให้เขาไปหาอยู่ที่ท่าเรือ ฉินสือโอวคิดว่าอาจเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงรีบวิ่งไปหา
ฉงต้าที่โกรธอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นหูจือกับเป้าจือวิ่งตามฉินสือโอวไป ก็ลืมเรื่องน้ำเชื่อม สะบัดแขนแล้วตามไปอยู่ข้างหลัง
ความเร็วในการวิ่งของหมีสีน้ำตาลที่โตเต็มตัวนั้นน่าประทับใจมาก เมื่อถึงตอนที่ต้องวิ่งจริงๆ จะบอกว่าวิ่งเร็วเท่ากับความเร็วม้าวิ่งก็ไม่ถือว่าพูดเกินจริง แต่ว่าพวกมันไม่เหมาะกับการวิ่งบนหาดทราย ฉงต้าที่น่าสงสารวิ่งไปได้เพียงไม่กี่ก้าว อุ้งเท้าก็จมลงไปในทราย ทำให้มันหกล้มจ้ำเบ้าลงไป
 “อาววู้!” ฉงต้าที่หัวเต็มไปด้วยเม็ดทราย ลุกขึ้นมาแล้วร้องตะโกนออกมาอย่างน้อยใจ หูจือที่วิ่งนำหน้าอยู่หยุดหันมามอง ลังเลไปสักพัก แล้วก็วิ่งลิ้นห้อยย้อนกลับมา เลียฉงต้าเหมือนกำลังปลอบใจมัน
ฉินสือโอวหัวเราะขึ้นมา หู่จือนี่มีความเป็นพี่ใหญ่จริงๆ ไม่เลวเลย
เขาเดินไปที่ท่าเรือ ถามวิลว่า “ว่าอย่างไร เพื่อนฝูง?”
วิลพูดพร้อมหัวเราะ “ข่าวดีครับ ดูท่ามื้อกลางวันนี้เราจะได้กินอาหารทะเลชุดใหญ่แล้ว ดูสิ ฉิน ใต้ท่าเรือของคุณเต็มไปด้วยของดีทั้งนั้น!”
ทั้งสองข้างของท่าเรือเก่าถูกรื้อถอนไปบ้างแล้ว ทำให้ที่ว่างของพื้นที่ใต้ท่าเรือโผล่ออกมา
ท่าเรือนี้สร้างมาน่าจะครึ่งศตวรรษแล้ว โดนคลื่นทะเลซัดเซาะ ข้างใต้ท่าเรือมีแต่หลุมบ่อ ระหว่างหลุมพวกนั้นรถขุดใช้หัวขุดกั้นตรงส่วนบนของท่าเรือปิดทางออกไว้ ฉินสือโอวมองไปด้านล่าง มองเห็นเจ้าตัวสีดำตัวหนึ่ง
 “ตะพาบ? เต่าทะเล?” ฉินสือโอวพูดด้วยเสียงตกใจ
วิลพูดพร้อมหัวเราะ “ไม่ เพื่อนฝูง ปลาตัวแบน นี่คือปลาลิ้นหมาล่ะ เป็นอาหารทะเลที่มีค่ามากเลย”
เขาพลางพูดพลางหัวเราะชอบใจขึ้นมา ไม่ใช่เพราะดีใจที่จะได้กินอาหารทะเล แต่หัวเราะชอบใจฉินสือโอวที่เป็นถึงเจ้าของฟาร์มปลาแต่กลับไม่รู้จักปลาตัวแบนในฟาร์มปลาของตัวเอง
ฉินสือโอวพูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง ให้ตายเถอะ นี่โทษเขาได้หรือ? ชายหาดใต้ท่าเรือถูกทำให้น้ำขุ่นไปหมดแล้ว แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมองเห็นรูปร่างอะไรได้อย่างชัดเจน เห็นเพียงแต่หลังสีดำผลุบโผล่ไปมา จึงทำให้ฉุกคิดถึงตะพาบตัวใหญ่ที่เคยเจอที่บ้านเกิดขึ้นมา
ปลาลิ้นหมาถูกยกให้เป็นหนึ่งในปลาตัวแบนที่มีค่าที่สุดในโลก มีต้นกำเนิดมาจากมหาสมุทรแปซิฟิก จากนั้นก็ถูกนำเข้าโดยประเทศต่างๆ หลังจากทรัพยากรปลาค็อตฟาร์มปลาในนิวฟันแลนด์เริ่มน้อยลง แน่นอนก็ได้มีการนำเข้าปลาเศรษฐกิจมูลค่าสูงชนิดนี้เช่นกัน แต่ผลสุดท้ายไม่ค่อยดีนัก เพราะกลายเป็นว่าปลาลิ้นหมาไม่สามารถอาศัยอยู่ในฟาร์มปลานิวฟันแลนด์ได้
นึกไม่ถึงว่า ข้างใต้ท่าเรือฟาร์มปลาของฉินสือโอวกลับมีเจ้าพวกนี้ซ่อนตัวอยู่ ใช่ ไม่ใช่เพียงตัวเดียว แต่เป็นฝูง
เมื่อความขุ่นของน้ำทะเลตกตะกอนแล้ว ก็เผยให้เห็นถึงหน้าตาที่แท้จริงของเหล่าปลาลิ้นหมา พวกมันมีรูปร่างที่แบนมาก ลำตัวเป็นทรงกลมรูปไข่ ตาทั้งสองข้างอยู่รวมกันที่ด้านซ้ายของส่วนหัว ผิวหนังเปลือยเปล่าไร้เกล็ด ปากใหญ่ ทั้งครีมหลังและครีมก้นต่างก็แตกแบ่งย่อยเป็นซี่ๆ
ปลาฝูงนี้มีจำนวนประมาณสามถึงสี่สิบตัว ตัวใหญ่ที่สุดมีขนาดยาวถึงครึ่งเมตร แม้ขนาดของปลาตัวเล็กก็มีประมาณหนึ่งฝ่ามือเลย มีแต่ฟ้าถึงรู้ว่าทำไมพวกมันถึงมารวมกลุ่มกันอยู่ใต้ท่าเรือนี้ เป็นที่รู้กันว่าปลาพวกนี้มักอาศัยอยู่ใต้ทะเลลึก จึงไม่น่าจะเจอพวกนั้นที่ทะเลใกล้ฝั่งแบบนี้
แต่ทว่า ต่างกับปลาแฮลิบัตแอตแลนติกที่เป็นปลาตระกูลเดียวกับปลาลิ้นหมาที่จะชอบอาศัยอยู่ตามแนวน้ำตื้นมากกว่า เป็นไปได้ว่าหลังจากที่ถูกนำเข้ามาที่ฟาร์มปลานิวฟันแลนด์แล้ว เจ้าพวกนี้อาจถูกปลาตระกูลเดียวกันอย่างปลาแฮลิบัตเปลี่ยนลักษณะการดำรงชีวิตไป
อีกอย่าง สำหรับปลาลิ้นหมาแล้ว น้ำทะเลตรงหาดทรายใต้ท่าเรือก็ปลอดภัยกว่าทะเลน้ำลึกมาก
ปลาจากมหาสมุทรแปซิฟิกและแอตแลนติกมีความแตกต่างกันอยู่คือ ถึงแม้มหาสมุทรแอตแลนติกจะมีพื้นที่ใหญ่กว่า แต่ปลาที่โตที่นั่นขนาดตัวใหญ่เทียบกับมหาสมุทรแปซิฟิกไม่ได้เลย ในมหาสมุทรแอตแลนติกนั้นปลาลิ้นหมาที่มีขนาดหนึ่งเมตรถือเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่แล้ว แต่ในมหาสมุทรแปซิฟิกขนาดเพียงเท่านี้นั้นถือว่าเป็นแค่ปลาเล็กขนาดน่ารักเท่านั้น
หากไม่นับพวกฉลามกับวาฬแล้ว พูดได้ว่าปลาทูน่าครีบเหลืองขนาดเพียงสองเมตรครึ่งและปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือขนาดสามเมตรครึ่งก็สามารถฆ่าพวกมันได้แล้ว
ต้องรู้ว่าในมหาสมุทรแปซิฟิก ญาติห่างๆของปลาลิ้นหมาอย่างปลาแฮลิบัตมหาสมุทรแปซิฟิกที่ตัวขนาดสองเมตรครึ่งนั้นสามารถเจอได้ง่ายมาก ขนาดใหญ่สุดมีความยาวถึงสี่เมตร น้ำหนักมากกว่าสี่ร้อยกิโลกรัม
ปลาลิ้นหมาพวกนี้น่าจะอาศัยอยู่รอบๆใต้ท่าเรือมาสิบกว่ารุ่นได้ พวกมันคงคุ้นเคยกับที่ตรงนี้มาก ถึงแม้จะถูกรบกวนแต่ก็ไม่ว่ายหนี แต่กลับมุดไปในหลุมที่ลึกขึ้นใต้ท่าเรือแทน
ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกโพไซดอนสำรวจดูรอบๆ ข้างใต้ท่าเรือนี้มีปลาลิ้นหมาอาศัยอยู่อย่างน้อยสองร้อยตัว ตัวที่ใหญ่ที่สุดก็คือเจ้าตัวขนาดครึ่งเมตรที่โผล่มาให้เห็นตัวนี้ และยังมีอีกสิบกว่าตัวที่ตัวค่อนข้างเล็กประมาณสี่สิบกว่ามิลลิเมตร
เขาใช้จิตสำนึกโพไซดอนบังคับให้ปลาลิ้นหมาพวกนี้หนีออกจากท่าเรือ ว่ายตรงไปยังจุดพืดหินปะการังในทะเล หากดูแลปลาพวกนี้ดีๆ ต่อไปจะสามารถทำกำไรให้กับฟาร์มปลาได้ และบางทีอาจไม่น้อยไปกว่าปลาทูน่าครีบเหลืองด้วยซ้ำ
ฉินสือโอวให้คนขับรถขุดเคลื่อนย้ายหัวขุดออกไป เพื่อปล่อยปลานำฝูงที่ยาวขนาดครึ่งเมตรตัวนั้นไป ยังมีปลาลิ้นหมาอีกสองตัวที่ก่อนหน้านี้ถูกก้อนหินทำให้บาดเจ็บขณะก่อสร้าง ทั้งคู่ขนาดตัวไม่เล็กเสียด้วย รวมกันน่าจะมีสิบกว่าถึงยี่สิบชั่ง(สามสิบกว่าถึงสี่สิบกิโลกรัม) ฉินสือโอวเก็บสองตัวนี้ไว้กินก็พอแล้ว
เมื่อปลาลิ้นหมาว่ายออกไป ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกโพไซดอนสำรวจดูแล้วก็ดีใจขึ้นมา ที่แท้ใต้ท่าเรือนี้ก็คือโลกใต้ทะเลขนาดย่อมนี่เอง ไม่เพียงแต่จะมีปลาลิ้นหมา ยังมีปูหิมะแคนาดากับปูแดง ตัวเล็กตัวใหญ่อาศัยอยู่ จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
ปูหิมะคือชื่อทางวิทยาศาสตร์ ชื่อที่เรียกกันทั่วไปมีสองชื่อ ในแคนาดาเรียกว่าปูราชินี แต่ในอเมริกาเรียกปูช่างทำหนัง นี่ถือเป็นประเภทย่อยของมัน รสชาติดีมาก
……………………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset