ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 110 เชอริลและเชอร์ลี่ย์

บทที่ 110 เชอริลและเชอร์ลี่ย์
โดย
Ink Stone_Fantasy

                ขึ้นชื่อว่าหมี ไม่ว่าจะสีไหนก็คือหมี ทุกตัวล้วนมีความดุร้ายอยู่ในสายเลือด เปรียบดั่งราชาแห่งป่าพนาไพร
                แรกเริ่มฉงต้านั้นยังไม่ได้มีอาการใดๆ แต่หลังจากที่มันเห็นหู่จือและเป้าจือต่างก็เห่าหอนแบบไม่มีทีท่าจะสิ้นสุด มันเลยหมดความอดทนแล้วคำรามเสียงดังออกมาเยี่ยงราชาแห่งป่าผืนนี้ “โฮว!โฮว!”
                ขณะเดียวกันเจ้าเม่นกลุ่มนั้นยืนมองด้วยความตกใจไม่ไหวติง พร้อมทั้งกำลังคาดคะเนเหตุการณ์ถึงความน่าเกรงขามของฉงต้าที่อยู่เบื้องหน้า เพราะเจ้าเม่นเหล่านี้ก็ไม่เคยพบเห็นฉงต้าตัวจริงมาก่อน เพียงแค่เสียงลือเสียงเล่าอ้างเท่านั้น
                เม่นตัวแม่หลังจากประเมินสถานการณ์แล้ว ก็รีบหันตัวกลับเพื่อหาทางหนีไปให้เร็วที่สุด ลูกเม่นทั้งสามตัวหลังจากเห็นแม่วิ่งแล้ว พวกมันก็รีบกุลีกุจอปั่นเท้าวิ่งตามไปด้วยความรวดเร็วเพื่อให้ทันแม่ของมัน มองจากตรงนี้เหมือนพวกมันกำลังกลิ้งอยู่อย่างนั้นแหละ
                ฉินสือโอวมองไปยังสหายตัวน้อยเหล่านี้แล้ว ก็ทำใจไม่ได้ถ้าตนคิดจะบันดาลโทสะเอาชีวิตพวกมัน กับเรื่องเพียงแค่การแอบเข้ามากินพืชผักสวนครัวในไร่ของตน
                แต่…สุดท้ายก็วางไม่ลง จึงทำได้เพียงตบตัวฉงต้าอย่างแรงไปหนึ่งที แล้วบอกมันว่า “ลูกรัก ไป! ไปไล่พวกมันออกไปให้พ้นทางซะ!”
                ฉงต้าวิ่งไล่กวดไปพลาง ร้องคำรามไปพลางจนกระทั่งเจอกับศัตรู ณ ริมรั้ว ความจริงแล้วแม้จะไม่ได้รับการยั่วโมโหด้วยการตีจากฉินสือโอว อย่างไรแล้วเจ้าหมีย่อมต้องเกรี้ยวกราดขึ้นมาได้เองอย่างง่ายดายด้วยนิสัยอันธพาลของสัตว์ป่า
                เหตุการณ์ก่อนหน้านี้  ทำให้ฉงต้าเรียนรู้ความเจ็บปวดจากสุนัขทั้งสอง มันจึงยังไม่กล้าพลั้งมือกับเจ้าเม่นพวกนี้
                พวกเม่นรีบหาทางหนีโดยมุดผ่านช่องว่างระหว่างรั้วกำแพงสวน แล้วรีบมุดหนีหายไปในพงหญ้าบริเวณนั้น ฉินสือโอวเห็นเช่นนี้แล้วจึงตัดสินใจพาสุนัขทั้งสองกลับไปยังที่พัก เพราะอย่างไรเสีย พวกมันคงยังไม่กล้ากลับมาอีกในเร็ว ๆ นี้
                ภายใต้แสงระเรื่อๆ ของไฟยามค่ำคืน ฉินสือโอวพยายามดึงเข็มเม่นออกจากปากของเจ้าสุนัขทั้งสอง ขณะที่เขาดึงออกทีละเส้นอยู่นั้น พวกมันก็ร้องโหยหวนด้วยความทรมานอย่างแสนสาหัส พร้อมทั้งจิกกรงเล็บเพื่อจะผลักฉินสือโอวให้ออกห่าง
                ฉินสือโอวคิดหาวิธีช่วยให้เจ้าสุนัขทั้งสองของเขาหายจากความเจ็บปวดโดยการใช้พลังควบคุมน้ำไปยังสระ แล้วจึงพาพวกมันลงไปแช่ในน้ำ น้ำทะเลจะช่วยชำระล้างแล้วทำให้บาดแผลที่ปากค่อย ๆ ดีขึ้น ได้อย่างรวดเร็ว
                และแล้วปากของพวกมันก็หายเป็นปลิดทิ้ง จึงได้เวลาพาพวกมันไปเป่าลมจนแห้งแล้วพาเข้านอน ท่าทีของพวกมันจึงดูไม่มีความสุขแถมเดินไปที่นอนด้วยอาการคอตกอีก อาจเป็นเพราะเหตุการณ์ในวันนี้ได้ทำลายความเป็นตัวตนของพวกมันลงไปอย่างสิ้นเชิง
                “โธ่เอ๋ย เจ้าหมาน้อยที่น่าสงสาร” ขณะที่ฉินสือโอวกำลังปลอบสุนัขทั้งสองอยู่นั้น ฉงต้าก็ปรากฏกายขึ้น ทำทีท่าเหมือนว่าจะให้กำลังใจสุนัขทั้งสองด้วย
                ฉินสือโอวเห็นฉงต้ามาใกล้ ๆ จึงเอามือลูบที่ท้องของมันเบาๆจนมันเคลิ้มหลับไป อีกประเดี๋ยวก็เหมือนหลุดเข้าห้วงนิทรา แล้วกรนออกมาเบา ๆ ฉินสือโอวจึงผละมือออกแล้วค่อย ๆ กลับไปยังห้องนอนของตัวเอง
                เช้าวันต่อมา ฉินสือโอวได้ไปคุยกับเด็กๆทั้งสี่คนที่กำลังเดินทางไปโรงเรียนถึงปัญหาในการเรียนของพวกเขา ส่วนเออร์บักก็กำลังจัดการไฟล์การประชุมเกี่ยวกับปัญหาของเด็กๆ ณ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่อยู่ใกล้กับน้ำตกเล็กๆ แห่งหนึ่ง
                โรงเรียนแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมือง ไกลจากฟาร์มปลาของเขาไม่มากนัก แต่ตั้งแต่ที่ฉินสือโอวมายังเมืองแฟร์เวล เขาก็ยังไม่เคยมาเลยสักครั้ง เขารู้แต่เพียงโรงเรียนนี้จัดการเรียนไว้อยู่สองระดับคือประถมและมัธยมต้น ส่วนมัธยมปลายก็ต้องไปต่อที่เซนต์จอห์น
                จะว่าไปในส่วนของเมืองแฟร์เวลที่แคนาดานี้ก็มีความคล้ายคลึงกับประเทศจีนเหมือนกัน ตรงที่การเดินทางไปเรียนนั้นค่อนข้างลำบาก ใช้เวลาเดินทางไปกลับทีกินเวลาสามถึงสี่ชั่วโมง จึงจำต้องอาศัยที่หอพักแล้วกลับบ้านอาทิตย์ละครั้ง
                โรงเรียนนี้มีชื่อว่า โรงเรียนแกรนท์ ที่มาของชื่อนั้นมาจากคนก่อตั้งโรงเรียนคนแรกนั่นคือ โลลิ แกรนท์
                ขณะที่ฉินสือโอวกำลังขับรถใกล้ถึงโรงเรียน เขามองเห็นอาคารโรงเรียนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ประตูรั้วสีออกบลอนซ์ ๆ เป็นประตูที่เมื่อมองแล้วรับรู้ถึงความสงบเงียบ ภายในโรงเรียนน่าจะมีแต่ความสุข
                รถคาดิลแลควันขับมาถึงประตูโรงเรียน แต่ประตูรั้วปิดล็อกอยู่ เขาจึงตัดสินใจบีบแตรเรียก สักพักก็มีชายชราท่านหนึ่งสวมเหมือนเสื้อนักเรียนเดินออกมากมองคนที่นั่งภายในรถ และเขาคนนี้ทราบดีว่าใครกันที่อยู่บนรถตอนนี้
                เมืองแฟร์เวลเป็นเมืองเล็ก และดูเหมือนว่าเสียงลือเสียงเล่าอ้างไปถึงทุกคนได้เพียงชั่วพริบตา ทั้งๆที่ฉินสือโอวเพิ่งมาถึงเมืองนี้ได้ไม่นานนัก แต่ทุกคนราวกับรู้ว่ารถคาดิลแลควันอันหรูหราคันนี้เป็นของใคร รวมไปถึงฟาร์มปลานั้นด้วย
                ฉินสือโอวซื้อรถคันนี้ เพราะความชอบส่วนตัว ไม่ได้คาดคิดเลยว่ารถคันนี้เป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราฟุ่มเฟือยของที่นี่ จึงทำให้เขารู้สึกทำตัวไม่ถูกเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน ถ้ารู้เช่นนี้แต่แรก เขาก็จะไม่ซื้อรถยี่ห้อนี้มาใช้เด็ดขาดเลย
                หลังจากที่ชายชราท่านหนึ่งเดินออกมา เขาก็เดินไปทักทายฉินสือโอว พร้อมกับเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “คุณฉิน คุณมีนัดทานอาหารกับคุณเชอริลด้วยรึเปล่าครับ”
                ‘เชอริล’ ชื่อนี้ แม้จะสะกดต่างกันกับชื่อเชอร์ลี่ย์ แต่พอฟังคนออกเสียงแล้ว แทบจะเป็นคำเดียวกันเลย แถมชายชราผู้นี้พูดภาษาอังกฤษที่มีกลิ่นอายของภาษาฝรั่งเศสอยู่ในน้ำเสียงของเขาด้วย ภาษาอังกฤษของฉินสือโอวนั้นเรียกได้ว่าแค่ธรรมดาพื้น ๆ จึงฟังออกมาผิดๆถูกๆ
                ฉินสือโอวพูดปนหัวเราะแก้เขินว่า “คุณก็รู้จักเชอร์ลี่ย์ด้วยเหรอ?” เขาหัวเราะเบาๆ แล้วพูดต่อว่า “เธอเป็นคนเก่งมากเลยทีเดียวนะ”
                ชายชราผู้นี้มีท่าทีเหมือนจะเห็นด้วย จากแววตาและอาการตอบรับเพียงแค่กะพริบตา แล้วเอ่ยต่อว่า “คุณรอสักครู่นะครับ ผมจะไปโทรศัพท์แจ้งคุณเชอริล คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลาขับรถเข้าไป”
                ระหว่างที่พูด ชายชราก็หันหลังกลับไปยังห้อง ทิ้งฉินสือโอวไว้ให้สงสัยอยู่คนเดียว ฉินสือโอวต้องการเพียงให้ชายชราเปิดประตูให้ ทำไมเอาแต่พูดถึงชื่อเชอร์ลี่ย์แล้วก็เดินหายกลับไปนะ?
                ฉินสือโอวไม่มีทีท่าแปลกใจที่ชายชราผู้นี้รู้จักชื่อเชอร์ลี่ย์ ฉินสือโอวยังคิดด้วยว่าเออร์บักติดต่อกับทางโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว และว่าจะให้เชอร์ลี่ย์ พาวลิส เด็ก ๆ ทั้งสี่คนมาศึกษาต่อชั่วคราวที่นี่
                ขณะที่เขากำลังสงสัยอยู่นั้น ไม่กี่นาทีต่อมา มีหญิงสาวคนหนึ่งหน้าตาเต็มไปด้วยความสงสัยกำลังเดินออกมาจากประตูใหญ่
                หญิงสาวที่กำลังเดินมาอายุอานามน่าจะราวๆยี่สิบเจ็ดเศษๆ ดูแล้วก็รุ่นราวคราวเดียวกับฉินสือโอว เส้นผมของหล่อนสีบลอนด์พลิ้วไสว หน้าตาสะสวย หน้าอกหน้าใจก็มีไม่ใช่น้อย รับกับเสื้อผ้างดงามที่หล่อนใส่อยู่
                ทรวดทรงองเอวดูแล้วอ่อนช้อยงดงาม เรียวขาอันสวยงามชวนเหลียวมองที่รับกับกางเกงยีน มองแล้วเหมือนลูกพีชที่หอมหวานเย้ายวนใจ
                “สวัสดีค่ะ คุณลุงชัค ไม่ทราบว่าใครต้องการพบดิฉันคะ?” หล่อนยกมือขึ้นทัดผมให้เรียบร้อย แล้วทำหน้างุนงงด้วยความสงสัยกับชายชราที่ห้องประชาสัมพันธ์
                ชายชรายิ้มออกอย่างเจ้าเล่ห์กับฉินสือโอวแล้วพูดต่อว่า “ก็คุณฉิน เพื่อนที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งเลยไม่ใช่เหรอครับ?”
                และแล้ว หญิงสาวคนนั้นก็มองไปที่ฉินสือโอวด้วยความประหลาดใจ เหมือนว่าสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม
                แม้หล่อนจะสวยมากเพียงไรก็ตาม แต่ฉินสือโอวก็ต้องยอมรับอีกแหละว่าหน้าตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของหล่อนนั้นช่างน่ารักเสียนี่กระไร
                “นี่ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ ที่ผมถามถึงเมื่อสักครู่คือเชอร์ลี่ย์นะครับ เอาล่ะ นี่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แบบนี้นะ คือบ้านผมมีเด็กอยู่สี่คน มีความประสงค์ให้มาเข้าเรียนที่นี่ วันนี้จึงจะมาสอบถามถึงขั้นตอนการเข้าศึกษาต่อครับ” ฉินสือโอวรีบอธิบาย
                ชายชราหัวเราะแล้วพูดว่า “ก็คนนี้ไงครับคุณเชอริล”
                หญิงสาวก็ได้แต่พยักหน้ารับ แล้วพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ใช่ค่ะ ดิฉันชื่อเชอริล แฮรี่ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรคะ”
                ไม่นานนัก เหมือนเชอริลจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ทราบว่านี่ใช่คุณฉินหรือเปล่าคะ ที่เป็นเจ้านายของคุณเออร์บัก?”
                “ใช่ครับ ใช่” ฉินสือโอวรีบพยักหน้าตอบรับ
                เชอริลเดินไปเปิดประตู เอ่ยถามว่า “ดิฉันทราบเรื่องของคุณแล้วค่ะ คุณเออร์บักแจ้งไว้ว่า คุณเพิ่งรับเลี้ยงเด็กสี่คน และมีความประสงค์จะให้มาศึกษาต่อที่โรงเรียนประถมศึกษาแกรนท์ ใช่รึเปล่าคะ”
                “ใช่ครับ ใช่” ฉินสือโอวพยักหน้าหลาย ๆ ที เหมือนต้องการเน้นชัดคำตอบตัวเอง และไม่อยากให้ใครต่อใครคิดว่าเขาจะมาอวดร่ำอวดรวยโชว์สาวอะไรที่นี่
                เชอริลได้ยินดังนั้นจึงยักไหล่ขึ้นแล้วพูดเหมือนเกรงใจและอยากจะขอโทษอยู่ในน้ำเสียงว่า “เกรงว่าวันนี้จะไม่สะดวก เพราะวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ มีเฉพาะอาจารย์เวรที่อยู่ อีกอย่างเรื่องนี้ต้องเรียนโดยตรงกับอาจารย์ใหญ่มิทช์ เพราะดิฉันก็ไม่ทราบรายละเอียดในส่วนนี้”
                “วันนี้วันสุดสัปดาห์เหรอ” ฉินสือโอวตบที่ด้านหลังศีรษะตัวเอง “โธ่เอ้ย ให้ตายเถอะ หมู่นี้เป็นอะไรนะ”
                เชอริลก้มศีรษะแอบอมยิ้มและพูดว่า “ก็อย่างที่เห็นว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ ถ้าหากว่าคุณมาเมื่อวานนี้ คุณก็จะได้ปรึกษากับอาจารย์ได้โดยตรงเลย เอาแบบนี้ละกัน ดิฉันจะให้เบอร์โทรศัพท์ของอาจารย์ใหญ่มิทช์กับคุณแล้วให้คุณโทรไปติดต่อกับเขาดู”
                เมื่อให้เบอร์โทรศัพท์แล้ว เชอริลก็เดินแยกตัวออกไป ฉินสือโอวรู้สึกเคอะเขินที่ทำให้ชายชราผู้นั้นนึกว่าฉินสือโอวจะมาจีบสาวที่นี่ แต่จะว่าไปคุณครูคนนี้ก็ดูสวยดี รูปร่างก็งดงาม ถ้าหากจะใช้ชุดนี้เป็นเครื่องแบบคุณครูในห้องเรียนเพื่อเป็นจุดจูงความสนใจแล้วละก็…
ฉินสือโอวบังคับตัวเองให้หยุดคิด จึงคว้าโทรศัพท์มือถือมาเพื่อโทรหา วินนี่ นี่แหละคือแฟน คนที่เขากำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว
มันยากนะ การจะหาเวลาเหมาะสมในการโทรหากัน เพราะวินนี่ทำงานอยู่บนท้องฟ้าและไม่รู้เมื่อไหร่ที่เที่ยวบินจะลงจอด
ไม่มีอะไรหรอก ฉินสือโอวคิดแล้วขับรถกลับไป เมื่อขับมาถึงทางเข้าออกของเมืองแฟร์เวล ก็มีรถตำรวจคันหนึ่งขับออกมา เรียกตะโกนไล่หลังมาว่า “รถคันข้างหน้ากรุณาจอดชิดขอบทางขวาเพื่อตรวจสอบด้วยครับ ”
……………………………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset