ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 792 นี่คือน้ำหล่อเลี้ยงในเนื้อเยื่อต้นไม้

หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ฉินสือโอวจึงคุยกับชาร์คว่า “นายพาคนไปค้นหาตามแนวชายฝั่ง ฤดูกาลนี้แมงกะพรุนจะมีการสืบพันธุ์มากเป็นพิเศษ ตายละ ฉันไม่คิดว่าสาเหตุนี้จะทำให้น้ำมีปัญหา”
พวกชาวประมงล้วนเป็นคนที่คุ้นเคยกับท้องทะเลเป็นอย่างดี พวกเขารู้เรื่องแมงกะพรุนมากกว่าฉินสือโอว ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่าอันไหนสามารถกินได้และอันไหนควรจะทิ้งอย่างชัดเจน
วันนี้เด็กๆ ไม่ต้องไปโรงเรียน เพราะวันนี้เป็นวันเฉลิมฉลองการลงประชามติที่นิวฟันด์แลนด์รวมเข้ากับแคนาดา จึงเป็นวันหยุดอีกหนึ่งวัน
วันนี้ในประวัติศาสตร์ปี 1948 นิวฟันด์แลนด์ได้ทำการประชุมการออกเสียงประชามติ ซึ่งมีมติผ่านให้รวมเข้ากับแคนาดา เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ปี 1949 นิวฟันด์แลนด์จึงได้เข้าร่วมกับแคนาดาอย่างเป็นทางการ โดยเข้าร่วมเป็นรัฐที่สิบของแคนาดา
สำหรับนิวฟันด์แลนด์แล้ว นี่ไม่ใช่ความทรงจำที่ดีนักเพราะชนพื้นเมืองมีความรู้สึกที่อิสระเป็นอย่างมาก ในช่วงต้นศตวรรษเป็นอาณาจักรปกครองตนเองอาณาจักรแรกหลังจากจักรวรรดิอังกฤษสูญเสียอาณานิคมของอเมริกา ดังนั้นจึงเคยเป็นประเทศเอกราชมาก่อน
แต่เพราะในเวลานั้นยังเป็นประเทศเอกราชของจักรวรรดิอังกฤษ ดังนั้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง นิวฟันด์แลนด์จึงได้กู้เงินจำนวนมากมาเพื่อเป็นเงินทุนในการทำสงคราม และด้วยเหตุนี้ในช่วงทศวรรษที่ 1920 จึงทำให้ขาดดุลทางการเงินมาโดยตลอด และในช่วงทศวรรษที่ 1930 จึงมีหนี้สินสะสมมากกว่าสามเท่าของรายได้ประชาชาติ
ในปี 1933 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสินเชื่อและความน่าเชื่อถือของนิวฟันด์แลนด์ ธนาคารรายใหญ่แต่ละที่ของแคนาดาจึงใช้อำนาจข่มขู่ว่าจะระงับการให้กู้ยืมเงินชั่วคราว นิวฟันด์แลนด์จึงหันไปขอความช่วยเหลือจากลอนดอน ดังนั้นรัฐบาลอังกฤษจึงส่งคณะกรรมการสอบสวนแห่งราชวงศ์ไปเพื่อตรวจสอบปัญหานี้
ชาวอังกฤษทำสิ่งชั่วร้ายและเล่นสกปรกกับการเมืองจริงๆ ซึ่งหลังจากที่พวกเขาตรวจสอบแล้ว แผนการแก้ไขปัญหาที่ฝ่ายเดียวเสนอคือต้องการให้ยุบสภานิวฟันด์แลนด์และถ่ายโอนอำนาจทั้งหมดของรัฐบาลให้กับสมาชิกคณะกรรมการหกคน แต่สมาชิกของคณะกรรมการต้องมาจากนิวฟันด์แลนด์สามคน ซึ่งสามคนนี้ต้องมาจากสหราชอาณาจักร
ไม่แปลกใจเลยที่จริงๆ แล้วแผนการนี้ต้องการให้นิวฟันด์แลนด์ละทิ้งอำนาจอธิปไตยของประเทศชาติและให้กลับสู่สถานะอาณานิคมดังเดิม
แน่นอนว่าถึงแม้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะถูกรู้จักกันในชื่อประเทศเอกราช แต่ก็ยังเป็นอาณาจักรปกครองตนเองของแคนาดา ดังนั้นรัฐสภานิวฟันด์แลนด์จึงต้องยอมรับเงื่อนไขนี้ในที่สุด และยุบรัฐบาลประชาธิปไตย
ซึ่งสถานการณ์นี้ยังคงอยู่จนถึงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง อังกฤษได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่มีเงินงบประมาณให้กับนิวฟันด์แลนด์ จึงเสนอให้ยุติการส่งรัฐบาล
แต่ในตอนนั้นนิวฟันด์แลนด์ยังยืนยันจะเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งทำให้มีสูญเสียอย่างหนักเช่นเดียวกันและการก่อสร้างในประเทศก็กำลังประสบกับปัญหาคอขวด ในเมื่อหมดหนทางแล้วจึงทำได้เพียงหันไปขอความช่วยเหลือจากแคนาดา หลังจากแคนาดารับสัญญารับผิดชอบหนี้สินแล้ว จึงทำให้ผ่านการลงประชามติให้เป็นรัฐที่สิบของแคนาดา
เด็กๆ ไม่สนใจเรื่องนี้ ซึ่งในความเป็นจริงชาวแคนาดาก็ไม่ได้สนใจว่าใครจะมาจากไหนหรือจะอพยพมาอยู่นานแค่ไหนแล้ว เพราะรู้ไปก็วุ่นวายเปล่าๆ เช่นชาวเม็กซิกันและญี่ปุ่นทั้งสองประเทศค่อนข้างหัวโบราณ ครอบครัวผู้อพยพจะไม่อนุญาตให้เด็กๆ เรียนภาษาอังกฤษ และยังพยายามให้พูดแต่การพูดภาษาเม็กซิกันและภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น ดังนั้นเด็กที่มาจากครอบครัวเหล่านี้จะไม่รู้สึกผูกพันกับแคนาดาบ้างเหรอ?
เชอร์ลี่ย์พวกเขายิ่งไม่สนว่าตัวเองจะเป็นคนนิวฟันด์แลนด์หรือแคนาดา พวกเขาขอแค่มีเวลาเล่นในหนึ่งวันเยอะๆ เท่านั้นก็พอ
พอช่วงกลางวันเล่นกันได้สักพัก ก็มีเด็กสองสามคนวิ่งกลับมาด้วยความฉุนเฉียว พวกเขาหาไม้แท่งเล็กๆ ยาวๆ จนเจอแล้วจึงนำไปผูกกับไม้กวาดเพื่อทำอะไรบางอย่าง
หู่จือและเป้าจือก็เข้ามาใกล้ๆ เพื่อดูเด็กๆ กำลังพูดคุยกัน พวกมันทั้งสองมักจะร้องขึ้นเสมอราวกับว่าอยากมีส่วนร่วมในการพูดคุย
ฉินสือโอวจึงถามด้วยความแปลกใจ “พวกเธอกำลังทำอะไรกัน?”
กอร์ดอนก้มหน้าพูดว่า “ไปไล่จักจั่นนั้นกัน”
พาวลิสจึงอธิบายว่า “พวกเราอยากเล่นกันในบ้าน แต่ข้างนอกเสียงดังวุ่นวายมาก แมลงพวกนั้นอยู่บนต้นไม้ส่งเสียงร้องไม่หยุด มันทำให้พวกเราหงุดหงิดก็เลยตัดสินใจไล่พวกมันออกไป”
จริงๆ แล้ว ตามการระบาดของจักจั่นระยะสิบเจ็ดปี จึงทำให้ตอนนี้เมืองเล็กๆ ถูกล้อมไปด้วยเสียงร้องของจักจั่น ซึ่งที่เกาะแฟร์เวลก็ได้ยินเสียงร้องไม่หยุดหย่อนของตัวอ่อนเช่นกัน
ฉินสือโอวคิดอยู่สักพักแล้วพูดว่า “เอาอย่างนี้ดีไหม ฉันจะสอนพวกเธอจับตัวอ่อน มันเป็นเกมที่ฉันเล่นตอนเด็กๆ เลยนะ ตัวอ่อนที่จับได้ในตอนนั้นยังเอามากินได้อีกด้วย ตอนนี้ช่างมันเถอะ แต่ถ้าเอาให้ไก่ก็กินไม่เลวนะ”
เขากลับไปที่บ้านเพื่อหาแป้ง แล้วผสมกันจนเป็นแป้งโดว์ จากนั้นนำไปแช่ในน้ำเพื่อล้างแป้ง เมื่อล้างแป้งออกหมดแล้วก็จะเหลือแค่กลูเตนที่มีความเหนียว
ฉินสือโอวลองดูความเหนียวของมัน ซึ่งพอใช้ได้แล้ว จึงเอากลูเตนก้อนนี้ไปติดกับไม้ยาวแล้วส่งมันให้กับพาวลิส พร้อมพูดว่า “นาย ชาร์คและซีมอนสเตอร์น้อยสลับกันใช้อันนี้ เห็นหัวนี่ไหม? ค่อยๆ ใช้มันติดกับตัวอ่อน เข้าใจไหม?”
พูดๆ อยู่ เขาจึงใช้ตาข่ายมาทำเป็นแหจับปลาแบบง่ายๆ แล้วใช้เหล็กเส้นขดเป็นวงกลมประกอบกับไม้ยาวอีกแท่ง จากนั้นจึงบอกเชอร์ลี่ย์และกอร์ดอนว่า “นี่ทำมาจากตาข่าย แค่จับพวกมันมาลงตาข่ายก็พอแล้ว”
เมื่อเตรียมเครื่องมือเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉินสือโอวจึงพาเด็กๆ ออกเดินทางกันอย่างยิ่งใหญ่ มีหู่จือ เป้าจือและหลัวปอกระโดดโลดเต้นตามหลังมา มาสเตอร์ที่กำลังตากแดดอยู่อย่างน่าเบื่อยื่นหัวออกมาดู วินนี่จึงเอาอ่างอาบน้ำมาให้มันแล้วเทน้ำลงไป มันจึงรีบคลานเข้าไปหลบอากาศร้อนอย่างรวดเร็ว
ไม่รู้ว่ามีตัวอ่อนกี่ตัวบนต้นชูการ์เมเปิลสองต้นใหญ่นี้ หลังจากเข้าไปใกล้ๆ เสียงกวนประสาท ‘จิ๊ดจิ๊ดจิ๊ด’ ก็ดังเหมือนได้ฟังบทสวด ไม่แปลกใจที่เด็กๆ จะทนไม่ได้
อีกอย่างไม่ได้มีแค่ตัวอ่อนบนต้นไม้เท่านั้น แต่ยังมีแมลงอื่นๆ อีกมากมาย ไม่แปลกใจที่แอร์แบ็คบอกว่ายังมีเสียงกัดกินใบไม้ตามกันมา จริงๆ แล้ว ในเสียง ‘จิ๊ดจิ๊ดจิ๊ด’ ของตัวอ่อน ยังมีเสียงเคี้ยวใบไม้ดัง ‘กรอบแกรบ’ อีกด้วย ส่วนใต้ต้นไม้ก็จะมีอุจจาระของแมลงมากมายเต็มไปหมด ซึ่งมันน่าขยะแขยงมาก
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เกิดมาจากตัวอ่อน ดังนั้นแอร์แบ็คจึงโยนความรับผิดชอบให้กับตัวอ่อน ซึ่งก็ไม่ถือว่าเกินไป เพราะเนื่องจากตอนที่มันดูดน้ำหล่อเลี้ยงในเนื้อเยื่อต้นไม้ มันจะปล่อยปัสสาวะออกมาอย่างต่อเนื่องและพวกมันจะไม่ดูดน้ำหล่อเลี้ยงที่ไม่สมบูรณ์ เพราะจะทำให้ในปัสสาวะมีส่วนประกอบสารอาหารของน้ำหล่อเลี้ยงนั้น
ซึ่งส่วนประกอบของสารอาหารเหล่านี้จะดึงดูดมด ผีเสื้อ แมลงเต่าทองและแมลงอื่นๆ แต่ละชนิดที่ขาดน้ำมา พวกมันไม่เพียงแต่ดูดซับปัสสาวะของตัวอ่อนเท่านั้น แต่ยังกินใบไม้อีกด้วย ดังนั้นบนต้นไม้ยิ่งมีตัวอ่อนมากเท่าไร พอนานๆ ไปกิ่งไม้และใบไม้ก็จะยิ่งเสียหายมากเท่านั้น
เจ้าของต้นชูการ์เมเปิลคือเจ้ากระรอกเสี่ยวหมิง ดูเหมือนว่าเจ้ากระรอกจะต้องอดทนกับเสียงรบกวนของตัวอ่อนเป็นอย่างมาก มันจึงไปนั่งยองๆ อยู่บนง่ามไม้สูงๆ ด้วยความโกรธ แก้มของมันก็บวมขึ้นๆ เหมือนกับกำลังด่าคนอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ฉินสือโอวจึงผิวปากใส่เสี่ยวหมิง จากนั้นมันก็ยกไม้ท่อนเล็กๆ ขึ้นมาเพื่อหาจักจั่นที่กำลังส่งเสียงร้องอย่างมีความสุข มันค่อยๆ เอาไม้เข้าไปใกล้ๆ ในขณะเดียวกันก็มีเสียงเล็กๆ แนะนำขึ้นว่า “ดูนะ เราต้องระวัง เข้าใกล้อีกนิดแล้วจะทำให้มันมองไม่เห็น…”
เด็กๆ ดูด้วยความตื่นเต้น แล้วพยักหน้าเห็นด้วยอย่างสุดแรง ท่าทางที่ตั้งอกตั้งใจนั้นทำให้ฉินสือโอวรู้สึกทอดถอนใจไม่หยุด เจ้าเด็กพวกนี้ถ้าตั้งใจเรียนแบบนี้บ้าง ในอนาคตคงเป็นสมบัติของมหาวิทยาลัยอนุสรณ์นิวฟันด์แลนด์แน่นอน
“ขั้นตอนสุดท้ายคือต้องมีความมั่นคง หลังจากเราค่อยๆ เข้าไปใกล้ๆ แล้ว ดูฉันออกแรงนะ!” ฉินสือโอวสะบัดข้อมือ จึงทำให้ความเหนียวของกลูเตนไปติดกับปีกของตัวอ่อนได้พอดี ตัวอ่อนตกใจร้องเสียงแหลมแล้วกระดกก้นขึ้นพร้อมพ่นน้ำปัสสาวะออกมา
ฉินสือโอวไม่ได้จับตัวอ่อนแบบนี้มานานแล้ว จนลืมไปแล้วว่ามันจะพ่นปัสสาวะใส่ แต่เขาหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมีเด็กๆ อยู่รอบตัวเขา จึงทำได้เพียงอดทนกับความทรมานนี้
เด็กๆ ก็โดนน้ำปัสสาวะด้วยเช่นกัน กอร์ดอนจอมงี่เง่าจึงถามว่า “นี่คืออะไร? ทำไมอยู่ๆ ฝนถึงตกล่ะ?”
ใบหน้าของเชอร์ลี่ย์และคนอื่นๆ ก็เริ่มมีสีหน้าไม่ดี เพื่อที่จะรักษาภาพพจน์ของตัวเอง ฉินสือโอวก็คิดหาทางออกได้ทันที จึงพูดว่า “นี่คือน้ำหล่อเลี้ยงในเนื้อเยื่อต้นไม้! มันคือน้ำเลี้ยงในต้นไม้ที่ตัวอ่อนกินไงล่ะ!”
……………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset