ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 105 ความเข้าใจในมนุษย์กลายพันธุ์

บทที่ 105 ความเข้าใจในมนุษย์กลายพันธุ์

“ครับกัปตัน”

หลังจากเฉินเฉียงขานรับ เขาก็ได้วิ่งขึ้นหน้าและเดินไปเคียงข้างจางหยวน

“กัปตันจาง ข้าเองก็ฟังทุกคนพูดมามากมายแล้ว ทำไม้ข้าอดไม่ได้รู้สึกว่ากองกำลังของเรานั้นกำลังถูกคุ้มครองจากท่านผู้การจริงๆล่ะ”

“หากว่าเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าก็เริ่มรู้สึกไม่แปลกใจที่จะถูกคนอื่นดูแคลน”

“หรือว่าพวกเรานั้นไม่มีความสามารถพอที่จะรับภารกิจที่เกี่ยวกับการต่อสู้กัน”

“ใครบอกเจ้าว่าพวกเราทำภารกิจแบบนั้นไม่ได้ ก่อนที่เจ้าจะเข้ามานั้น ข้าบอกได้เลยว่าไม่มีใครสักคนในพวกเราที่บกพร่องในความห้าวหาญและทักษะในการต่อสู้เลยสักคนเดียว”

“เป็นเรื่องน่าเสียดายเหมือนกันที่เจ้านั้นพึ่งจะได้เข้ามาร่วมกับเรา”

“ทำไมเจ้าไม่ลองเปลี่ยนมุมมองดูล่ะ ก่อนหน้านี้เจ้าก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าที่พักของกองกำลังของเรานั้นมีห้องว่างมากมายขนาดไหน ที่ห้องเหล่านั้นว่างลงนั้น ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เกิดจากพวกเขาตกตายในสนามรบ”

หลังจากพบกับหลู่จี้ในวันแรก เฉินเฉียงนั้นคิดว่าหลู่จี้เป็นเพียงพวกใช้สมองเท่านั้น แต่เมื่อเขาได้ยินเรื่องที่ทำให้กองกำลังเทียนเว่ยต้องเสียชื่อเสียงเมื่อไหร่ ชายคนนี้กลับฮึกเหิมขึ้นมาราวกับเสือตัวน้อยเลยทีเดียว

จางหยวนเมื่อพูดถึงจุดนี้ เขาก็ได้ถอดถอนลมหายใจออกมายาวๆ “เฮ้ออออ.. เฉินเฉียง ที่ไอ้เจ้าเด็กเรียนนี่พูดออกมานั้นถูกต้องแล้ว”

“ด้วยการที่กองกำลังของพวกเรานั้นผ่านศึกสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน นั้นให้พวกเราเสียกำลังพลที่ทรงพลังไปมากมายนัก”

โดยเฉพาะในทุกๆครั้งที่พวกเราต้องปะทะกับไอ้พวกกลายพันธุ์ พวกมันจะเล็งหัวพวกเราด้วยทุกสิ่งที่มีก่อนเป็นอันดับแรก จะบอกว่าพวกมันจะตามล้างตามผลาญพวกเราจนกว่าจะหมดสิ้นก็ว่าได้

ที่ข้ากล้าพูดแบบนี้เป็นเพราะว่านี่ทำให้พวกเรานั้นเหลือเพียงสิบสามคนนับจากการสูญเสียครั้งก่อน

หลังจากนั้นท่านผู้การก็ไม่คิดที่จะส่งเราลงสนามรบอีก ถึงกระนั้น เมื่อหนึ่งเดือนก่อน ด้วยการยุยงของเจิ้งตี้ที่ส่งพวกเราไปทำภารกิจและนี่เองก็สมควรจะเป็นกับดักและทำให้พวกเรานั้นตกตายไปอีกห้าคน และนี่ก็ยิ่งทำให้ภารกิจของพวกเรานั้นลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ

“ความจริงข้าเองก็ลองคุยกับผู้การเรื่องที่จะกลับลงสนามรบเหมือนกัน แต่ผู้การนั้นไม่เห็นด้วย นี่ยังทำให้ข้าเข้าใจว่าเขาต้องการจะยุบพวกเราไปด้วยซ้ำ ดีกว่าที่จะปล่อยพวกเราให้ตกตายในสนามรบจนหมดด้วยซ้ำ”

“แต่ผู้การนั้นก็ไม่ได้เข้าใจว่ากองกำลังของพวกเรานั้นได้ตราธงนี้มาจากการผ่านศึกสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน “

“มันก็คงจะแปลกดีพิลึกหากพวกเรานั้นจะต้องสูญสิ้นไปจากเหตุผลอื่นที่ไม่ใช่ในสนามรบเช่นกัน”

คำอธิบายเหล่านี้ถึงแม้ทุกคนในกองกำลังเทียนเว่ยจะรับรู้กันทั่ว แต่เมื่อออกมาจากปากของกัปตันของตน นี่ทำให้พวกเขานั้นซาบซึ้งความหมายของคำคำนี้เข้าไปถึงแก่นกระดูก

ด้วยความรู้สึกที่หลากหลายนี้ เฉินเฉียงได้โทษตัวเองที่ดันไปเผลอถามในสิ่งที่เป็นรากแห่งปัญหา เมื่อเห็นทุกคนไม่ได้มีอารมณ์จะพูดอีกต่อไป เฉินเฉียงจึงได้เปลี่ยนหัวข้อ และนี่เองทำให้เขาอยากจะถามสิ่งที่ค้างคาใจของเขามานาน

“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว” เฉินเฉียงได้พูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบงัน “กัปตันจาง ก่อนหน้านี้ท่านเองคงเคยเจอพวกมนุษย์กลายพันธุ์มาไม่น้อยเลยใช่รึเปล่า”

“แหงสิ ไม่อย่างนั้นพวกเราเองคงไม่คุ้นเคยกับแผ่นพลังงานแบบที่ทำกันเมื่อวานหรอก” เมื่อนึกถึงเรื่องราวในสนามรบที่ผ่านมาในอดีต นี่ทำให้จางหยวนรู้สึกมีพลังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าเขานั้นพร้อมที่จะกลับเข้าสนามรบได้ทุกเมื่อ

“ทุกๆคนในที่นี้ได้เคยพบเห็นมัน และเกือบทั้งหมดเคยสังหารมันอย่างน้อยคนล่ะหนึ่งตน อย่างไรก็ตาม ที่พวกเราสังหารไปนั้นส่วนใหญ่แล้วหากไม่ใช่นักรบเหนือมนุษย์ระดับกลางก็ระดับสูงเท่านั้น แต่กับเจิ้งตี้ที่อยู่ในระดับนายพลทักษะพิเศษ จะมีก็เพียงรุ่นก่อนเท่านั้นที่เคยสังหารได้ และนั่นต้องถึงขั้นยอมพลีชีพเพื่อกำจัดได้หนึ่งคน นั่นเป็นเรื่องราวเมื่อสองปีก่อน”

เฉินเฉียงพยักหน้าอย่างเข้าใจ

ดาบดั้นเมฆของเข้าเองก็สมควรจะเป็นของซุนต้าฮู่ เขานั้นเคยปรารภไว้ว่าดาบเล่มนี้เคยสังหารมนุษย์กลายพันธุ์ระดับนายพลทักษะพิเศษมาแล้ว และนั่นทำให้เขารู้สึกภูมิใจอย่างมากยามที่เล่าเรื่องนี้ออกมา

เฉินเฉียงเห็นว่านี่เป็นโอกาสอันดีจึงได้ถามต่อ “กัปตัน นั่นหมายความว่าท่านพอจะรู้จักความแตกต่างของพวกมันกับเราด้วยสินะ”

“แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย” หลางซานเอ๋อที่คันปากมานานได้พูดแทรกขึ้นมา “ไอ้นักรบเหนือมนุษย์ที่ข้าเคยฆ่าไปก่อนหน้านี้นั้นมันเองก็มีปีกที่หลังด้วยเช่นกัน ในตอนนั้นขอใช้โอกาสที่กำลังชุลมุนตัดปีกของมันทิ้ง และนี่ทำให้สามารถล้มมันได้ แต่ปีกของมันตนนั้นไม่ได้แปลกประหลาดเท่ากับของเจิ้งตี้ที่เห็นเมื่อวาน”

“ข้าว่าอันนั้นมันเรียกลอบกัดมากกว่าน้า….” หลิวไฮ่กลอกตามองบนไปที่หลางซานเอ๋ออย่างดูแคลน “ไอ้พวกนักรบเหนือมนุษย์ที่ข้าเคยฆ่าไปนั้น มือหนึ่งของมันนั้นเป็นอาวุธพิเศษ และนี่ทำให้มันสามารถปล่อยอาวุธได้ไม่รู้จักหมดสิ้น แต่ตราบใดที่มีใครโจมตีชิ้นส่วนบนร่างกายของมัน มันก็ตกตายลงในทันที”

เมื่อได้ยินเช่นนี้เฉินเฉียงก็รู้สึกที่จะตื่นเต้นไม่ได้และถามออกมาต่อ “พี่หลิวไฮ่ หากถือจากที่ท่านพูดมาแสดงว่ามนุษย์กลายพันธุ์ไม่ใช่ทุกตัวจะมีปีกสินะ”

“หึหึหึ เฉินเฉียงเอ๋ยยยย ใครบอกเจ้ากันว่าไอ้พวกนักรบเหนือมนุษย์พวกนั้นจะเหมือนกันหมด” ม่อโจวหัวเราะออกมาจากปากที่เม้มแน่น “พวกเราเองเคยเจอไอ้พวกนักรบเหนือมนุษย์ที่สามารถพ่นไฟออกจากปากได้ด้วยซ้ำ ในครั้งนั้นมันทำให้พวกเราเสียไพร่พลไปมากเหมือนกัน แล้วรู้รึเปล่าว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น”

หลังจากพูดจบ เขาได้หันไปมองเม่ยหลัวหลันด้วยรอยยิ้มและพูดออกมา “เม่ยหลัวหลันได้โยนเม็ดพลังประกายแสงใส่ปากมันจนระเบิดไม่เหลือชิ้นดี สุดท้าย แม้แต่แผ่นพลังงานสักชิ้นก็ยังไม่เหลือให้พวกเราได้เก็บ”

เฉินเฉียงที่ได้ยินก็หันไปมองเม่ยหลัวหลันผู้เปรียบได้ดั่งดอกไม้ของกองพล และเป็นตอนนี้ที่เขาเห็นว่าเธอนั้นมีกระเป๋าเก็บของที่รายรอบอยู่เต็มเอวไปหมด

“กัปตัน ข้าขอมอบแหวนเก็บของนี้ให้กับกองกำลังของเรา มันจะทำให้พวกเรานั้นเก็บสินสงครามได้มากขึ้นในอนาคต”

เฉินเฉียงได้หยิบแหวนเก็บของเปล่าจากมือของเฉินเฉียงอย่างไม่เกรงใจและโยนไปให้เม่ยหลัวหลันในทันทีและพูดขึ้นมา “หลัวหลัน รับไปใช้อย่าได้เกรงใจ เฉินเฉียงนั้นรวยอยู่แล้ว จากนี้ไปเจ้าจะเป็นผู้ใช้มัน นี่ดีกว่ากระเป๋าเก็บของของเจ้ามากนัก”

เมื่อเห็นเม่ยหลัวหลันยิ้มแก้มปิในขณะที่กำลังนำสิ่งต่างๆยัดเข้าแหวนเก็บของไป เฉินเฉียงจึงได้ถามออกมา “กัปตัน ถ้าอย่างนั้นท่านก็คงพอจะบอกข้าได้ว่าเราจะแยกพวกมันออกในสนามรบได้ยังไง”

ตามความเข้าใจของเฉินเฉียงแล้ว เขาคิดว่าพวกนักรบกลายพันธุ์นั้นสมควรจะมีอะไรบางอย่างที่แตกต่างจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ยามที่ต้องฆ่าฟันกัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อจางหยวนได้ยินคำถามนี้เขากับนิ่งเงียบในทันที เช่นเดียวกับคนในกองกำลังคนอื่น

“ไอ้พวกกลายพันธุ์ระยำนั่นความจริงแล้วพวกมันไม่ได้มีห่าเหวอะไรที่แตกต่างกับพวกเราเลยแม้แต่น้อย นี่จึงทำให้ในทุกครั้ง พวกมันเป็นฝ่ายเปิดก่อน ไม่อย่างนั้นล่ะก็พวกเราคงไม่สูญเสียไพร่พลไปมากมายขนาดนี้ในทุกๆครั้งที่สู้กัน” หลางซานเอ๋อได้เตะก้อนหินข้างทางในทันทีในขณะที่พูดออกมาอย่างเกลียดชัง

และนี่ทำให้จางหยวนถอดถอนลมหายใจก่อนที่จะพูดออกมา “เฮ้อ หากนับเฉพาะการสู้กับพวกมันนั้น พวกเราในตอนนี้ถือได้ว่าสูญเสียมากกว่าน่ะ”

“ไอ้พวกนั้นเองก็รู้ดีในจุดนี้ นอกจากพวกมันจะเผยตัวออกมาด้วยตัวเองหรือลอบทำร้ายเท่านั้น และในทุกๆครั้ง พวกมันจะลงมือเมื่อมั่นใจว่าสำเร็จหรือไม่ก็ทำให้พวกเราเสียหายมากที่สุด”

“และในทุกๆครั้ง เป็นพวกเราที่เป็นฝ่ายตั้งรับ”

“ยิ่งไปกว่านั้นคือ ทุกๆครั้งที่มีการต่อสู้ จะต้องเป็นทหารของพวกเราที่ตกตายไปในทุกครั้งที่มันเริ่มโจมตี”

“หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ พวกเรายังไม่พบว่าไอ้พวกนั้นแตกต่างจากพวกเรายังไง”

“ฟังดูไร้สาระดีใช่ไหมล่ะ แต่มันก็คือความจริง หากพวกเราพบวิธีตรวจสอบพวกมันล่ะก็ พวกเราคงไม่ต้องเพลี่ยงพล้ำเพราะพวกมันอีกต่อไป และนั่นคงทำให้กองกำลังของพวกเราไม่เหลือคนเพียงเท่านี้” คำพูดของหลิวไฮ่เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ

เมื่อเฉินเฉียงได้ยินแบบนี้ ด้านหนึ่ง เขาได้เข้าใจยุทธวิธีของพวกมนุษย์กลายพันธุ์ว่าพวกนั้นเส็งเคร็งขนาดไหน อีกฟากหนึ่งนั้นเขารู้ว่าตราบใดที่เขาไม่ใช้ทักษะปีกสีเงิน เขาจะไม่เป็นที่สงสัยอย่างแน่นอน

เมื่อเห็นท่าทางที่หดหู่ของผู้คน เฉินเฉียงก็ได้พูดออกมาหลังจากหลิวไฮ่พูดจบไป “เอาน่า สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้อยู่เป็นการถาวรอย่างแน่นอน อีกไม่นานกองกำลังของเราจะกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิม”

“โอ้ น้องเฉินเฉียง เจ้าได้ยินอะไรมารึ”

Related

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจ ว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset