บทที่ 200 ทะลวงเขตแดน
เว่ยหยวนตี้ที่เห็นก็ถึงกับต้องตะโกนออกมาในทันที “เฉินเฉียง”
ฮั่นจุยนิ่งอิ้งไปในทันทีที่เห็น
เขาไม่รู้ว่าเฉินเฉียงนั้นคิดจะทำอะไร
หรือเป็นเพราะพวกเขานั้นมีเรื่องกัน เขาจึงได้คิดทำเรื่องบ้าๆเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่การกระทำของเฉินเฉียงนั้นอยู่เหนือความคาดหมายของทุกคน ต่อให้เว่ยหยวนตี้ ฮั่นจุย และคนอื่นคิดจะหยุดเขาก็ไม่อาจทำได้ทัน
แต่ที่หน้าตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือ เฉินเฉียงนั้นได้หายไปต่อหน้าต่อตาของทุกคน
“ไป…ไหน…แล้ว”
เว่ยหยวนตี้ได้วิ่งไปที่กำแพงหินและมองไปมาโดยรอบ ก่อนที่จะมองไปที่ผู้อาวุโสทั้งสาม
นี่ทำให้ผู้อาวุโสถงและผู้อาวุโสเทียผลุดลุกพร้อมกัน พวกเขามองไปรอบๆด้วยท่าทางที่ยากจะเอ่ย “เด็กนั่น…..เข้าไปด้วยตัวเองเหรอ”
“เหอะ จะเป็นไปได้ยังไงกัน”
ฮั่นจุยนั้นได้พูดคำดูถูกออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ “ทางเข้าเขตแดนจักรพรรดินั่นต้องใช้ระดับราชาถึงสามคนในการเปิดออกเลยนะ แม้แต่ไอ้พวกมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาดก็ยังต้องตกอยู่ในเงื่อนไขเดียวกันด้วยซ้ำ”
“แล้วกับไอ้ลูกหมานายพลวิญญาณขั้นกลางอย่างมันจะเข้าไปได้ด้วยตัวคนเดียวเนี่ยนะ”
“แต่เด็กนั่นมันหายไปต่อหน้าพวกเรานะ” ผู้อาวุโสถงและผู้อาวุโสเทียได้ผายมือไปที่ที่เฉินเฉียงวิ่งเข้าไปพร้อมกัน “ผู้อาวุโสฮั่น แล้วท่านจะอธิบายยังไง”
ฮั่นจุยได้เดินเข้าไปใกล้ๆกับกำแพงตรงที่เฉินเฉียงหายไปและใช้มือแตะๆตรงนั้นดู ก่อนที่จะหันกลับมาถาม “ผู้อาวุโส พวกท่านค้นพบร่องรอยเขตแดนหรือไม่”
ผู้อาวุโสธงและผู้อาวุโสเทียนส่ายหัวพร้อมกัน
“ถูกต้อง” ฮั่นจุยพูดออกมา “พวกเรานั้นคือระดับราชาถึงสามคน หากเฉินเฉียงเข้าไปในนั้นจริง พวกเราจะต้องเห็นรอยแยกเขตแดน”
“แต่ในเมื่อพวกเรานั้นไม่รับรู้ถึงมัน แสดงว่าเด็กนั่นไม่ได้เข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิ”
“ส่วนเด็กนั่นจะไปที่ไหนนั้น ข้าว่ามันกลัวจะต้องตกตายอยู่ข้างในจึงได้ใช้วิธีบางอย่างหนีออกไป”
“ช่างไอ้เด็กนั่นเถอะ รออีกสักสามปีจนกว่ามิติจักรพรรดิเปิดออกอีกครั้งเดี๋ยวก็ได้รู้กันว่ามันเข้าไปหรือไม่”
ฮั่นจุยได้นำผู้อาวุโสทั้งสามกลับไป ฮั่นจุยนั้นเป็นผู้นำของกลุ่มของพวกเขา พวกเขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
“ไปกันเถอะจ้าวลี่ พวกเจ้าทั้งสามก็ควรจะกลับไปได้แล้ว อีกสามปีพวกเราค่อยกลับออกมาพบพวกเขาใหม่”
หลังจากพูดจบ ฮั่นจุยก็พอทุกคนไปยังเรือมังกรบินและจากไปจากตีนเขาเอเวอเรสต์แห่งนี้
ในเขตแดนจักรพรรดิ เจิ้งยี่ จางหยวน และคนอื่นๆต่างก็รอเฉินเฉียงอย่างร้อนรน
ตอนที่นักรบคนสุดท้ายเข้ามาถึง เฉินเฉียงก็ยังไม่ได้เข้ามา
“ทำไมกัปตันยังไม่มาอีกกัน”
หลิวซวนเอ๋อขมวดคิ้ว
หลู่จี้เองที่คิดมาได้สักพักก็ได้พูดออกมา “ข้านั้นกังวลเรื่องผู้อาวุโสฮั่นมากกว่า”
“ผู้อาวุโสฮั่นนั้นไม่ปลื้มกัปตันของพวกเราแม้แต่น้อย เป็นไปได้ไหมว่ากัปตันจะถูกเขาหยุดไว้และตัดสิทธิ์ในการเข้ามาที่นี่”
“หากเป็นอย่างนี้จริง หากมีอะไรเกินขึ้นกับเว่ยฉิงเชินล่ะก็ เขาจะสามารถสังหารกัปตันได้อย่างไม่เหนื่อยแรง”
“ยังไงซะผู้อาวุโสฮั่นนั้นแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัดว่าสนใจในตัวเว่ยฉิงเชิน หากว่าเขานั้นต้องการสู่ขอเธอให้ลูกชายของตน กัปตันจะกลายเป็นอุปสรรคตัวเป้ง”
“ไม่จริงน่า ฮึ่ม หากว่าเกิดเรื่องอย่างนั้นจริงล่ะก็ พวกเราจะไปร้องเรียนที่สภาสูงหลังจากพวกเราออกไปแล้ว”
“คนเช่นนี้ไม่สมควรจะเป็นผู้อาวุโสในสภาสูง”
“ไปร้องเรียนแล้วจะยังไง เขานั้นเป็นถึงระดับราชานายพลเลยนะ ไหนจะเป็นทายาทโดยตรงของคนในสภาสูงอีก หมอนั่นถือครองทั้งพลังและกฎของกองกำลังในภาคกลาง คำพูดของเขานั้นแทบจะเป็นคำประกาศิตไปแล้ว”
“พวกเจ้าก็รับรู้ถึงความทรงพลังของเขาแล้วไม่ใช่รึไง นี่แค่เป็นเสียงของเขานะ แล้วเจ้า เจิ้งยี่ เจ้าไม่ใช่องครักษ์ของกัปตันรึไงกัน”
“แล้วทำไมเจ้าไม่อยู่ข้างๆกัปตันตลอดเวลาล่ะ”
“นี่มันการทำผิดต่อหน้าที่ชัดๆ”
“เจิ้งยี่ คงไม่ใช่ว่าเจ้านั้นคิดจะใช้โอกาสนี้และระดับการบ่มเพาะที่แกร่งกว่าแย่งชิงตำแหน่งของกัปตันหรอกนะ”
“ข้าบอกเจ้าได้เลยว่าไม่มีทาง”
“ต่อให้กัปตันไม่อยู่ที่นี่ พวกเราก็จะฟังเพียงคำสั่งของรองกัปตันเพียงเท่านั้น”
คำพูดของหลางซานเอ๋อนี้ทำให้กัวเหลียง เหรินหมิง และคนอื่นๆมองเจิ้งยี่อย่างเขม็ง
เมื่อเห็นว่าประตูกำลังจะปิดลง เฉินเฉียงก็ยังไม่ปรากฏเข้ามา เจิ้งยี่นั้นรู้สึกราวกับหัวใจโดนมีดกรีดเฉือนโดยตรง เขาทุบพื้นอย่างหนักหน่วงพร้อมน้ำตาที่ไหลริน
เป็นตอนนี้ที่อาการบาดเจ็บของเขาได้กำเริบ เจิ้งยี่ได้ก้มหน้ากุมหน้าอกของตนไว้แน่น และไอออกมาอย่างหนัก
“เป็น เป็นความผิดของข้าที่ไม่ยอมอยู่เคียงข้างกัปตัน” เจิ้งยี่นึกเศร้าเสียใจใจทันทีที่ตัวเองยอมทำตามคำสั่ง นี่ทำให้แม้แต่คนในกองกำลังยังโทษเขาในเรื่องนี้
“นี่พวกเจ้าพูดเรื่องไร้สาระอะไรกันอยู่เนี่ย”
เป็นตอนนี้ที่ทุกคนได้สังเกตเห็นแสงไฟหนึ่งปรากฏอยู่ไม่ไกล
“กัปตัน”
จางหยวนเป็นคนแรกที่เห็นเฉินเฉียงได้ชัดถนัดถนี่ เขาหันไปมองทิศทางที่ปากทางเข้าเขตแดนที่หายไป ความสงสัยได้บังเกิดขึ้นมาเต็มใบหน้าของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ฮี่ฮี่ฮี่ มันก็แค่ข้าผ่านเข้ามาทางประตูล่ะนะ” เฉินเฉียงได้วางมือบนอกก่อนที่จะนำแหวนออกมา แล้วทำการปรุงยาให้ทุกคนในทันที
“เอาล่ะ ตอนนี้ทุกคนกินยานี้เข้าไปฟื้นฟูอาการบาดเจ็บก่อน เดี๋ยวเราค่อยพูดเรื่องนี้กันทีหลัง”
หลังจากเขาสามารถเข้ามาในเขตแดนจักรพรรดิได้แล้ว เขาก็ได้พบกองกำลังของตนในทันที นี่ทำให้เฉินเฉียงนั้นได้สงบใจลง ในตอนนี้เขาเองก็ได้กินยาที่เขาปรุงขึ้นเพื่อฟื้นอาการบาดเจ็บ
ความจริงแล้วในตอนที่ผู้อาวุโสสามคนนั้นเปิดประตูด้วยกัน เฉินเฉียงได้สัมผัสถึงอะไรบางอย่าง นี่ทำให้เขานั้นเลือกที่จะศึกษาอุโมงค์เข้าเขตแดนนี้อยู่นาน
และนั่นทำให้เขานั้นรับรู้ได้ว่าต่อให้ไม่มีผู้อาวุโสสามคนนั้น เขาก็สามารถเข้ามาที่นี่ได้ด้วยตัวคนเดียว
สิ่งที่เรียกว่าเขตแดนจักรพรรดินี่ไม่ใช่อะไรที่พิเศษแต่อย่างใด เมื่อเขาเข้าใกล้อุโมงค์เขตแดนที่ถูกเปิดโดยผู้อาวุโส เขายิ่งรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าต่อให้เขานั้นไม่เข้าผ่านอุโมงค์เขตแดนนั่น เขาก็ยังเข้ามาได้อยู่ดี
และเขายิ่งมั่นใจยิ่งขึ้นเมื่อตอนที่เขาเข้าไปใกล้อุโมงค์แต่ฮั่นจุยดันถอนมือออก ด้วยการที่ผู้อาวุโสถงและผู้อาวุโสเทียยังคงฝืนรั้งเอาไว้นั้น นี่ทำให้เขานั้นเห็นร่องรอยของประตูชัดเจนยิ่งขึ้น นี่ทำให้เขามั่นใจยิ่งกว่าเดิม
แต่ว่าร่องรอยนี้ ผู้อาวุโสทั้งสามต้องใช้พลังงานมหาศาลในการเปิดมันออกเลยนะ
นี่ทำให้เขานั้นคิดจะยืนยันในสมมติฐานของเขา
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เฉินเฉียงไม่ได้มีท่าทีทุกข์ร้อนแต่อย่างใดหลังจากที่เห็นประตูปิดไปแล้ว เขาทำเพียงแค่หาที่เหมาะๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขานั้นต้องการให้ฮั่นจุยนั้นเห็นเขาอย่างชัดๆ และเขาก็ได้ใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตา
ด้วยการที่ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาของเขานั้นอยู่ในขั้นสูง ต่อให้มีระดับราชาทั้งสามคนคอยตรวจสอบเขาด้วยกระแสจิตอย่างตั้งใจก็ไม่แม้แต่พบร่องรอยของเขา
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทั้งๆที่เฉินเฉียงเข้ามาในเขตแดนเรียบร้อยแล้วด้วยตัวเอง แต่ทุกคนนั้นกลับไม่รู้สึกว่าเขานั้นเข้ามาแล้วแต่อย่างใด กลับกัน พวกเขาต่างก็คิดว่าเฉินเฉียงหนีทัพและออกจากภูเขาเอเวอเรสต์ไปแล้วด้วยซ้ำ
และการตรวจสอบสมมติฐานของเขาในครั้งนี้นั้นทำให้เฉินเฉียงดีใจอย่างไม่รู้เหนื่อย
นั่นก็เพราะ นี่จะหมายความว่าเขานั้นจะออกไปเมื่อไหร่ก็ได้
เขานั้นไม่เคยคิดมาก่อนว่าทักษะของตนที่แม้แต่เขาเองก็ยังดูแคลนมาโดยตลอดจะพัฒนามาได้จนถึงจุดที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังต้องประหลาดใจ