ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 201 มุ่งตรง

บทที่ 201 มุ่งตรง

ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาโดนฮั่นจุยเล่นงานด้วยคลื่นเสียง เขามั่นใจว่าฮั่นจุยไม่คิดฆ่าเขา อย่างน้อยๆก็ตรงนั้น

นั่นก็เพราะต่อหน้าคนจำนวนมากนั้น ไม่ว่าฮั่นจุยจะไม่ปลื้มเฉินเฉียงขนาดไหนก็ตามย่อมไม่อาจฆ่าอัจฉริยบุคคลแห่งเผ่าพันธุ์ด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ได้

ถึงแม้จะจบด้วยการบาดเจ็บ แต่เขาก็ไม่ได้เจ็บหนักอะไร หลังจากกินยาฟื้นฟูร่างกายเข้าไปแล้วทั้งเลือดที่สูญเสียและพลังงานสายเลือดก็กลับมาเป็นปกติ

“ศิษย์น้องเล็ก ตอนนั้นข้าเห็นว่าประตูทางเข้ามันปิดลงมาแล้วจริงๆ แล้วเจ้าเข้ามาได้ยังไงกันน่ะ”

หลังจากรักษาอาการบาดเจ็บแล้ว และเมื่อตรวจสอบดูว่าเฉินเฉียงปลอดภัยจริงๆ กัวเหลียงจึงได้ถามออกมา ในขณะเดียวกัน คนที่เหลือเองก็หันมามองอย่างสนใจ

“ฮี่ฮี่ฮี่” เฉินเฉียงนั้นเพียงแค่ยิ้มตอบออกมาอย่างมีเลศนัย ก่อนที่จะหันไปเหลียวซ้ายแลขวาและพูดออกมา “ความลับ”

“ไอ้เด็กนรก”

“ฮ่าฮ่าฮ่า”

เป็นตอนนี้ที่ทุกคนในกองกำลังหัวเราะออกมาอย่างครื้นเครง และในที่สุดก็เริ่มรับรู้ถึงสภาพแวดล้อมโดยรอบ

“กัปตัน ทำไมสถานที่นี้ถึงได้เหมือนโลกยุคโบราณที่มีการบันทึกไว้นักล่ะ”

เมื่อได้เห็นต้นไม้สูงที่อยู่รายรอบตัวแล้ว หนอนหนังสือหลู่จี้ได้ถามออกมาอย่างประหลาดใจ

สถานที่ที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้นั้น นอกจากมีรอยเท้าของนักรบนับหมื่นที่เหยียบย่ำผ่านไปแล้วนั้น พวกเขาเห็นแต่ต้นไม้สูงนับร้อยเมตรที่สูงกว่าต้นไม้ที่อยู่โลกภายนอกมากมานัก

เฉินเฉียงได้ใช้กระแสพลังจิตของตนกางออกไปครอบคลุมพื้นที่กว่าพันห้าร้อยเมตร และนี่ทำให้เขานึกถึงอะไรอย่างหนึ่งขึ้นมา

เขตแดนนี้ถูกซ่อนเอาไว้ที่ตีนเขาเอเวอเรสต์ที่พวกเขานั้นไม่มีทางนึกถึง แต่สภาพภายในเองก็ไม่ได้จะมีสภาพเป็นภายในภูเขาที่สมควรจะมืดมิดแต่อย่างใด

มันราวกับว่าเป็นโลกอีกใบหนึ่งที่มีกลางวันและกลางคืน และนี่แสดงว่าสถานที่แห่งนี้มีเวลาที่น่าจะเชื่อมโยงกับโลกภายนอก

เป็นไปได้ว่าแสงนี้จะถูกส่งผ่านมาจากโลกภายนอกที่พวกเขาอยู่

และด้วยการที่พื้นที่ภายในปราศจากสิ่งรบกวนอยู่นาน ทำให้พืชพันธุ์เหล่านี้จึงสูงล้ำ

แม้จะมีพืชพันธุ์ที่สูงเสียดฟ้า แต่จากการตรวจสอบด้วยกระแสจิตของเขาแล้ว เขานั้นไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นแต่อย่างใด

“ในเมื่อเจ้าอยู่นี่แล้วก็สั่งการออกมาซะสิ””

“พี่ชายทั้งหลาย ขอให้ข้านั้นไปตรวจดูสถานการณ์ข้างหน้าก่อน แล้วทุกคนค่อยตามข้ามา”

“หากว่าไม่มีอะไร ข้าจะส่งข้อความมาบอกผ่านกำไลสื่อสาร”

“จางหยวน ท่านนั้นมีความเร็วสูงที่สุด ท่านไปกับข้าเพื่อดูว่าอีกพันเมตรข้างหน้ามีอะไร”

“เจิ้งยี่ เจ้าอยู่กับกองกำลั…”

“ไม่ กัปตัน ครั้งนี้ไม่ว่าท่านจะพูดยังไง ข้าจะอยู่ข้างท่าน ต่อให้ในครั้งนี้ไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่ใครบางคนนั้นไม่ไว้ใจข้าอยู่ดี”

ด้วยเรื่องที่หลิวไฮ่พูดก่อนหน้านี้ราวกับเป็นชนักปักใจเขาอยู่ นี่ทำให้เขานั้นตัดสินใจไว้ว่าจะติดตามเฉินเฉียงไปตลอดเวลา

“เจิ้งยี่ นี่เป็นคำสั่งนะโว้ย คำสั่งน่ะ คำสั่ง”

เฉินเฉียงนั้นพอจะรับรู้อะไรอยู่บ้าง แต่เขานั้นก็คิดว่าเจิ้งยี่นั้นควรจะอยู่คอยป้องกันกองกำลังไว้มากกว่า

ด้วยการที่เจิ้งยี่ในตอนนี้นั้นอยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูง ไม่มีใครเหมาะที่จะระวังหลังให้เขามากกว่าเจิ้งยี่อีกแล้ว

แต่เขานั้นไม่คิดว่าเจิ้งยี่นั้นมีใจหนักแน่นราวหินผา ไม่ว่ายังไงก็ไม่เปลี่ยนใจ

“ขอโทษครับกัปตัน แต่ข้านั้นได้ลั่นวาจาออกไปแล้วว่าข้านั้นต้องการเป็นองครักษ์ของท่านเมื่อได้เข้ากองกำลังเทียนเว่ย”

“หากมีอะไรเกิดขึ้นกับท่านและข้านั้นยังอยู่ดี ผู้คนคงคิดว่าข้าปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดีพอ”

“หากท่านไม่ต้องการให้ข้าติดตาม ก็เตะข้าออกจากกองกำลังได้เลย”

เมื่อเห็นท่าทางของเจิ้งยี่แล้ว เฉินเฉียงไม่มีทางเลือกได้แต่ทำตาม

ส่วนไอ้เรื่องความเป็นหนึ่งเดียวกับกองกำลังอะไรนั่น เขาคงทำได้เพียงรอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เท่านั้น

“ก็ได้ จางหยวน ข้ากับเจิ้งยี่จะล่วงหน้าไปสำรวจก่อนแล้วกัน หากมีอะไรเกิดขึ้น ข้าจะให้เจิ้งยี่ส่งข้อความหาท่าน”

“ด้วยการที่สถานการณ์ตอนนี้ยังไม่แน่ชัด พวกเราจำเป็นต้องไปตรวจสอบดูพื้นที่เพื่อความปลอดภัยของทุกคน”

หลังจากพูดจบลง เฉินเฉียงเป็นคนแรกที่ทะยานออกไปด้วยก้าวย่างสวรรค์ ติดตามไปด้วยเจิ้งยี่

ถึงแม้ว่าพลังจิตของเขานั้นจะแข็งกล้า แต่ระยะทางของย่างก้าวสวรรค์ที่เขาใช้ได้นั้นก็แทบจะเทียบเท่ากับระยะตรวจจับของกระแสจิตของเขาเลยทีเดียว

ก่อนที่กลุ่มของเฉินเฉียงจะเคลื่อนไว้นั้น ในระยะพื้นที่โดยรอบกว่าหมื่นตารางเมตรได้ถูกกลุ่มอื่นมาถึงก่อนเก็บเกี่ยวไปจนหมดแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงสมบัติทั้งหลายในบริเวณนี้สมควรจะหมดไปแล้ว

แต่ด้วยความสามารถของเฉินเฉียงที่สุดแสนจะน่าอัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็นพลังจิตหรือแม้แต่ทักษะสื่อสารไร้สายที่ใช้ในการฟังบทสนทนาของต้นไม้ นี่ทำให้เขานั้นสามารถเข้าถึงสมบัติที่ไม่มีใครเข้าถึงได้

“เจิ้งยี่ ส่งตำแหน่งให้กับคนอื่นๆในกองกำลังซะว่าให้มาที่นี่”

หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้ไปต่อ

ในตอนนี้ เฉินเฉียงนั้นตรวจพบโสมเก้ากษัตริย์อายุยืนได้กว่ายี่สิบต้นด้วยกระแสจิตของเขา

โสมเก้ากษัตริย์นี้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการปรุงยาเสริมวิญญาณ และยาเสริมวิญญาณนี้ช่วยในการเสริมแกร่งในการเสริมพลังวิญญาณของผู้บ่มเพาะ

หากทุกคนในกองกำลังของเขานั้นได้กินยาเสริมวิญญาณนี้เข้าไปล่ะก็ เขาบอกได้เลยว่ากองกำลังของเขานั้นจะเปรียบได้ดั่งนางฟ้าในเงามืดที่ไม่ต้องกลัวใครค้นพบอย่างแน่นอน

เจิ้งยี่ที่ตามติดเฉินเฉียงอยู่นั้น ในทุกครั้งที่เขานั้นได้เห็นเฉินเฉียงง่วงอยู่กับการเก็บเกี่ยวโสมเก้ากษัตริย์ในทุกๆครั้ง เขาจะอดตั้งคำถามในใจไม่ได้

-กัปตันมีระยะกระแสจิตตรวจจับไกลแค่ไหนกันเนี่ย-

และนี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะถามเฉินเฉียงที่กำลังง่วนอยู่กับการขุดโสมอยู่ “ท่านรู้ได้ยังไงกัน”

“ถามทำไมล่ะนั่น”

จากมุมมองของเจิ้งยี่นั้น เฉินเฉียงดูเหมือนแทบจะรู้อยู่แล้วว่าโสมเหล่านี้อยู่ที่ไหนบ้าง

ตอนที่เขานั้นอยู่ที่สำนัก เจิ้งยี่เองก็ได้ออกไปโลกภายนอกอยู่บ่อยครั้ง

แต่เขาจดจำได้ว่าไม่มีใครที่ตรวจพบเจอสิ่งของได้ละเอียดถี่ยิบมากเท่าเฉินเฉียงมาก่อน

“หากดูจากความเร็วของท่านแล้ว ถึงแม้พวกเราจะไปถึงช้าอยู่บ้าง แต่พวกเรานั้นน่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือไปด้วย”

“ฮี่ฮี่ฮี่” เฉินเฉียงหัวเราะเล็กน้อยก่อนที่จะหยิบโสมเก้ากษัตริย์ต้นหนึ่งขึ้นมาและกัดเข้าไปอย่างเต็มปากเต็มคำ และเขี้ยวมันราวกับเป็นขนมขบเคี้ยวอย่างหนึ่ง

“ไอ้ฉิบหาย”

จางหยวนกับพวกที่พึ่งจะมาถึงก็เห็นเฉินเฉียงและนิ่งอึ้งไปเมื่อเห็นว่าเขานั้นกำลังเคี้ยวโสมเก้ากษัตริย์อยู่

“ม่ายยยย นี่เจ้ารู้บ้างรึเปล่าว่าโสมเก้ากษัตริย์นั่นที่โลกภายนอกแพงขนาดไหน” กัวเหลียงได้กรีดร้องออกมาก่อนที่จะแย่งโสมมาจากมือของเฉินเฉียงแล้วเอาผ้าเช็ดน้ำลายออก

“ศิษย์พี่กัว นี่ท่านจะเดือดเนื้อร้อนใจไปทำไมกัน มันยังมีอีกตั้งเยอะนะ” เฉินเฉียงชี้ไปที่โสมเก้ากษัตริย์ที่กองไว้และพูดออกมา “โสมพวกนี้มีอายุอย่างน้อยก็ร้อยปีล่ะนะ”

“และหากดูตามกฎของเวลาและสถานการณ์แล้ว ที่เขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้ไม่มีคนเข้ามากว่าสิบปี หรือก็คือคนที่เข้ามาในเขตแดนนี้พลาดพวกมันไปอย่างน้อยๆก็สิบครั้ง”

“แล้วท่านรู้อะไรรึเปล่า”

“โสมเก้ากษัตริย์นี้ไม่เพียงจะใช้ในการปรุงยาเท่านั้นนะ มันยังสามารถกินตรงๆได้อีกด้วย”

เม่ยหลัวหลันที่เปรียบได้ดั่งแม่บ้านประจำกองทัพนั้นเมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงกำลังทำเรื่องที่เสียประโยชน์อย่างที่สุด เธอก็ได้พยายามหาคำพูดให้เฉินเฉียงเข้าใจความคิดของพวกเธอ “กัปตัน นี่ท่านยังไม่เข้าใจอีกรึไงว่าไอ้ไม้ฟืนในสายตาท่านนั้นมันแพงขนาดไหนน่ะ แต่ให้พวกเราคิดจะเก็บเกี่ยวพวกมันทั้งหมดเอาไว้และใช้ทั้งหมดที่นี่ในตอนนี้ แล้วยามที่พวกเราออกไปข้างนอกล่ะ ทั้งไม่คิดว่าเราควรจะเก็บไว้ก่อนรึไง”

“จะเป็นไปได้ยังไงที่พวกเราจะโชคดีแบบนี้ไปได้ตลอดน่ะ”

“ถูกต้อง” จางหยวนที่เป็นรักษาการกัปตันนั้นได้กล่าวสำทับออกมา “พี่ชายทั้งหลาย อย่าได้เอากัปตันของพวกเราเป็นเยี่ยงอย่างเป็นอันขาด กัปตันนั้นเป็นคนไม่คิดหน้าคิดหลัง หากพวกเราทำตัวแบบเขาหมดล่ะก็ ข้ากลัวว่าชีวิตในกองกำลังของพวกเราในภายภาคหน้าจะต้องลำบากไปตลอดชีวิต”

เฉินเฉียงยักไหล่ให้และไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกมา

กองกำลังเทียนเว่ยนั้นกลัวจริงๆว่าพวกตนนั้นจะถูกเปลี่ยนไปโดยเฉินเฉียง

ในขณะที่ทุกคนกำลังง่วนอยู่กับการเก็บโสมเก้ากษัตริย์อยู่นั้น เฉินเฉียงก็ได้ปล่อยกระแสจิตของตนออกไปอีกครั้ง และนี่เองทำให้ดวงตาของเขาเปล่งประกายและพูดออกมา “เจิ้งยี่ ตามมา”

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจ ว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset