บทที่ 203 การต่อสู้แรก
เฉินเฉียงนั้น หลังจากกวักมือเรียกทุกคนในกองกำลังให้ตามมาแล้ว เขาก็พาทุกคนพุ่งตรงไปยังสายแร่แก่นวิญญาณอย่างรวดเร็ว และไม่นาน ทุกคนก็ได้พบเจอ
“หวา ศิษย์น้องเล็ก นี่เจ้าเป็นหนูรึไงกัน ทำไมเจ้าถึงได้พบเจอของดีรวดเร็วขนาดนี้เนี่ย”
กัวเหลียงพูดพลางใช้มือแตะแท่งแก่นวิญญาณและถอดถอนลมหายใจออกมาอย่างยอมรับในฝีมือการหาของดีของเฉินเฉียง
เฉินเฉียงได้ยิ้มกริ่มเล็กน้อยและพูดออกมา “ก็แค่ตามสัตว์ประหลาดมาก็เท่านั้นแหละน่า”
“เอาล่ะทุกคนรีบๆขุดพวกมันได้แล้ว ตอนนี้พวกสัตว์ประหลาดเองก็เริ่มที่จะเข้ามาที่นี่แล้ว หากเรายังขุดพวกมันไม่หมดล่ะก็ ตอนนั้นพวกเราต้องปะทะกับพวกมันเป็นแน่”
“ห้ะ แล้ว แล้ว แล้วจะให้พวกเราขุดยังไงล่ะ” กัวเหลียงรีบถามออกมาในทันทีเมื่อได้ยิน เขารู้สึกปวดหัวในทันทีในขณะที่มองไปยังกองแก่นวิญญาณที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
เฉินเฉียงนั้นจดจำได้ว่าเว่ยหยวนตี้นั้น ในตอนที่เขามอบแก่นวิญญาณให้เขามาศึกษา เขาใช้พลังตัดมันและแบ่งมาให้เขาในขนาดเท่าฝ่ามือได้ราวกับตัดเต้าหู้ “จะยังไงก็ตาม พวกเราต้องขุดมันออกมาให้เร็วที่สุด ข้าจะออกไปดูพวกสัตว์ประหลาดหน่อยว่าพวกมันถึงไหนกันแล้ว”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้ดำดินกลับไปอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปเกือบชั่วโมง เสือดาวมีปีกได้นำสัตว์ประหลาดสี่สิบกว่าตัวมุ่งตรงมาเกือบจะถึงที่นี่แล้ว
“เป็นยังไงบ้าง” เฉินเฉียงกลับขึ้นมาจากพื้นดินแล้วถามออกมา
“กัปตัน ขออีกสักสี่ชั่วโมงก็คงเสร็จ”
“โอ้ฉิบหายละ มันช้าเกินไปเยอะเลย สัตว์ประหลาดจะมาถึงที่นี่แล้วนะ” เฉินเฉียงถึงกับเกาหัวในทันที เขาได้มองไปยังสายแร่ที่ยังเหลืออีกเกินครึ่ง ก่อนที่จะเดินไปมาอย่างร้อนรน
“เอาอย่างนี้ เจิ้งยี่ อาวุธของเจ้านั้นคมที่สุด ตัดพวกมันเป็นชิ้นใหญ่ๆ และค่อยแบ่งมันออกทีหลัง”
เจิ้งยี่พยักหน้ารับ และด้วยการผนึกกำลังของเฉินเฉียง พวกเขาได้ตัดแก่นวิญญาณออกได้ยี่สิบกว่าส่วน ก่อนที่เฉินเฉียงจะขุดรูตรงหน้าแล้วให้ทุกคนรีบตามเขาออกไปจากพื้นที่สายแร่แห่งนี้
เป็นตอนนี้ที่เสือดาวมีปีกได้นำสัตว์ประหลาดตัวอื่นตรงมาที่นี่
“สัตว์ประหลาดพวกนี้จมูกไวกันดีจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่ท่านเว่ยบอกไว้ว่าพวกมันนั้นมีความไวต่อแก่นวิญญาณพวกนี้ พวกมันช่างหาสายแร่แก่นวิญญาณได้ง่ายดายนัก”
“ฮี่ฮี่ฮี่ ลองนึกดูสิว่าไอ้พวกนั้นจะทำท่ายังไงหากพวกมันรู้ว่าสายแร่แก่นวิญญาณถูกขุดไปหมดแล้วน่ะ”
เฉินเฉียงที่ได้ยินได้ส่ายหัวไปมาในทันที “พวกเราจะให้พวกมันรู้เรื่องนี้ไม่ได้ หากพวกมันรู้ มันจะต้องใช้ทุกสิ่งที่มีในการโจมตีพวกเรา ในเมื่อยังไงซะพวกเราก็ต้องสู้กับพวกมันอยู่แล้ว”
“พวกเราจะต้องโจมตีมันก่อน”
“ด้วยการนี้ พวกมันจะปั่นป่วนจนไม่อาจตอบสนองได้อย่างเต็มกำลัง และนี่จะทำให้พวกเราจัดการพวกมันได้”
“กัปตัน แต่สัตว์ประหลาดพวกนี้มันมากกว่าพวกเราตั้งสี่เท่าเลยนะ แถมไอ้เสือดาวมีปีกตัวนำนั่นยังอยู่ในระดับนายพลขั้นสูงอีก พวกเราจะสู้กับพวกมันตรงๆจริงๆเหรอ”
เฉินเฉียงได้มองไปที่หลางซานเอ๋อนิ่งๆก่อนที่จะพูดออกมา “อย่าได้ลืมว่าพวกเรานั้นเข้ามาในเขตแดนจักรพรรดินั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่การหาสมบัติ แต่เป็นการฆ่าล้างสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์”
“และนี่คือการต่อสู้ครั้งแรกของกองกำลังเทียนเว่ยของพวกเรา เจ้าเองก็ควรจะแสดงศักยภาพออกมาอย่างเต็มที่”
ถึงแม้พวกเขานั้นจะชื่นชอบการต่อสู้อยู่เป็นนิจอยู่แล้ว แต่คำพูดของเฉินเฉียงนั้นกับทำให้ทั้งกองกำลังนั้นรู้สึกคันไม้คันมือยิ่งกว่าเดิม
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเฉียง หลางซานเอ๋อก็รีบพยักหน้าอย่างเร็วรี่
“กัปตัน แล้วพวกเราจะเริ่มกันตอนไหนดี”
เมื่อได้ยินว่าศัตรูนั้นอยู่ในระดับเดียวกัน นี่ทำให้จิตวิญญาณนักสู้ของเจิ้งยี่พุ่งสูงขึ้นไปด้วย เขาจับจ้องไปที่เสือดาวมีปีกพร้อมกับถือดาบทองคำในมือแน่น
“เอาน่า เจิ้งยี่ เสือดาวนั่นข้ายกให้เจ้า”
“แล้วก็คนอื่น จำที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ไว้ให้ดี พวกเจ้าไม่ควรจะส่งเสียงดัง ใช้การสื่อสารทางจิตวิญญาณเพียงเท่านั้น ด้วยวิธีการนี้จะไม่ทำให้พวกเรานั้นต้องเปลืองแรงมาก”
“คอยดูสัญญาณมือของข้าให้ดี เมื่อถึงตอนนั้นทุกคนค่อยลงมือ”
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงได้มองหน้าทุกคนก่อนที่จะดำดินไปประดุจดั่งงูที่เลื้อยไปตามดินค่อยๆคืบคลานเข้าใส่กลุ่มของสัตว์ประหลาดผ่านการขุดดิน
เมื่อพวกเขาอยู่ห่างจากพวกมันประมาณสองร้อยเมตรเห็นจะได้ เฉินเฉียงได้พาทุกคนมาแอบและส่งเสียงผ่านจิตสำนึกออกมา
-เจิ้งยี่และข้าจะออกไปเล่นงานพวกมันก่อน หลังจากนั้นพวกเจ้าจึงค่อยลงมือ-
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้พาเจิ้งยี่ดำดินต่อไปและออกมาในจุดที่ห่างจากสัตว์ประหลาดประมาณห้าสิบเมตร
เมื่อเห็นว่าสัตว์ประหลาดนั้นได้ขึ้นมาจนเกือบจะถึงยอดของเนินดินสายแร่แล้ว เฉินเฉียงก็ได้ใช้คลื่นเสียงทำลายวิญญาณในทันที และนี่ทำให้สัตว์ประหลาดสิบกว่าตัวกุมหัวตัวเองร้างครวญครางดิ้นรนไปมา
เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงได้ใช้ดาบดั้นเมฆโจมตีออกมาจากพื้นดิน และสังหารเหล่าสัตว์ประหลาดทั้งสิบไปในทันใด ส่วนใหญ่แล้วพวกมันอยู่ในระดับนายพลขั้นกลางค่อนไปจนถึงขึ้นต่ำ
ส่วนเจิ้งยี่นั้น ในตอนนี้เขาได้พุ่งเข้าใส่เสือดาวมีปีกและโจมตีออกไปด้วยดาบทองคำ
และอีกฟากหนึ่งที่ห่างไปสองร้อยเมตร จางหยวนและพวกที่กำลังมองการโจมตีอยู่นี้เอง เมื่อได้เห็นว่าเฉินเฉียงได้เข้าโจมตีแล้ว เขาได้ให้สัญญาณทำให้ทั้งสิบเอ็ดคนใช้ทุกอย่างที่มีโจมตีกลุ่มสัตว์ประหลาดจากอีกด้านหนึ่งทำให้พวกมันไม่ทันได้ตั้งตัว
หลังจากตัดหัวสัตว์ประหลาดไปได้อีกสิบกว่าตัวแล้ว เฉินเฉียงก็ได้ใช้ทักษะสะกดจิตขั้นสูงใส่สัตว์ประหลาดสองตัว ทำให้พวกมันยืนโงนเงนอยู่ตรงนั้น และถูกตัดหัวไปโดยหนี่เฟิง
เสือดาวมีปีกในฐานะผู้นำแล้ว เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงฆ่าพวกมันของไปได้หลายสิบตัวในคราวเดียว ทำให้มันนั้นคำรามลั่นและพุ่งเข้าใส่เฉินเฉียง แต่ก็ต้องถูกหยุดไว้โดยเจิ้งยี่
เมื่อดาบทองคำตกอยู่ในมือของเขาแล้ว เขามั่นใจว่าจะจัดการเสือดาวมีปีกตัวนี้ได้
ถึงแม้ว่าระดับความแข็งแกร่งของมนุษย์กับสัตว์ประหลาดจะมีอยู่ แต่ด้วยอาวุธที่เหนือล้ำเช่นนี้ เขาสามารถต่อกรกับมันได้สบาย
อีกฟากฝั่งหนึ่ง เฉินเฉียงจัดการสัตว์ประหลาดไปได้กว่าสามสิบตัวแล้วเพราะพวกมันนั้นขาดสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังอย่างเสือดาวมีปีกไป
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการฝึกฝนกองกำลังของตน นอกจากเขาจะฆ่าสัตว์ประหลาดเฉพาะตัวที่เข้ามาหาเขาแล้ว เขาก็ไม่ได้ลงมืออะไร
เฉินเฉียงนี้ได้ยืนมองคนอื่นๆอยู่เงียบๆอยู่ข้างสนามการต่อสู้ นี่กับทำให้ทุกคนในกองกำลัง แม้แต่เจิ้งยี่เองก็ยิ่งราวกับต้องการแสดงความสามารถของตนให้เห็น
หนี่เฟิงนั้นใช้ดาบใหญ่เหมือนเฉินเฉียง
ก่อนหน้านี้เขานั้นได้ยินกัวเหลียงพูดมาบ้างแล้วว่าหนี่เฟิงนั้นใช้เคล็ดวิชาการบ่มเพาะที่เรียกว่าระบำดาบเลือดคลั่ง
ถึงแม้ว่านี่จะเป็นศึกแรกของเธอ แต่ด้วยการที่ศึกษาทักษะนี้มาจนอยู่ในระดับขั้นสูง หรือก็คือเท่ากับวิชาดาบสายฟ้าทำลายวิญญาณของเขา
แต่ดาบของเธอนั้นตายตัวเกินไป
และนี่ทำให้หลังจากที่ฆ่าสัตว์ประหลาดที่อยู่ในระดับบ่มเพาะเดียวกันไปสี่ตัว เธอก็เริ่มได้รับบาดเจ็บกลับมา แต่กระนั้น เฉินเฉียงก็ยังไม่คิดจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
เขาตั้งใจไว้ว่าหากไม่ถึงชีวิต เขาจะไม่เข้าไปยุ่ง
หากกองกำลังของเขาต้องการจะแข็งแกร่งขึ้น ประสบการณ์ที่โชกเลือดและเผชิญหน้าต่อความตายเป็นสิ่งจำเป็น
กับการต่อสู้ที่ขาดผู้ทรงพลังเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะต้องลงมือแต่อย่างใด
กับคนอื่นนั้น แม้ก่อนหน้านี้หลางซานเอ๋อจะทำท่าทางขลาดกลัวกว่าคนอื่น แต่เมื่อถึงเวลาจริง เขากลับยืนอยู่แนวหน้าเสียอย่างนั้น
เม่ยหลัวหลันเองที่มีท่าทางกังวลในเรื่องราวต่างๆจนดูราวกับเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในกองกำลัง แต่เมื่อต้องลงมือสู้ ความสามารถของเธอไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ชายในกองกำลังเลยแม้แต่น้อย
นี่คือจิตวิญญาณของกองกำลังที่จางหยวนนั้นพยายามที่จะรักษาเอาไว้มาตลอดสี่ปีนี้
ไม่นาน สัตว์ประหลาดเริ่มดูมีแววที่จะพ่ายแพ้ เสือดาวมีปีกที่กำลังต่อสู้กับเจิ้งยี่อยู่นั้น อยู่ๆมันก็ได้คำรามลั่นก่อนที่จะมองไปยังสัตว์ประหลาดที่มีสายเลือดสายฟ้า จิ้งจอกสายฟ้า มันได้หอนกลับตอบสนองในทันทีราวกับได้รับสัญญาณจากพระเจ้าให้ลงมือ