ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 211 เกือบเชื่อ

บทที่ 211 เกือบเชื่อ

“เฉินเฉียง หยุด”

จางหยวนไม่คิดว่าเฉินเฉียงจะโจมตีลีปิงถึงตายตั้งแต่แรกพบเจอจึงได้รีบตะโกนร้องห้าม

ฉากนี้แม้แต่กัวเหลียงและคนอื่นๆยังตกตะลึง

และนี่ยิ่งทำให้คนในกองกำลังเจ็ดคนที่พึ่งจะเชื่อในตัวเฉินเฉียงต้องสับสนในทันทีเมื่อเห็นว่าเขานั้นได้ลงมือสังหารคนของตึกจอมพลเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ลีปิงเองก็ตอบสนองได้ทันท่วงทีก่อนที่จะหลบไปได้อย่างฉิวเฉียดราวกับสายลม

“จางหยวน เกิดอะไรขึ้นกับไอ้บ้านี่เนี่ย ทำไมมันถึงได้โจมตีข้า”

ลีปิงได้ชี้มาที่เฉินเฉียงและถามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว

“อยากรู้ใช่ไหมว่าข้าเป็นใคร เรื่องนี้มันง่ายนัก” เฉินเฉียงยักไหล่ภายใต้สายตาที่ฉงนสนเท่ห์ของจางหยวน เขาได้ก้าวข้านมาก่อนที่จะงุ้มตัวลงก่อนที่จะดึงเสื้อออกและเผยให้เห็นปีกสีเงินที่อยู่ข้างหลัง

“ย้ากกกกกกกก” เสียงคำรามของเฉินเฉียงได้ดังลั่นออกมา ก่อนที่จะใช้ปีกสีเงินที่ราวกับกริดที่แหลมคมถาโถมเข้าใส่ลีปิงที่กำลังตะลึงงันอยู่

ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น

หลังจากฆ่าลีปิงไปแล้ว เฉินเฉียงยังสยายปีกของตน และสั่งให้พุ่งโจมตีไปที่คนทั้งสิบห้าคนตรงหน้า

เมื่อเห็นฉากนี้ เจิ้งยี่ที่ได้มองฉากนี้อย่างโกรธเคืองก็ได้นำอาวุธออกมาและได้ตะโกนดังลั่น “กองกำลังเทียนเว่ย หยุดเฉินเฉียงไว้ให้ได้”

แต่นอกจากเจิ้งยี่และจางหยวนแล้ว คนอื่นๆนั้นไม่มีใครที่คิดจะขยับตัว และทำเพียงแค่มองพวกเขาจางหยวนตวัดดาบและพุ่งเข้าใส่เฉินเฉียงด้วยใบหน้าที่ยากจะบอกได้

แต่เป็นตอนนี้ที่จางหยวนและเจิ้งยี่ที่กำลังพุ่งเข้าใส่เฉินเฉียงนั้นได้หยุดเท้าลง พลางมองไปที่คนทั้งสิบห้าคนที่อยู่ตรงหน้า

นั่นก็เพราะเมื่อนักรบทั้งสิบห้าคนนั้นได้เห็นว่าลีปิงตกตายโดยปีกสีเงินไปแล้วก็ได้แสดงปีกสีเงินออกมาในขณะจ้องมองฉากนี้อย่างนิ่งอึ้ง

แต่ปีกของพวกมันนั้นราวกับเป็นเพียงเส้นแสงหนึ่งของปีกเฉินเฉียงเพียงเท่านั้น

เฉินเฉียงผู้สิ่งคุ้นเคยกับพลังเหนือมนุษย์นี้กว่าใครก็รับรู้ได้ในทันทีว่าปีกสีเงินของทั้งสิบห้าคนนี้อยู่เพียงระดับหนึ่ง

และนักรบทั้งสิบห้าคนที่ได้เผยปีกสีเงินของตนออกมานั้นได้รีบตะโกนออกมาอย่างลนลาน “นายท่าน ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ”

“ฮี่ฮี่ฮี่ไม่ผิดหรอกน่า ยังไงพวกเจ้าก็ต้องตกตาย”

เฉินเฉียงหัวเราะออกมาอย่างโหดร้ายก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่กลุ่มมนุษย์กลายพันธุ์จนตกตายไปห้าตนในคราวเดียว

เมื่อเห็นฉากนี้ มนุษย์กลายพันธุ์ที่เหลือก็รีบเร่งแตกฮือแหนงหนี

แต่เป็นตอนนี้ที่จางหยวนและคนอื่นๆได้เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว พวกเขาได้ใช้อาวุธของพวกมนุษย์กลายพันธุ์ที่เฉินเฉียงมอบให้ไล่สังหารมนุษย์กลายพันธุ์ที่เหลืออย่างรวดเร็ว

และนี่ทำให้การต่อสู้จบลงอย่างว่องไวและกลับสู่ความเงียบงัน

หลังจากผ่านไปสักพัก จางหยวนได้พูดขึ้นมาก่อนเป็นคนแรก “เฉินเฉียง เจ้ารู้ได้ยังไงว่าพวกมันเป็นมนุษย์กลายพันธุ์”

เฉินเฉียงได้ชี้ไปที่ซากร่างของมนุษย์กลายพันธุ์ตนหนึ่งแล้วพูดออกมา

“เจ้าลองไปดูบาดแผลฉกรรจ์ที่สุดบนร่างมันดูสิ แล้วเจ้าก็จะรู้เอง”

เมื่อได้ยินดังนั้น จางหยวนและหลางซานเอ๋อได้รีบเข้าไปตรวจสอบดูในทันที

หลังจากตรวจสอบอยู่นานแต่ก็พูดออกมาแทบจะพร้อมกัน “กัปตัน ก็แผลธรรมดานี่นา ไม่เห็นมีอะไรเลย”

เฉินเฉียงได้ส่ายหัวอย่างแหนงหน่ายและชี้ไปที่ศพของมนุษย์กลายพันธุ์ตนนี้แล้วพูดออกมา “ลองดูดีๆสิว่าแผลมันลึกมากจนเห็นเครื่องในเลยนะโว้ย”

“และข้าเองก็เห็นมันว่าตอนที่หนอนหนังสือฆ่ามันนั้น โจมตีมันเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร จนสุดท้ายต้องทุบกะโหลกมันถึงจะยอมตาย”

“นี่หมายความว่าเจ้านี่ตายอยู่แล้วตั้งแต่ต้น”

เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้หันไปหาจางหยวนและพูดออกมา “จางหยวน เจ้ายังจำตอนที่ข้าได้เปิดเผยตัวมนุษย์กลายพันธุ์ครั้งแรกได้รึเปล่า”

“ข้าเคยบอกไปแล้วว่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่ข้าฆ่ามันไปนั้นไม่มีจิตวิญญาณ เจ้านั่นสมควรจะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่ฝังแผ่นแก่นพลังงานหลังจากที่มันตายไปแล้ว”

“เจ้าลีปิงที่เจ้ารู้จักนั่นเองก็สมควรจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน ข้าสงสัยมันเพราะเรื่องบาดแผลนี้จึงคิดว่ามันต้องไม่มีจิตวิญญาณเป็นแน่”

“นี่ทำให้ในตอนที่เจ้าทักทายกับมัน ข้าก็ได้ลองส่งเสียงทางจิตวิญญาณไปหามัน แต่มันดันไม่ยอมตอบสนอง นี่ทำให้ข้ามั่นใจ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ จางหยวนและคนอื่นๆต่างก็รู้สึกตกตะลึง

“ไม่ดีแล้ว” หนอนหนังสือได้อุทานออกมาอย่างตกใจ “นี่หมายความว่านอกจากลีปิงแล้วยังมีคนอื่นที่อาจตกในแผนการนี้ของพวกมัน”

“หากเป็นคนคุ้นเคย พวกเราย่อมไม่คิดที่จะใส่ใจในการป้องกัน หากเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็ เผ่าพันธุ์ของพวกเรานั้นต้องเสียหายอย่างหนักอย่างแน่นอน”

เฉินเฉียงเองก็มีใบหน้ามืดครึ้มในทันทีเช่นกันและพูดออกมา “ไม่เพียงเท่านั้น หากพวกเราไม่กำจัดศพของนักรบของเผ่าพันธุ์หลังพวกเขาตกตายไปแล้ว พวกมนุษย์กลายพันธุ์จะได้กำลังรบเพิ่มขึ้นยิ่งกว่าเดิม”

หลางซานเอ๋อเมื่อได้ยินแล้วก็ไม่รอช้ารีบกำจัดศพของมนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้จนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโดยไม่ต้องสั่งแต่อย่างใด

เม่ยหลัวหลันได้เปิดแหวนของลีปิงแล้วลองหาของดูและได้พูดออกมาอย่างผิดหวัง “กัปตัน เอาเจ้าพวกนี้มันยาจกชัดๆ นอกจากแก่นคริสตัลและสมุนไพรนิดๆหน่อยๆแล้วไม่เห็นมีแผ่นแก่นพลังงานสักแผ่นเลย”

“อัยยะ พี่สาวหลัวหลัน พี่นี่ช่างกระหายในสินสงครามซะจริงๆ”

“ไม่ใช่ว่ามนุษย์กลายพันธุ์ทุกตนหรอกนะที่จะได้รับแผ่นแก่นคริสตัลน่ะ”

“เท่าที่ข้ารู้มานั้น มีเพียงตนที่สร้างผลงานและตนที่ถูกฝังแผ่นพลังงานตอนที่มีชีวิตอยู่เท่านั้นที่จะมีโอกาสได้รับแผ่นแก่นพลังงานนั่น”

“เฉินเฉียง ทำไมเจ้าถึงรู้เรื่องนี้มากมายนัก”

จางหยวนได้ถามออกมาก่อนที่จะพูดเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้ขุ่นเคือง “เฉินเฉียง เจ้าอย่าได้เข้าใจข้าผิดไป”

“จนมาถึงตอนนี้ เจ้าเองก็ช่วยพวกเราไว้แล้วถึงสองครั้ง ต่อให้ข้ายังโง่งมยังไงแต่อย่างน้อยก็คิดได้ล่ะว่าเจ้าไม่ใช่หนึ่งในพวกมัน”

“แถมไอ้ปีกสีเงินของเจ้านั้นแม้มันจะเหมือนกับมนุษย์กลายพันธุ์ก็ว่าได้ไม่ใช่รึไง หากว่าพวกเราจะสงสัยก็เป็นธรรมดาไม่ใช่รึ”

“และที่ข้าถามออกมาแบบนี้นั้นเป็นเพราะข้าต้องการให้เจ้าบอกเหตุผลที่จะทำให้พวกข้านั้นเชื่อในตัวเจ้าได้”

“ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ข้า จางหยวน คงจะต้องค้างคาใจในเรื่องนี้จนต้องนอนตายตาไม่หลับเป็นแน่”

เฉินเฉียงที่ได้ยินก็พยักหน้าอย่างเข้าใจในเรื่องนี้พร้อมดวงตาที่เปียกชื้น

นั่นก็เพราะในช่วงที่ต้องแยกจากกองกำลังเพราะความเข้าใจผิดนี้ มันทำให้เขานั้นรู้สึกยากจะทานทนจริงๆ

แต่ก่อนหน้านี้นั้นเป็นเพราะจางหยวนและเจิ้งยี่ไม่คิดจะให้โอกาสเขาอธิบาย เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนึกเศร้าเสียใจมาเท่านั้น

และในเมื่อโอกาสที่รอมานานปรากฏอยู่ตรงหน้า มีหรือที่เขาจะปล่อยมันไป

“จางหยวน เจ้าเองก็คงจะพอรู้สินะว่าพวกมนุษย์กลายพันธุ์นั้นที่สามารถใช้พลังเหนือมนุษย์ได้นั้นเป็นเพราะพวกมันฝังแผ่นพลังงานไว้บนหัว ถูกต้องรึเปล่า”

จางหยวนพยักหน้ารับในทันที ส่วนคนอื่นนั้นมองไปที่เฉินเฉียงเพราะไม่รู้ว่าเขานั้นต้องการจะพูดอะไร

เฉินเฉียงได้หัวเราะออกมาก่อนที่จะนั่งขัดสมาธิลงที่พื้นและชี้ไปที่หัวของตนแล้วพูดออกมา “มา จางหยวน เจ้าลองดึงแผ่นพลังงานออกจากหัวข้าดูสิ”

จางหยวนหัวใจเต้นแรงในทันทีที่ได้ยินและทำได้เพียงยืนนิ่งไปเพียงเท่านั้น

ไม่ใช่ว่าเขานั้นไม่อยากจะพิสูจน์เรื่องแผ่นพลังงานนี้กับเฉินเฉียง แต่ว่าเขานั้นรับรู้ว่าหากว่าดูดแผ่นพลังงานนี้จากหัวของเฉินเฉียงแล้วจะทำให้เขานั้นตกตายในทันที

“เป็นอะไรไป ไม่กล้างั้นรึ” เฉินเฉียงได้ถลึงตาใส่จางหยวนและพูดออกมาอย่างยั่วยุ “จางหยวน คงไม่ใช่ว่าเพียงแค่เห็นว่ามนุษย์กลายพันธุ์เช่นข้าทำประโยชน์กับเจ้าเล็กๆน้อยถึงได้ไม่อยากจะลงมือหรอกนะ”

“หากเจ้าคิดอย่างนั้นจริงล่ะก็ ในอนาคต จะต้องมีมนุษย์ตกตายในมือข้าอีกมากมายเป็นแน่ นี่ได้เวลาที่เจ้านั้นจะได้ช่วยเหลือเผ่าพันธุ์ไว้แล้ว”

“ข้าทำเอง”

คำพูดของเฉินเฉียงนั้นกลับไปกระตุ้นเจิ้งยี่ที่อยู่ข้างๆแทนเสียอย่างนั้น

“เฉินเฉียง เจ้าช่วยชีวิตข้า ข้า เจิ้งยี่ ย่อมซาบซึ้งไปทั้งหัวใจ แต่จะให้ข้านั้นปล่อยสัตว์ประหลาดที่ชั่วร้ายไปล่ะก็ ฝันไปเถอะ”

“แต่ไม่ต้องกังวลไปล่ะ ข้า เจิ้งยี่ขอสาบานว่าหลังจากเจ้าตายไปแล้ว ข้า เจิ้งยี่ จะติดตามไปรับใช้เจ้าเอง”

หลังจากพูดจบ เจิ้งยี่ได้ยื่นฝ่ามือไปที่หัวของเฉินเฉียง

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจ ว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset