บทที่ 231 หิมะ(หยานเสวี่ย)เดือด
เจิ้งยี่ที่กำลังอยู่ท่ามกลางการต่อสู้อย่างคร่ำเคร่งนั้นได้หันขวับไปมองเฉินเฉียงอย่างจงเกลียดจงชัง และดูเหมือนจะไม่ทำตามคำสั่งของเฉินเฉียงแต่ตวัดกระบี่ทองคำในมืออย่างรวดเร็ว
“ฮี่ฮี่ฮี่ เฉินเฉียง ดูเหมือนว่าองครักษ์ของเจ้านั้นจะไม่เชื่อฟังเอาซะเลยน้า….. เจ้าต้องการให้ข้าสั่งสอนเขาแทนเจ้ารึเปล่า”
“ไม่ต้องหรอกน่า”
เฉินเฉียงหน้านิ่งไปในทันที นั่นก็เพราะเขากำลังส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณไปหาเจิ้งยี่ -เจิ้งยี่ องครักษ์หยานนั้นแข็งแกร่งสุดจะพรรณนาเจ้าก็น่าจะรู้นี่หว่า ต่อให้เจ้าร่วมมือกับข้า ข้าก็ไม่คิดว่าพวกเราจะชนะนางได้หรอกนะ-
-และในตอนนี้ข้ามีข้อตกลงร่วมกับนางว่าหากข้าไม่เข้าร่วมในการต่อสู้ นางก็จะยอมนิ่งเฉยเรื่องในครั้งนี้-
-แต่หากเจ้านั้นไม่ยอมแสดงพลังเหนือมนุษย์ให้นางดูละก็ ข้าเกรงว่านางเองจะอารมณ์เสียเอานา….-
-แล้วหากว่านางฟิวส์ขาดเข้าร่วมสงครามเข้าละก็ กองกำลังของเรานั้นเสียหายหลายแสนอย่างแน่นอน-
-เจ้าอยากให้เรื่องเป็นอย่างนั้นรึไงกัน-
-อย่างน้อยๆก็ช่วยลดทิฐิแล้วฟังข้าในครั้งนี้เถอะนะ แล้วหลังจากนี้ข้าจะไม่บังคับเจ้าในเรื่องนี้อีกต่อไป-
เจิ้งยี่เมื่อได้ยินก็บังเกิดใบหน้าสีแดงจัดขึ้นเมื่อได้ยิน ในที่สุดเขาก็คำรามลั่นก่อนที่ร่างกายของเขาจะขยายตัวใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า ก่อนที่จะเปิดปากที่อ้ากว้างสวาปามนายพลทักษะพิเศษขั้นสูงที่เผลอยืนจั้งก้าอย่างตกตะลึงลงท้องไปในบัดดล
เมื่อได้เห็นเจิ้งยี่ยอมใช้ทักษะเหนือมนุษย์นี้แล้ว เขารับรู้ได้ในทันทีว่าสถานการณ์ของเขาเป็นต่อแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นคือ ในตอนนี้นั้นเหลือนายพลทักษะพิเศษขั้นสูงอีกสามตนเพียงเท่านั้น
นี่ทำให้ตาชั่งในสงครามครั้งนี้เอนเอียงไปอย่างสิ้นเชิง นั่นก็เพราะพลังที่บ้าคลั่งของเจิ้งยี่นี้
เมื่อเหล่านายพลทักษะพิเศษได้เห็นเจิ้งยี่ที่บ้าคลั่งแสดงความบ้าพลังออกมาราวกับสัตว์ประหลาดที่ดุร้าย และพึ่งจะเขมือบนายพลทักษะพิเศษขั้นสูงฝั่งตนลงไปอีกหนึ่ง นี่ทำให้นายพลทักษะพิเศษที่เหลือนั้นเสียขวัญจนไม่อยากที่จะต่อสู้อีกต่อไป
“ฉิบหายแล้ว ไอ้บ้านั่นเริ่มไล่กินพวกเราอีกแล้ว”
ในการปลดปล่อยพลังของเจิ้งยี่นั้น ไม่เพียงพลังการต่อสู้ของเขานั้นจะสูงขึ้นแล้ว เขานั้นยังเปรียบได้ดั่งเงาที่ตามหลอกหลอนจิตใจของมนุษย์กลายพันธุ์ที่ยังไม่เสื่อมคลายจากใจ ส่วนคนในกองกำลังเทียนเว่ยนั้น ก็ได้รีบกวาดล้างเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่ยืนอึ้ง และเริ่มจะหนีไปในทุกทิศทาง
บนอากาศนั้น หยานเสวี่ยเองตกอยู่ในสภาพตกตะลึงตั้งแต่แรกเห็นพลังเหนือมนุษย์ของเจิ้งยี่
เฉินเฉียงเมื่อเห็นท่าทางของหยานเสวี่ยแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาอย่างค่อนข้างจริงจัง “องครักษ์หยาน ท่านคงไม่หาว่าข้าตัดสินใจผิดไปหรอกนะ”
“ด้วยพลังเหนือมนุษย์ของเจิ้งยี่แล้วนั้น ข้าเชื่อว่าแม้แต่ราชาสวรรค์เองนั้นก็ยังต้องสนใจไม่น้อยเมื่อได้เห็นเขา”
หยานเสวี่ยพยักหน้ารับในทันที “จริงอย่างที่เจ้าว่า เฉินเฉียง หากเจ้านั้นสามารถควบคุมองครักษ์ของเจ้าได้ละก็นะ แล้วหากเจ้าสามารถให้เขาใช้พลังนี้เพื่อเป็นพลังให้กับราชาสวรรค์ได้ละก็ ต่อให้ไอ้พวกนี้ก็ตกตายก็คุ้มค่าแล้ว”
“ยังไงก็เถอะ ข้านึกไม่ออกเลยจริงๆว่าด้วยการที่เจ้าและองครักษ์ของเจ้านั้นแสดงพลังออกมาถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมคนในกองกำลังของเจ้าถึงยังยอมรับได้กัน”
“นี่พวกเขานั้นไม่คิดปฏิเสธตัวตนของพวกเจ้าเลยรึไงกัน”
“ฮี่ฮี่ฮี่ องครักษ์หยาน เรื่องบางเรื่องนั้นก็ไม่อาจใช้สามัญสำนึกในการตัดสินได้นา ยกตัวอย่างเช่นตัวข้าคนนี้”
“ถ้าไม่อย่างนั้นทำไมราชาสวรรค์ถึงเลือกให้ข้ามาอยู่กับเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างนี้กันล่ะ”
“และนี่คือเหตุผลว่าทำไมการต่อสู้ของกองกำลังของข้านั้นถึงขาดคนหนึ่งคนใดไปไม่ได้”
หลังจากนั้นเฉินเฉียงได้ชี้ออกไปพร้อมใบหน้าที่เชิดขึ้นอย่างภูมิใจ
“องครักษ์หยาน ไม่ใช่ว่าคนของท่านนั้นจะอ่อนด้อยไปหน่อยรึไงกัน ตอนนี้จำนวนพวกมันพอๆกับพวกข้าแล้วนา แถมยังมีบางตนวิ่งหนีไปซะอีก”
“อย่าบอกนะว่ามนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้คือบรรทัดฐานของท่านน่ะ”
เฉินเฉียงได้พูดออกมาอย่างดูถูกพลางชี้ไปยังนายพลทักษะพิเศษบางตนที่วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต
ความจริงแล้วในเรื่องนี้เขานั้นไม่ได้บอกหยานเสวี่ยก็ได้ด้วยซ้ำ เพราะเขาเชื่อว่ากับมนุษย์กลายพันธุ์พวกนี้ เขามีสิทธิที่จะลงมือ
“องครักษ์หยาน ท่านจะเป็นคนหยุดพวกมันเองดีกว่าข้านะ”
“ถึงพวกมันจะมีฝีมือไม่สูงมาก แต่ฝีเท้านั้นช่างยอดเยี่ยมนัก”
“สำหรับข้านั้นต่อให้พวกมันหนีไปได้ก็ไม่เท่าไหร่ แต่หากพวกมันได้หนีรอดไปได้แล้วเอาเรื่องขององครักษ์ของราชาสวรรค์ไปป่าวประกาศว่าไม่ยอมช่วยพวกมัน ข้าว่าเรื่องนี้คงทำให้ราชาเหนือมนุษย์ตนอื่นมองราชาสวรรค์ในทางที่ไม่ดีสักเท่าไหร่นะ”
หยานเสวี่ยสบถออกมาเล็กน้อยแต่เย็นชาจับใจ “เจ้ากล้ายกชื่อราชาสวรรค์มาอ้างรึ รนหาที่ตายนัก”
หลังจากพูดจบ หยานเสวี่ยก็หายไปจากตรงที่ยืนอยู่แล้วไปปรากฏตัวต่อหน้านายพลทักษะพิเศษขั้นกลางสองตนที่ทะยานบินหลบหนีอยู่กลางอากาศ
“พวกเจ้าทั้งหมดจงฟังนายท่านคนนี้ นายพลทักษะพิเศษอย่างพวกเรานั้นยินดีที่จะตกตายในการต่อสู้ จะไม่มีใครยินดีที่จะหลบหนี”
“พวกเจ้าทั้งหมดหากยังคิดหนีอยู่อีก ข้าจะฆ่าพวกเจ้าไม่ให้หลงเหลือ อยู่ไปก็อายเผ่าพันธุ์”
หลังจากพูดจบ หยานเสวี่ยก็ได้เตะไปที่นาพลทักษะพิเศษขั้นกลางทั้งสองกลับเข้าไปในวงต่อสู้ และนั่นทำให้ถูกจางหยวนและหลู่ฟางที่ราวกับกำลังรอจังหวะฆ่าทิ้งในทันใด
เมื่อเห็นฉากนี้แล้ว เหล่านักรบทักษะพิเศษตนอื่นก็รับรู้ได้แล้วว่าตัวเองทำได้เพียงกัดกระสุนนัดนี้เอาไว้ และเริ่มต่อสู้กับกองกำลังเทียนเว่ยอีกครั้ง
และด้วยเป็นการต่อสู้ของหมาจนตรอก นี่ทำให้กองกำลังเทียนเว่ยถูกกดดันอย่างหนัก
เมื่อได้เห็นฉากนี้ เฉินเฉียงก็ไม่ได้แสดงความกังวลออกมาแต่อย่างใด เขาได้ตะโกนออกไป “เจิ้งยี่ คืนร่างได้แล้ว ไม่ต้องใช้ร่างจอมเขมือบนั่นแล้ว”
เจิ้งยี่ที่ตกอยู่ในสภาพบ้าคลั่งและกลินกินนายพลทักษะพิเศษชั้นสูงลงไปสองตนและขั้นกลางอีกสี่ตน เมื่อได้ยินเสียงของเฉินเฉียงก็ราวกับได้สติและกลับคืนสู่รูปลักษณ์มนุษย์ ก่อนที่จะกรีดดาบของตนและดีดให้ทิ่มแทงนายพลทักษะพิเศษไปอีกตน
คำพูดของเฉินเฉียงนั้นเรียกได้ว่าพูดออกมาได้ถูกจังหวะอย่างมาก ราวกับเขานั้นรู้ว่าจังหวะใดใช้ทักษะไหนได้อย่างทรงประสิทธิภาพ และนี่เองก็ทำให้เจิ้งยี่นั้นควบคุมพลังได้มากขึ้นตามระดับ อีกอย่างหนึ่งเขาเองก็ไม่คิดว่าจะให้มีมนุษย์กลายพันธุ์กลุ่มนี้หลุดออกไปอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นละก็เรื่องของพวกเขานั้นคงโดนรับรู้โดยเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้อย่างไม่ยากเย็น
หยานเสวี่ยได้มองไปที่เฉินเฉียงอย่างสงสัยแล้วถามออกมา “ทำไมเจ้าไม่ให้เขาใช้พลังเหนือมนุษย์ต่อไปล่ะ การจัดการพวกระดับสูงโดยเร็วนี่จะไม่เป็นการดีกว่าหรอกเหรอ”
เฉินเฉียงได้ส่ายหัวไปมาในทันทีแล้วพูดออกมา “องครักษ์หยาน หากว่ากองกำลังนี้ไม่มีข้ากับเจิ้งยี่อยู่ละก็ พวกเขาก็ยังคงทำงานเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว สิ่งที่ข้าทำได้ก็คือการฝึกปรือพวกเขาพร้อมต่อการต่อสู้เพียงเท่านั้น”
“ข้าเชื่อว่าต่อให้ราชาสวรรค์มาที่นี่ด้วยตนเอง เขาคงไม่ต้องการให้กองกำลังของข้านั้นมีเพียงหนึ่งหรือสองคนที่ทรงพลังแกร่งกล้าอย่างแน่นอน ท่านว่าไหมล่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หยานเสวี่ยก็ไม่ตอบอะไรออกมาเพียงยักไหล่เท่านั้นและพูดออกไป “เรื่องนี้เองนั้นข้าก็ไม่ได้มีสิทธิพูดอะไรออกไปหรอกนะ ยังไงซะ ภารกิจของข้านั้นคือการทำให้เจ้าปลอดภัยเพียงเท่านั้น”
“อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าเนี่ย…ข้าว่าก็คงพอจะดูแลตัวเองได้อยู่ล่ะนะเมื่อไม่มีข้าน่ะ”
“ถูกต้อง ใช่เลย องครักษ์หยาน ในเมื่อท่านพูดมาก็ดีแล้ว นี่แสดงว่าท่านไม่จำเป็นต้องตามข้าอีกต่อไปแล้วใช่รึเปล่าล่ะ”
เฉินเฉียงได้ใช้จังหวะนี้เพื่อไต่บันไดหนีให้พ้นจากสายตาขององครักษ์หยานในทันที เขานั้นไม่ต้องการถูกองครักษ์หยานผู้สุดแสนจะมหัศจรรย์พันลึกผู้นี้คอยตามดูอีกต่อไป หากเป็นแบบนั้นแล้วเขาจะคอยรักษาความลับของเขาได้ยังไงกัน
อย่างไรก็ตาม คำตอบของนางนั้นทำให้เฉินเฉียงรู้สึกราวกับตกจากบันไดที่สูงลิ่ว
“ไม่มีทาง เจ้าคิดจริงๆเหรอไงว่าข้านั้นอยากจะตามเจ้านักหนาน่ะ ห้ะ ข้าแค่ทำตามคำสั่งของราชาสวรรค์เพียงเท่านั้น”
“หากเจ้าไม่ได้รับการอนุญาตจากราชาสวรรค์ละก็ อย่าหวังจะได้หลุดพ้นจากข้าเลยล่ะนะ”
“แล้วก็นะ เฉินเฉียง ในช่วงเวลาอีกปีครึ่งที่เหลือนี้นั้น พวกเราต้องออกจากเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้แล้ว
เมื่อถึงเวลานั้น ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าและกองกำลังของเจ้าในตอนนี้ ข้าว่าเจ้านั้นเมื่อออกจากที่นี้แล้วตามข้ากลับไปยังเกาะเทียนเล่ยสักทีจะดีกว่า”
“ข้าเชื่อว่าเมื่อราชาสวรรค์ได้รับรู้ ท่านน่าจะมีแผนการใหม่ให้เจ้า”
“ห้ะ นี่ท่านถึงกับให้ข้ากลับไปหาราชาสวรรค์เลยเรอะ” เฉินเฉียงเกาหัวอย่างหนักราวกับจนปัญญา
“ทำไมอีกล่ะ อย่าบอกนะว่าเจ้ามีปัญหาที่จะทำงานให้ท่านราชาสวรรค์กันน่ะ” หยานเสวี่ยถามออกมาอย่างด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น
จากมุมมองของเฉินเฉียงนั้นเขาบอกได้เลยว่าหากพูดอะไรไม่เข้าหูไปละก็ต้องการเป็นเรื่องใหญ่และนั่นจะทำให้องครักษ์หยานแค้นเคืองโกรธเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
ความภักดีของหยานเสวี่ยที่มีต่อราชาสวรรค์นั้น ประจักษ์ใจของเฉินเฉียงอย่างเด่นชัดมานานแล้ว
หากไม่ใช่ว่ามนุษย์กลายพันธุ์นั้นมีลูกไม่ได้ละก็ เขาบอกได้เลยว่า องครักษ์หยานคงจะแต่งงานกับราชาสวรรค์จนมีลูกเป็นโหลๆอย่างแน่นอน