บทที่ 32 เข้าร่วมประลอง
“ศิษย์พี่กัวอยู่ที่นี่รึเปล่าครับ”
ที่ด้านนอกของที่พักกัวเหลียงนั้น เฉินเฉียงได้ตะโกนเรียกกัวเหลียงจากด้านนอกแต่ไม่มีเสียงตอบรับ
“โอ้ ศิษย์น้อง นี่เจ้ามาหาศิษย์พี่กัวงั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงต้องไปลานประลองยุทธแล้วล่ะ” เป็นหนี่เฟิงที่เดินออกมาจากอีกห้องหนึ่งที่อยู่ข้างๆ
เขาไม่คิดว่ากัวเหลียงจะมีหนี่เฟิงเป็นเพื่อนบ้าน
เฉินเฉียงได้ทำการเกาหัวเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกมา “ศิษย์พี่หนี่ เอ่อ ลานประลองนั่นอยู่ตรงไหนครับ ข้าไม่รู้จัก”
“ถ้างั้นเดี๋ยวศิษย์พี่จะพาไปเอง ดีเหมือนกันจะได้เห็นการต่อสู้ของกัวเหลียงด้วย” หนี่เฟิงได้ปิดประตูและเดินนำเฉินเฉียงไปยังลานประลองในทันที
ในตรอกหนึ่งของสำนักเต่าดำ ที่นี่นั้นมีสนามประลองตั้งเอาไว้ ขนาดพื้นที่มีขนาดประมาณสามสิบเอเค่อ ข้างในนั้นมีคนสองคนกำลังสู้กันอยู่ และหนึ่งในนั้นก็คือกัวเหลียง
ในตอนนี้มีผู้ชมในสนามอยู่ประมาณสองร้อยคนโดยรอบ นอกจากจะมีการต่อสู้แล้ว ยังมีคนที่กำลังเดิมพันกันอยู่ว่าใครจะชนะอีกด้วย
“ดูเหมือนว่าวันนี้กัวเหลียงจะแพ้นะ เขาเองก็ชนะมาสี่วันติดแล้ว คราวนี้เขาต้องพบคู่ที่แข็งแกร่งอย่างหลี่จ้งซะด้วย”
“นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่จ้งนั้นได้ลงสนามประลอง แต่เขานั้นต้องมาเจอกัวเหลียงที่เจนศึกว่า ข้าว่าเขาเองน่าจะมีโอกาสชนะมากกว่านะ ข้าลงฝั่งกัวเหลียงแล้วกัน”
“เดี๋ยวเจ้าก็รู้ว่าเจ้าพลาดแล้ว ถึงแม้ว่าเขานั้นจะเป็นนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณเหมือนกัน แต่ต้องไม่ลืมว่าเขานั้นเป็นผู้บ่มเพาะพลังวิญญาณ”
“แล้วไงล่ะ กะอีแค่ผู้บ่มเพาะพลังวิญญาณ แม้แต่อาจารย์เหลียงที่เป็นผู้บ่มเพราะพลังวิญญาณเองก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับอาจารย์ฮู่เลยไม่ใช่เหรอ”
“ข้าว่ายังไงซะกัวเหลียงก็มีโอกาสชนะ”
เฉินเฉียงและหนี่เฟิงนั้นได้เดินผ่านเหล่าผู้คนที่กำลังพนันขันต่อกันและตรงไปยังสนามประลอง
“ศิษย์พี่หนี่ สนามประลองนี้มีการปิดกั้นคนภายนอกหรือเปล่า”
หนี่เฟิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน ก็อย่างที่เห็น กัวเหลียงนั้นต้องพ่ายแพ้แล้ว”
เฉินเฉียงได้หันไปมองบนสนามในทันที กัวเหลียงในตอนนี้ได้กลิ้งไปบนพื้น นี่เป็นโอกาสให้ชายที่ชื่อว่าหลี่จ้งได้เข้าประชิดและฟันดาบไปที่หัวของกัวเหลียงในทันที
“ไม่ดีแล้ว”
เฉินเฉียงหน้าถอดสีในทันทีและรีบตะโกนออกมา
แต่ไม่ทันการณ์ ในตอนนี้เฉินเฉียงเห็นเพียงแค่ฉากที่กัวเหลียงหัวขาดกระเด็นด้วยการฟันที่ครั้งเดียว
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าชนะพนันแล้ว ไอ้หน้าโง่ เจ้ากล้าดียังไงถึงกล้าลงว่ากัวเหลียงชนะได้กัน” “เจ้านี่งี่เง่าชะมัด”
เสียงเชียร์ได้ดังกระหึ่มขึ้นมา และก็ได้มีเสียงสัญญาณหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง เฉินเฉียงได้หันหลังกลับไปดูก็ได้พบกับคนที่เมื่อครู่นี้พึ่งจะตัดหัวศิษย์พี่ของเขาไป และเขานั้นเตรียมที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมาด้วยความโกรธแค้น แต่ก็โดนหยุดไว้ด้วยหนี่เฟิงซะก่อน
“ศิษย์น้อง ไม่ต้องกังวลไป ดูนั่นสิ ไม่ใช่ว่ากัวเหลียงก็ออกมาเหมือนกันหรอกเหรอ”
-กัวเหลียงตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วเขาจะออกมาได้ยังไงกัน-
เฉินเฉียนที่คิดดังนั้นแต่ก็ยังยอมหันไปดูยังทิศทางที่เนี่ยเฟิงชี้ไป เขาในตอนนี้รู้สึกสับสนอย่างหนัก นั่นก็เพราะ หลังจากที่ม่านสีดำบนลานประลองได้ยกขึ้นมาแล้ว กัวเหลียงก็ได้เดินออกมาจากลานประลองอย่างครบทุกชิ้นส่วน ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนด้วยซ้ำ
“ห้ะ ศิษย์พี่กัว”
“โอ้ เจ้าเองเหรอ กัวเหลียงได้เดินมาหาเฉินเฉียงและหนี่เฟิงด้วยท่าทางไร้อารมณ์”
“ศิษย์พี่กัว ข้าเห็นพี่ตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมพี่ถึงเดินออกมาได้แบบเป็นๆกันล่ะ”
กัวเหลียงที่ในตอนนี้กำลังเซ้งเป็ดอยู่นั้น เมื่อได้ยินว่าเฉินเฉียงถามเขาอย่างห่วงใหญ่ ก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
“ศิษย์น้อง ทางสำนักจะปล่อยให้ศิษย์ฆ่ากันถึงตายได้ยังไง นี่เป็นเพียงสนามต่อสู้เสมือนจริงเท่านั้น คนที่ตายเองก็แค่จะรู้สึกเหนื่อยล้ากว่าปกติเท่านั้น ไม่ถึงตายแต่อย่างใด”
“สนามต่อสู้เสมือนจริงเหรอ ศิษย์พี่กัว นี่หมายความว่าคนที่เข้าไปบนสนามนั่นไม่ใช่ตัวจริง แล้วแบบนี้จะสู้กันยังไงล่ะ” เฉินเฉียงยังคงถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ
“แน่นอนว่าคนที่ขึ้นไปนั้นย่อมต้องสู้กันจริงๆ” หนี่เฟิงได้มองไปยังกัวเหลียงที่ท่าทีเหนื่อยอ่อนและพูดออกมา “ศิษย์น้องเฉินก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าศิษย์พี่กัวนั้นเหนื่อยล้าขนาดไหน หากเขานั้นไม่ได้ลงต่อสู้จริงแล้วเขาจะเหนื่อยแบบนี้ได้ยังไงกัน”
“สนามประลองของสำนักเรานั้นถูกสร้างขึ้นมาด้วยความร่วมมือของผู้อาวุโสผู้ซึ่งเป็นตำนานสองคน ก่อนที่จะเข้าลานประลองไปนั้น คนคนนั้นต้องเดินผ่านประตูแสงเข้าไป”
“เมื่อเข้าไปในสนามแล้วนั้น ต่อให้หัวของทั้งสองคนจะถูกตัดออกในระหว่างประลองก็ตาม แต่นั่นจะไม่ได้ส่งผลต่อตัวนักสู้แต่อย่างใด พวกเขาจะสูญเสียพลังภายในไปเท่านั้นหากเกิดเหตุการณ์แบบนั้น นอกจากนี้แล้วไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก”
“ศิษย์น้อง อย่าบอกนะว่าเจ้าจะลองเข้าร่วมดูน่ะ”
แน่นอนว่าเมื่อได้ฟังคำอธิบายของหนี่เฟิงแล้วนั้น เฉินเฉียงย่อมต้องอยากลอง
ตั้งแต่แรกเริ่ม เขานั้นล้วนแล้วแต่เผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดเท่านั้น เขาไม่เคยสู้กับคนมาก่อน
“ศิษย์พี่หนี่ หากข้าต้องการสู้จะหาคู่ต่อสู้ได้จากไหนกัน”
“ศิษย์น้องเฉิน พวกเรานั้นไม่เคยรับศิษย์ที่มีระดับต่ำกว่าระดับทหารขั้นสูงมาก่อน นี่จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เจ้าจะหาคู่ต่อสู้ได้ ทำไมไม่ลองให้ข้าสู้กับเจ้าดูล่ะ”
กัวเหลียงพูดออกมาด้วยสายตาเป็นประกายวิ้งวับ
“ไอ้ตัวหน้าไม่อาย”
หนี่เฟิงได้จ้องมองไปยังกัวเหลียงอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะหันไปหาเฉินเฉียง “ที่กัวเหลียงพูดไว้ประโยคก่อนนั้นถูกต้องแล้ว คนที่ต่อสู้นั้นสมควรจะอยู่ที่ระดับเดียวกัน หรือไม่ก็ต่างกันเพียงหนึ่งขั้นเท่านั้น”
“อีกอย่างหนึ่ง ก่อนที่จะประลองนั้น คนที่ประลองจะตั้งจ่ายคะแนนคนละห้าสิบแต้มเป็นค่าธรรมเนียม เพราะไม่อย่างนั้นแล้วคนที่ต่อสู้กันนั้นจะไม่ตั้งใจสู้กัน” “และนี่หมายความว่าคนที่แพ้จะเสียคะแนนที่จ่ายไปให้กับอีกฝั่ง”
“หรือจะบอกว่านี่คือหนทางที่จะให้ศิษย์ในสำนักมีความกล้าที่จะท้าประลองกันก็ว่าได้”
“หากว่าศิษย์น้องเฉินนั้นต้องการจะต่อสู้จริงๆ เจ้าเองคงต้องหาคนที่แกร่งกว่าเจ้าล่ะนะ”
“ในเมื่อเจ้าจะต้องแพ้อยู่แล้ว ทำไมไม่ให้ข้าได้คะแนนนั้นไปจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ”
เฉินเฉียงที่ได้ยินดังนั้นก็ได้มองกัวเหลียงด้วยรอยยิ้มกว้าง “ศิษย์พี่ นี่ข้าเกือบลืมไปแล้วนะเนี่ยถ้าศิษย์พี่ไม่เตือนความจำ ข้ามาที่นี่เพราะว่าช่วงห้าวันมานี้ข้าเสียคะแนนไปมากมายจากการบ่มเพาะ ข้าว่าพี่น่าจะมอบให้ข้าได้บางส่วนบ้างแล้วนะ”
กัวเหลียงในตอนนี้มีใบหน้ากระตุกไปเล็กน้อย ก่อนที่จะยื่นแขนให้ดูและพูดออกมา “ศิษย์น้อง เจ้าก็เห็นนี่ว่าข้าแพ้น่ะ”
“ข้าไม่ได้รับเงินพิเศษกลับมาแล้วจะคืนได้ยังไง เอาเป็นขอเวลาอีกสักหน่อยนะ”
“กัวเหลียง ข้าพึ่งจะได้ยินมาว่าเจ้าชนะมาสี่วันติดไม่ใช่เหรอ แล้วเจ้าจะไม่มีคะแนนได้ยังไงทั้งๆที่พึ่งจะแพ้ไปรอบเดียว”
“อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่คิดจะให้เฉินเฉียง”
“ถ้าอาจารย์รู้เข้าละก็เจ้าเจอปัญหาใหญ่แน่”
หนี่เฟิงได้ดุกัวเหลียงอย่างไม่ไว้หน้า กัวเหลียงเองก็ได้พยายามยืนยันอีกครั้งและอีกครั้งอย่างหนักแน่น “อย่าบอกอาจารย์นะ ข้าชนะมาหลายรอบก่อนหน้านี้ก็จริงแต่ว่าข้าลงพนันไปว่าจะชนะหมอนั่น ตอนนี้ข้าเลยไม่มีพวกมันแล้วจริงๆ”
-นี่คือวิถีของคนที่มีใจรักการพนันอย่างหมดหัวใจ-
เฉินเฉียงได้แอบดูถูกกัวเหลียงเรื่องนี้อยู่ในใจ ก่อนที่จะหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า
“ศิษย์พี่กัว พี่ค่อยคืนคะแนนให้ข้าทีหลังก็ได้ แต่ข้านั้นอยากจะสู้จริงๆ ทำไมพี่ไม่ช่วยข้าหาคู่ต่อสู้ให้หน่อยล่ะ”
“ศิษย์น้อง นี่เจ้าเอาจริงเหรอ”
หนี่เฟิงถามออกมาอย่างสงสัย
เฉินเฉียงพยักหน้ารับอย่างจริงจัง “ศิษย์พี่หนี่ ข้านั้นไม่เคยมีประสบการณ์การต่อสู้มาก่อน ข้าอยากจะลองดูสักครั้งในตอนที่ยังมีโอกาส”
“คิดได้อย่างนั้นมันก็ดี แต่ กฎนี้เป็นสิ่งที่สำนักได้ตั้งเอาไว้ แต่ด้วยระดับการบ่มเพาะของเจ้านี่ ข้าว่าเจ้าจะเลือกได้เฉพาะคนที่อยู่ระดับทหารขั้นสูงเท่านั้นนะ”
“เอาอย่างนี้ไหมล่ะ ข้าได้ยินมาว่าเทคนิคการเคลื่อนที่ของเจ้านั้นดีทีเดียว เจ้าน่าจะประลองกับหลินคูจากแผนกวิญญาณไหวอยู่”
“เขานั้นอ่อนแอที่สุดในหมู่สายเลือดทหารขั้นสูง แถมเขานั้นไม่ได้มีเทคนิคอะไรเป็นพิเศษ จะมีอย่างเดียวก็คงจะเป็นเทคนิคการโจมตีแบบวิญญาณ เจ้าน่าจะพอใช้ความเร็วในการสู้กับเขาในระยะประชิดได้”
เมื่อได้ยินดังนั้น กัวเหลียงก็เห็นด้วยในทันที และเห็นแบบนี้ เฉินเฉียงก็ได้เห็นด้วยในทันใดเช่นกัน “ตามนั้นครับ ว่าแต่ ข้าจะประลองได้ยังไง”
“ง่ายมาก เจ้าก็แค่ส่งคำท้าผ่านกำไรสื่อสารไปก็เท่านั้น ด้วยกฎของสำนักนั้น หากคนที่อ่อนแอกว่าทำสู้กับคนที่อยู่สูง คนที่อยู่ระดับสูงกว่านั้นจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฉินเฉียงก็ได้ตัดสินใจเลือกคู่ต่อสู้แรกของเขาผ่านกำไรสื่อสาร
“ศิษย์ของแผนกทักษะต่อสู้พิเศษ นักรบระดับสายเลือดทหารขั้นกลาง เฉินเฉียง ขอท้าประลองศิษย์แผนกบ่มเพาะวิญญาณ นักรบสายเลือดทหารระดับสูง หลินคู โดยการเดิมพันคะแนน 100 แต้ม”
Related