ความโกรธแค้นที่เย่เฉินมีต่อตระกูลซู อยู่บนตัวของคนที่เกี่ยวข้องกับพันธมิตรต่อต้านตระกูลเย่
ตอนนี้ ผู้นำผิวเผินของพันธมิตรต่อต้านตระกูลเย่คือซูโสว่เต้า ถูกเขาจับโยนส่งไปที่ซีเรียแล้ว บุคคลหมายเลขสองก็คือซูโสว่เต๋อ ถูกเขาจับโยนส่งไปที่ฟาร์มสุนัขของหงห้าแล้วเช่นกัน
ดังนั้นศัตรูที่เป็นคนของตระกูลซู จึงเหลือเพียงแค่ซูเฉิงเฟิงคนเดียวแล้ว
ตามข้อตกลงระหว่างเย่เฉินกับซูจือหยูก็คือ การที่ซูจือหยูขึ้นเป็นผู้นำของตระกูลซู ซึ่งจะสามารถนำซูเฟิงเฉิงมาแลกกับพ่อของเธอกลับประเทศ
ถ้าถึงเวลาเธอสามารถทำได้ งั้นตนก็จะส่งซูโสว่เต้ากลับมา แต่ยังคงต้องทำให้แน่ใจว่าซูโสว่เต้าจะอยู่ห่างจากอำนาจของตระกูลซู บีบบังคับให้เขาเกษียน
เมื่อเป็นแบบนั้น ตระกูลเย่ก็ดี ตัวเองก็ดี ล้วนสามารถล้มเลิกความเกลียดชังที่มีต่อตระกูลซูทั้งหมด และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีก
ดังนั้น แน่นอนว่าเย่เฉินหวังว่า ซูจือหยูถึงเวลานั้น จะมีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
และซูรั่วหลีผู้เป็นน้องสาวต่างมารดาของซูจือหยู ในตอนที่สองพี่น้องเจอกันครั้งก่อน เย่เฉินยืนอยู่ข้างๆเห็นทุกอย่างจริงใจชัดเจน
เขาสามารถยืนยันได้ว่า หัวใจของซูจือหยู มีน้องสาวอย่างซูรั่วหลีจริงๆ
และในใจของซูรั่วหลีก็มีพี่สาวอย่างเธอคนนี้เช่นกัน
สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ ซุรั่วหลีในตอนนี้ ไม่มีความโหดร้ายและความเกลียดชังในตอนแรกแล้ว ในอนาคตข้างหน้าเธอจะอยู่เคียงข้างซูจือหยู ปกป้องคุ้มครองเธออย่างดีที่สุด
เดิมทีเย่เฉินคิดว่า ตนจัดการได้อย่างสมเหตุสมผล และนึกถึงพี่น้องสองคนนี้
แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่า ในตอนที่ซูรั่วหลีได้ยินคำพูดของเขา ดวงตาของเธอกลับแดงก่ำขึ้นมาในทันที
เธอมองไปที่เย่เฉิน แล้วพูดอย่างสะอึกสะอื้นว่า“คุณชายเย่คะ……คุณเป็นคนช่วยชีวิตรั่วหลี……รั่วหลีสามารถบุกทะลวงสำเร็จภายใต้การช่วยเหลือจากคุณ……คุณเป็นผู้มีพระคุณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของรั่วหลี อนาคตข้างหน้ารั่วหลีแค่อยากคอยปรนนิบัติรับใช้เคียงข้างคุณอย่างเต็มที่ ไม่อยากกลับตระกูลซูอีกแล้ว……”
เย่เฉินพูดอธิบาย“ผมไม่ได้ให้คุณกลับตระกูลซูตอนนี้ แต่รอให้พี่สาวของคุณเป็นผู้นำของตระกูลซูให้ได้ก่อน แล้วคุณค่อยกลับไป”
รั่วหลีพูดประชดอย่างสะอึกสะอื้น“งั้นฉันไม่กลับ!ถึงฉันกับพี่สาวจะมีสายเลือดเหมือนกันครึ่งหนึ่ง แต่สุดท้าย ฉันก็ไม่ได้ติดหนี้อะไรเธอ อนาคตข้างหน้าไม่อยากอยู่เคียงข้างเธอหรอก……”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เธอก็คว้ามือของเย่เฉินมาจับอย่างไม่รู้ตัว แล้วร้องไห้พลางพูดไปด้วยว่า“คุณชายเย่ ขอร้องล่ะคุณอย่าไล่รั่วหลีจากไปเลย ได้ไหมคะ?”
เย่เฉินพูดอย่างทำอะไรไม่ได้“ตอนนี้ตัวตนของคุณค่อนข้างอ่อนไหว จะรีบกลับไปใช้ชีวิตปกติทันทียังไม่ได้ ดังนั้นผมจึงให้คุณอยู่กับผมต่อไป แต่อนาคตเรื่องนี้จะต้องผ่านไปอยู่ดี ความโกรธแค้นที่ฝั่งคนญี่ปุ่นมีต่อคุณก็จะค่อยๆเลือนหายไปตามกาลเวลา กระทั่งถูกลืมไป ถึงเวลานั้น คุณก็ได้มีชีวิตใหม่เป็นของตัวเอง จะเสียเวลาอยู่ข้างๆผมไปทำไม?”
ซูรั่วหลีพูดอย่างยืนกราน“ฉันไม่อยากได้ชีวิตเป็นของตัวเอง……ฉันแค่อยากอยู่เคียงข้างคอยปรนนิบัติติดตามคุณชายเย่……”
พูดจบ เธอเช็ดน้ำตา แล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า“คุณชายเย่คะ ถ้าวันไหนคุณไม่ต้องการให้รั่วหลีติดตาม รั่วหลีจะไม่รบกวนอะไรอีก ถึงเวลานั้นรั่วหลีจะไปขอโกนผมบวชเป็นแม่ชี กินเจและสวดมนต์ตลอดชีวิต!คุณอย่าคิดว่ารั่วหลีขู่คุณนะคะ รั่วหลีขอให้ชีวิตของตัวเองสาบาน ถ้าผิดคำสาบาน ขอให้ฟ้าผ่า!”
เย่เฉินถึงกับหมดคำพูด ผ่านไปอยู่นานกว่าเขาจะเอ่ยปากถาม“คุณ……คุณต้องการอะไรกันแน่?ปีนี้คุณพึ่งยี่สิบต้นๆเองนะ อนาคตข้างหน้ายังสดใส!อีกทั้งจากการฝึกฝนของคุณ ถึงจากนี้ไปการฝึกฝนของคุณจะไม่มีความก้าวหน้า คุณก็สามารถใช้ชีวิตไปจนถึงร้อยกว่าปีได้อย่างง่ายๆ นั่นก็หมายความว่าชีวิตของคุณพึ่งทำสำเร็จไปแค่เศษหนึ่งส่วนห้าของชีวิตเท่านั้น กระทั่งเศษหนึ่งส่วนหกของชีวิต!”
“ฉันไม่สน”ซูรั่วหลีพูดอย่างยืนหยัด“ถ้าไม่ได้พบเจอกับคุณขายเย่ ชีวิตของฉันคงจะใช้หมดเต็มร้อยไปแล้ว คงไม่ได้เป็นซูรั่วหลีที่นั่งอยู่ตรงนี้อย่างปลอดภัยไม่เป็นอะไรแบบนี้หรอก!ดังนั้น ไม่ว่าฉันจะเหลือชีวิตอีกสักกี่ปี มันก็เป็นสิ่งที่คุณชายเย่เป็นคนให้มา เพราะฉะนั้นวันเวลาเหล่านี้ ฉันอยากจะยืนเคียงข้างคุณชายเย่ต่อไปค่ะ!”