ฉินจุนส่ายหน้า
“ไม่เคยเรียน จบชั้นประถม ”
หยางซินเฉิงขมวดคิ้ว แสดงความไม่พอใจ
“ท่าทีอะไรของคุณ ? ถ้าอยากเข้าวงการบันเทิง ก่อนอื่นเลยต้องมีความถ่อมตัว เมื่อเจอกับคนที่มี
ความสามารถมากกว่ามีคุณสมบัติมากกว่าจะต้องเรียกว่าอาจารย์ เข้าใจหรือเปล่า ? ”
ถึงแม้ว่าหยางซินเฉิงจะเป็นแค่ผู้จัดการธรรมดาๆคนหนึ่ง แต่สำหรับคนนอกแล้วถือเป็นคนใหญ่คนโต
คนที่อยากเข้าสู่วงการบันเทิงจะต้องอ่อนน้อมถ่อมตน แม้กระทั่งดาราหญิงมากมาย ไม่ว่าจะโดดเด่นแค่
ไหนก็ไม่แน่ว่าชีวิตจะมั่นคง งานสายนี้ไม่ได้หาเงินมาได้ง่ายขนาดนั้น
ฉินจุนมองเขาด้วยสายตานิ่งเรียบ รู้สึกตลกนิดหน่อย
“คุณหมายถึงให้เรียกคุณว่าอาจารย์ ? ”
หยางซินเฉิงหงุดหงิด “ไร้สาระ ไม่อย่างงั้นหละ ? ”
คำพูดและท่าทางเย็นชาของฉินจุนทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก ถ้าไม่ใช่ว่าเห็นแก่หน้าหลินเยวี่ยเหยาแล้ว
หละก็ คงจะสั่งสอนเขาไปตั้งนานแล้ว
“เรียกคุณว่าอาจารย์ ? คุณไม่คู่ควร ”
รูม่านตาของหยางซินเฉิงหดลง และทันใดนั้นเขาก็ตบโต๊ะ
“คุณพูดว่าผมไม่คู่ควรหรอ ? คุณคงไม่อยากจะหางานแล้วใช่ไหม นี่หรอท่าทีที่ขอให้คนช่วย ”
ถึงอย่างไรหยางซินเฉิงก็เคยอยู่กับศิลปินที่มีชื่อเสียงมาแล้ว แม้ว่าเขาจะเป็นแค่พนักงานธรรมดาคนหนึ่ง
แต่ในทุกๆวันต้องใกล้ชิดกับคนดังเหล่านี้ นานวันเข้าก็คิดว่าตัวเองเก่งมาก
ดังนั้นสิ่งไหนที่ยังไม่ได้เรียนรู้ ใช้อารมณ์จึงจะเรียนรู้ได้ไวกว่า
ถังหมิ่นเห็นท่าไม่ดี จึงรีบประนีประนอม
“เหอะๆ แค่นี้อย่าโกรธไปเลยนะเสี่ยวหยาง คนหนุ่มสาวสมัยนี้อารมณ์รุนแรง มา เราทานข้าวกันก่อน
ดีกว่า ”
เห็นพวกเขาสองคนคุยกันขัดแย้งอย่างรุนแรง ไม่ได้พูดถึงเรื่องงานเลย
ทุกคนทานข้าวไปได้สักพัก หยางซินเฉิงก็ไม่อยากจะสนใจฉินจุนแล้ว ใจไปตกอยู่ที่หลินเยวี่ยเหยาแทน
“เยวี่ยเหยา วัยรุ่นสาวอย่างเธอคงจะชอบหวังจื่อสินะ ตอนนี้ผมกำลังเป็นผู้จัดการให้กับหวังจื่ออยู่ ต่อไป
จะขอลายเซ็นมาให้เธอดีไหม ? ”
หลินเยวี่ยเหยาไม่ได้ชอบดาราอะไรมากขนาดนั้น แค่พูดให้ผ่านไปเฉยๆเท่านั้น
“ไม่ต้องหรอก ลำบากคุณเปล่าๆ ”
หยางซินเฉิงตอบอย่างไม่ได้สนใจการปฏิเสธเลยสักนิด
“โอ้ยไม่ลำบากเลย เราเพื่อนกันทั้งนั้น ขอแค่ลายเซ็นไม่ใช่ปัญหา ”
“แล้วก็ยังมีดาราคนอื่นอีก ปกติแล้วคุณฟังเพลงศิลปินคนไหน ? ”
เมื่อเห็นว่าหลินเยวี่ยเหยาไม่ได้สนใจมากนัก หยางซินเฉิงก็ยืนกรานที่จะหาหัวข้อคุยที่เขาถนัดเพื่อแสดง
ความเหนือของตนเอง
หลินเยวี่ยเหยาคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ฉันฟังเพลงไม่เยอะหรอก บางทีก็ฟังเพลงของซูเหวินฉี ”
หยางซินเฉิงยิ้มตอบ “ซูเหวินฉีหรอ ผมก็เคยร่วมงานด้วย บางครั้งเธอก็จะมาเล่นคอนเสิร์ตที่ตงไห่ ถ้าคุณ
ชอบผมหาตั๋วให้คุณได้ ”
หลินเยวี่ยเหยายิ้มอย่างมีมารยาท “ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอก ฉันใช้โทรศัพท์เปิดเพลงฟังก็โอเคแล้ว ”
ในที่สุดก็เปิดหัวข้อคุยได้ หยางซินเฉิงพูด
“สองสามวันก่อนคุณอ่านข่าวของซูเหวินฉีแล้วใช่ไหม ? ”
หลินเยวี่ยเหยาพยักหน้า “อ่านผ่านๆ เหมือนจะมีแฟนแล้วใช่ไหม ? แล้วก็ถูกคนถ่ายภาพไปได้ ”
หยางซินเฉิงตอบ “เรื่องพวกนี้น่ะเป็นการประชาสัมพันธ์ที่บริษัทช่วยทำให้ พวกคุณคนนอกไม่รู้หรอก การ
จัดฉากนี่เป็นวิธีที่วงการบันเทิงใช้บ่อยที่สุด ”
“ที่จริงแล้วนั่นไม่ใช่แฟนหรอก แต่เป็นเสี่ยเลี้ยง ”
วงการบันเทิงไม่ได้ดีนักหรอก เรื่องที่มีเสี่ยเลี้ยงถูกแฉอยู่บ่อยๆ ดังนั้นเรื่องพวกนี้คนธรรมดาทั้งหลายก็คงเคยได้ยินมากัน
หยางซินเฉิงพูดแบบนั้น หลินเยวี่ยเหยาก็ขมวดคิ้ว
“จริงหรอ ? ซูเหวินฉีมีเสี่ยเลี้ยง ? ไม่ใช่ว่าซูเหวินฉีเดบิวต์มาอย่างบริสุทธิ์ หลายปีมานี้ก็ไม่ได้รับมลทิน
จากวงการบันเทิงไม่ใช่หรอ ? ”
เมื่อเห็นว่าหลินเยวี่ยเหยาสนใจขึ้นมา หยางซินเฉิงก็เริ่มพูดไปทั่ว
“เรื่องพวกนี้คุณก็เชื่อด้วยหรอ ? ทั้งหมดนี่เป็นการทำให้ศิลปินโด่งดังได้ในวงการบันเทิง ดาราหญิงสมัย
นี้มีแค่หน้าตาที่สวยทั้งนั้นแหละ บริสุทธิ์สะอาดซะที่ไหนกัน ? เรื่องพวกนี้คนนอกอย่างพวกคุณไม่รู้หรอก
แต่ว่าพวกเรานั้นต่างก็รู้ดีกันอยู่แล้ว ”
ตอนแรกที่พวกเขาคุยหัวข้อนี้กันฉินจุนไม่ได้อยากสนใจ แล้วก็ไม่อยากพูดแทรกด้วย
แต่ว่าอยู่ดีดีก็มาถึงเรื่องเขากับซูเหวินฉี ทำให้ฉินจุนไม่พอใจอย่างมาก
“ถ้าคุณไม่รู้อะไร ก็อย่าพูดมั่วซั่ว เสี่ยเลี้ยงอะไรกัน ? คุณรับผิดชอบคำที่ตัวเองพูดออกมาไหวไหม ? ”
เมื่อเห็นว่าจู่ๆฉินจุนก็พูดแก้ต่างออกมา หยางซินเฉิงก็รู้สึกแปลกใจ
“โย่ นี่คุณก็เป็นแฟนคลับของซูเหวินฉีหรอ ? อายุก็ไม่น้อยความสามารถก็ไม่มี ยังรู้จักเป็นติ่งกับเค้าด้วย
หรอ ? คิดว่าตัวเองเก่งมากหรือไง ? คุณเป็นคนวงนอกหรือคนวงในหละ ? เคยเจอซูเหวินฉีแล้วหรือ
ยัง ? เหอะๆ ตลกจริงๆเลย ”
ฉินจุนตอบ “เรื่องในวงการบันเทิงของพวกคุณ ผมไม่อยากจะพูดอะไร แต่ว่าอย่าพูดมั่วๆถึงข่าวลือของซูเห
วินฉีอีก ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าผมไม่เกรงใจก็แล้วกัน ”
หยางซินเฉิงชะงัก ใบหน้านิ่งเรียบขึ้นทันที
“ทำไมนะ ? ไม่เกรงใจ ? หรือคุณคิดว่าคนแซ่หยางอย่างผมน่ารังแกหรอ ? ได้ คุณคอยดู ”
พูดจบหยางซินเฉิงก็เดินออกไปจากห้องอาหาร
สำหรับเขาแล้ว ฉินจุนก็เป็นพวกคนกระจอกที่หางานทำไม่ได้ แล้วมาแสร้งทำเป็นอวดเก่งกับเขาอีก ?
คิดว่าหยางซินเฉิงตัวเล็กรังแกง่ายงั้นหรอ ?
แกคิดน้อยเกินไปแล้ว !
เมื่อหยางซินเฉิงออกไป บรรยากาศในห้องอาหารก็แปลกๆขึ้นมา ซุนต้าเหมยก็ทำหน้าไม่พอใจ
“เหอะ ถังหมิ่น นี่มันหมายความว่าอะไรกัน คนที่ขอร้องคนอื่นเค้ามีท่าทีแบบนี้กันหรอ ? ฉันว่านะ เหล้า
แก้วนี้เธอคงไม่ต้องดื่มแล้ว ! ”
พูดจบ ซุนต้าเหมยก็สาดไวน์แดงลงบนตัวถังหมิ่น
“ว้าย ! ”
ถังหมิ่นรีบลุกขึ้นยืนเช็ดเหล้าที่เลอะเสื้อผ้าของตนเอง แม้ว่าในใจตนเองก็โกรธเช่นกัน แต่ก็ยังอดทนเอาไว้
และฝืนยิ้มออกมา
“พี่ซุน ดูสิพี่ทำอะไร…… ”
ไม่รอให้ถังหมิ่นพูดจบ ฉินจุนรีบลุกขึ้นเดินไปหยุดตรงหน้าซุนต้าเหมย พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ขอโทษ ”
ซุนต้าเหมยขมวดคิ้ว
“อะไร ? ขอโทษ ? ขอโทษใคร ? ”
ฉินจุนกล่าว “ให้โอกาสคุณอีกครั้ง ขอโทษป้ารองเดี๋ยวนี้ ”
ซุนต้าเหมยแสดงความไม่พอใจ “กับคนอย่างพวกเธอน่ะหรอ ? จะให้ฉันขอโทษหรอ ? พวกคุณคู่ควร
ไหม ? เชื่อเถอะลูกฉันไปเรียกคนมาไม่กี่คนก็จะทำให้พวกเธอกินไม่ลงเดินไม่ได้กันเลยทีเดียว ! ”
หลังจากซุนต้าเหมยพูดจบ ฉินจุนก็ยกมือสูงขึ้นแล้วตบลงไปหนึ่งที
เพี้ยะ !
เสียงหนึ่งดังขึ้นมา ตบไปที่หน้าของซุนต้าเหมย ทันใดนั้น ใบหน้าครึ่งหนึ่งของซุนต้าเหมยก็บวมเหมือนเนิน
เขาเล็กๆ บวมขึ้นอย่างรวดเร็วและมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ความเจ็บปวดที่ร้อนวูบแทบจะทำให้เธอสลบไป
เธอเอื้อมมือออกมาสัมผัสไปที่ใบหน้าครึ่งนั้นด้วยความเหลือเชื่อ
“แกตบฉัน ? แกกล้าตบฉันหรอ ! แกซวยแน่ ฉันจะบอกให้ลูกฉันฆ่าแก ! พวกหมาข้างถนน พวกแกหนี
ไม่รอดแน่ ! ”
ฉินจุนขมวดคิ้ว ใช้หลังมือตบไปอีกครั้ง
เพี้ยะ !
เสียงดังฟังชัด ซุนต้าเหมยล้มลงไปกองกับพื้น ใบหน้าสองด้านบวมขึ้นมา น้ำลายและเลือดไหลออกมาจาก
ปาก ฟันหักไปสองสามซี่
“ปากเน่าจริงๆเลยนะ ”
ฉินจุนระเบิดอารมณ์ เขาไม่เคยให้สิทธิพิเศษอะไรเพียงแค่เพราะว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้หญิงหรอก
ปากดีก็ต้องโดนตบแบบนี้แหละ