ผู้อํานวยการที่รักใคร่เมีย – ตอนที่ 92 แล้วแต่เธอ

“โม่เจียเฉิน” ได้ยินคำพูดของมู่นวลนวล ภายในดวงตาของเขาก็มีแสงประหลาดวูบเข้ามา เขาจ้องมองเธออย่างครุ่นคิดแต่กลับกล่าวเพียงเบาๆ “ไปกันเถอะ”

มู่นวลนวลอยู่ด้านหลังของเขา ความรู้สึกภายในใจนั้นสับสน

คนหนึ่งคนที่ถูกควบคุมด้วยอารมณ์ได้อย่างง่ายดาย ในตอนนี้เธอจ้องมอง “โม่เจียเฉิน” และไม่ได้รู้สึกเกลียดชังขนาดนั้น แต่กลับรู้สึกขอบคุณและชื่นชม ถ้าเขาไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องของโม่ถิงเซียว ถ้าหากว่าเธอไม่ได้แต่งงานกับโม่ถิงเซียว…

แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ปัญหาก็ยังวนกลับมาจุดเดิม

หากเธอไม่ได้แต่งงานกับโม่ถิงเซียว ฐานะของเธอ ตลอดทั้งชีวิตนี้ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถเข้ามาพัวพันกับ โม่เจียเฉิน

นี่คือปัญหาที่หมดปัญญาจะแก้ไข โชคชะตานั้นมักเล่นตลกทำให้คนคนหนึ่งหมดหนทางจะแก้ไข ไร้ทางเลือก

เมื่อทั้งสองขึ้นรถ “โม่เจียเฉิน”จู่ๆก็ถามเธอว่า “คุณวางแผนจะเอาการ์ดสีดำใบนั้นกลับมาอย่างไร?”

มู่นวลนวลยิ้ม “แน่นอนว่าต้องคิดหาวิธี”

“คุณไม่กลัวว่าลูกพี่ลูกน้องก็กำลังตามสืบเรื่องนี้เหรอ?” “โม่เจียเฉิน”ลองถามหยั่งเชิงเธอ

“ถ้าเขาคิดตามสืบ เมื่อคืนเขาก็คงไล่ถามฉันไปแล้ว” รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่นวลนวลค่อยๆหายไป “เขาเป็นคนจิตใจกว้างขวาง แน่นอนว่าฉันต้องเอาการ์ดสีดำใบนั้นคืนให้กับเขา”

เดิมทีคิดว่าโม่ถิงเซียวจะให้เธอยอมรับการ์ดสีดำใบนั้น มันคือการแสดงออกถึงการยอมรับในตัวตนของเธอ

ตอนนี้ดูเหมือนว่าเป็นเพียงเพราะเขาไม่ได้สนใจการ์ดสีดำใบนั้น

โม่ถิงเซียวจับใจความสำคัญของเธอ : คืนให้เขา

ในตอนที่เขาให้โทรศัพท์เธอ เขาพูดว่า”โม่ถิงเซียว”ซื้อมา เธอนั้นรับไปอย่างดีใจ

เมื่อเขาให้การ์ดสีดำแก่เธอ เธอไม่เพียงแต่ไม่ต้องการแต่เธอยังจะคืนกลับไปให้โม่ถิงเซียวอีกด้วย โม่ถิงเซียวขอให้เธอเก็บการ์ดสีดำไว้และเธอนั้นใช้รูดไปแล้วหนึ่งครั้ง

ก่อนหน้านั้น สิ่งของที่โม่ถิงเซียวมอบให้เธอ เธอยินยอมรับมาแต่โดยดี

แต่ตอนนี้เธอต้องการคืนการ์ดสีดำให้กับโม่ถิงเซียว

ในที่สุดเธอก็หมดความอดทนกับ “โม่ถิงเซียวที่ไม่เคยพบเจอหน้ากันมาก่อน”และคิดจะให้ความรู้สึกแก่ “โม่เจียเฉิน”?

เมื่อรู้ได้ดังนี้ก็ทำให้โม่ถิงเซียวนั้นไม่พอใจและสีหน้าของเขาก็ค่อยๆมืดมนลง

….

เซินเหลียงนั้นหางานได้มากมายในการถ่ายทำงาน แต่ก็ยากจะที่ใช้จ่าย

ในการไปช็อปปิ้งในแต่ละครั้งใช้เงินไปหลายแสนบาท บางครั้งใช้เงินไปเป็นล้านๆก็มี

แม้ว่ามุมมองในการใช้จ่ายของมู่นวลนวลและเซินเหลียงนั้นจะแตกต่างกัน แต่เธอก็รู้สึกว่าเด็กสาวสามารถใช้จ่ายอะไรก็ได้ที่ต้องการด้วยเงินที่พวกเธอหามา

ทั้งสองเดินเล่นช็อปปิ้งไปตลอดทั้งวัน จนกระทั่งตกเย็น มู่นวลนวลก็ได้ลากเซินเหลียงไปทานอาหารจากนั้นทั้งสองก็ต่างแยกย้ายกันไป

เมื่อกลับมายังคฤหาสน์ เมื่อมู่นวลนวลเดินเข้าไปภายในบ้านก็พบกับ “โม่เจียเฉิน”

“คุณกินข้าวหรือยัง?ถ้ายังฉันจะไปทำให้คุณ” ภายในใจนึกถึงการทำอาหารให้กับโม่เจียเฉิน เธอจึงรีบกลับมาอย่างจงใจ

ตอนนี้เพิ่งจะเป็นเวลา 6 โมงเย็น

“โม่เจียเฉิน”เงยหน้าขึ้น สีหน้าของเขานั้นคลุมเครือแต่ก็แสดงออกถึงความประหลาดใจจากการได้รับการเอาใจใส่อย่างไรอย่างนั้น

เขากระแอมปกปิดสิ่งเหล่านั้นและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ยังไม่กิน”

สีหน้าของบอดี้การ์ดด้านข้างนั้นกระตุกเล็กน้อย เขาจะไม่บอกนายหญิงอย่างแน่นอนว่าคุณชายเพิ่งกลับมาจากทานอาหาร

หลังจากที่มู่นวลนวลทำอาหารเสร็จ เธอก็ได้แยกไว้อีกจานและส่งให้กับบอดี้การ์ดเพื่อนำไปให้โม่ถิงเซียว

“โม่เจียเฉิน”ยังไม่ได้กิน โม่ถิงเซียวเองก็คงจะยังไม่ได้กินเช่นกัน

จากนั้นเธอก็เดินกลับไปที่ห้องของเธอ

โม่ถิงเซียวนั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหาร จ้องมองอาหารที่น่าอร่อยเหล่านั้นและถามบอดี้การ์ดที่กำลังรินน้ำให้เขา “คุณคิดว่านายหญิงมีอะไรที่แตกต่างจากเมื่อก่อน?”

บอดี้การ์ดครุ่นคิดอย่างจริงจังและตอบอย่างตรงไปตรงมา “ก่อนหน้านี้นายหญิงกลับมาเธอมักจะถามก่อนว่านายน้อยอยู่บ้านหรือไม่ แต่วันนี้นายหญิงไม่ได้ถาม”

นายน้อยที่บอดี้การ์ดหมายถึงก็คือ “โม่ถิงเซียวผู้ที่ไม่เคยปรากฎตัว”

หลังจากที่บอดี้การ์ดพูดจบ เขาก็คิดว่าตัวเขานั้นพูดไม่ชัดเจน เขาจึงอธิบายอีกครั้ง “ผมหมายถึงว่า นายน้อย ไม่ใช่คุณ ก็คือ นายน้อยคนนั้น นายหญิง….”

หลังจากพูดอธิบายกันอยู่นาน บอดี้การ์ดก็คิดว่าตัวเองนั้นยิ่งอธิบายไปก็ยิ่งซับซ้อนงงงวย

“ฉันเข้าใจแล้ว ออกไปเถอะ” โม่ถิงเซียวขัดบทสนทนาของเขาและยกมือขึ้นแสดงให้เขาเข้าใจว่าออกไปได้แล้ว

….

วันถัดมาคือวันจันทร์

มู่นวลนวลตื่นเช้า เธอแต่งหน้าอ่อนๆ

เมื่อเธอลงมา ซือเย่ก็ได้มารอเธอแล้ว

มู่นวลนวลมองไปรอบๆและไม่เห็น โม่เจียเฉิน เธอเดินไปตรงหน้าของซือเย่ “ช่วงนี้รบกวนคุณแล้ว แต่ฉันนั้นนั่งรถไปทำงานเองดีกว่า”

เธอพูดจบก็หมุนตัวและเดินจากไป

ซือเย่ “…….”

ไม่เคยรบกวนเลยสักนิดโอเคไหม? เขารู้สึกว่างานที่ง่ายที่สุดก็คือก็การไปรับไปส่งนายหญิงเข้างานและเลิกงานในทุกๆวัน

หลังจากมู่นวลนวลจากไป โม่ถิงเซียวที่ยืนอยู่บันไดขั้นบนสุดตรงชั้นสองนั้นได้มองเห็นทุกอย่างแล้ว เขาก็ได้ก้าวลงมาอย่างช้าๆ

“คุณชาย” ซือเย่พยักหน้าเล็กน้อยด้วยความเคารพ เขารู้ว่าโม่ถิงเซียวได้ยินเรื่องนี้แล้ว เขาจึงไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก

โม่ถิงเซียวเหลือบมองไปยังประตูจากนั้นก็ปรากฎรอยยิ้มที่ไม่เต็มใจออกมา “แล้วแต่เธอ”

เดิมทีเขาคิดว่ามู่นวลนวลจะค้นพบตัวตนของเขา แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือเธอจงใจตีตัวออกห่างจากโม่ถิงเซียว

เมื่อมู่นวลนวลมาถึงมู่กรุ๊ป

เธอลงจากรถและยืนอยู่หน้าประตูของมู่กรุ๊ป ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเย็นชาและดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความมั่นใจ

มู่นวลนวลที่เต็มไปด้วยพลังได้กลับมาแล้ว

มู่นวลนวลก้าวเท้าตรงไปยังประตูสำนักงาน พนักงานที่เดินไปมานั้นก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังมู่นวลนวล

พวกเขาพบว่าวันนี้มู่นวลนวลนั้นราวกับว่าไม่เหมือนเช่นเคย ถึงแม้ว่าใบหน้านั้นยังคงงดงามแต่กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ต่างออกไป

เพื่อนร่วมงานจากแผนกการตลาดที่คุ้นเคยกับมู่นวลนวลได้เดินผ่านมาและเรียกเธอ “นวลนวล อรุณสวัสดิ์”

“อรุณสวัสดิ์” มู่นวลนวลหันไป เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

ดวงตากลมโตราวกับตาแมวโค้งงอเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ริมฝีปากแดง ผิวมีความขาวเป็นธรรมชาติ โครงหน้าได้ที่รูปอย่างพอเหมาะ

ผู้คนรอบข้างนั้นจ้องมองอย่างหลงใหล จากนั้นไม่กี่วินาทีพวกเขาก็ได้สติและยิ้มตอบรับ

ผู้คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าไปในลิฟต์ มู่นวลนวลพูดคุยกับพวกเขา “วันหยุดสุดสัปดาห์พวกคุณไปทำอะไรกันมาบ้าง?”

“ฉันไปสนามเด็กเล่นกับลูก…”

“ไปเดทกับแฟนมาน่ะสิ”

“ฉันก็ว่ารอยแดงที่คอตรงนี้ ฉันคิดว่ายุงกัดเสียอีก!”

“เธอก็พูดไป!”

คนกลุ่มนั้นพูดคุยกันและยิ้มหัวเราะ มู่นวลนวลยิ้มและไม่ได้ตอบอะไรจากนั้นเธอจึงกดลิฟต์

แต่เพียง ประตูลิฟต์ที่กำลังจะปิดก็ถูกเปิดอีกครั้ง

คนที่เข้ามาก็คือ มู่หวันฉี

ทันทีที่เธอเข้ามา เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะก็หยุดลง และบรรยากาศภายในลิฟต์ก็เงียบลงในทันที

มู่นวลนวลเข้ามาในลิฟต์ก่อนใคร เธอจึงยืนอยู่มุมด้านหลังฝูงชน มู่หวันฉีเชิดคางขึ้นและชำเลืองมองคนในลิฟต์และในตอนนั้นเธอเองก็ไม่ได้สังเกตุเห็นมู่นวลนวล

มู่นวลนวลมองไปยังมู่หวันฉี เธอพบว่าเสื้อโค้ทที่มู่หวันฉีสวมใส่อยู่นั้นเป็นคอลเลคชั่นใหม่ของแบรนด์เนมชื่อดังที่มู่นวลนวลเห็นในห้างสรรพสินค้าเมื่อวานนี้และราคาเสื้อตัวนี้เกือบหนึ่งล้าน

มู่นวลนวลโค้งงอริมฝีปากและค่อยๆกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่สาว อรุณสวัสดิ์”

ตอนนี้ลิฟต์กำลังขึ้นอย่างช้าๆ ภายในลิฟต์นั้นเงียบมาก มู่นวลนวลไม่ได้กล่าวเสียงดังมากนักแต่ก็ได้ยินกันทั่วทั้งลิฟต์ ภายในลิฟต์จึงเกิดบรรยากาศแปลกๆเกิดขึ้น

มู่หวันฉีหันหน้าไปมองเธอด้วยความไม่เชื่อและเมื่อเธอมองเห็นมู่นวลนวล สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปในทันที

เหมือนกับว่าเธอเห็นสัตว์ประหลาดที่น่าตกใจอย่างไรอย่างนั้น ขาของเธอแทบจะล้มเซลงไปตรงนั้น เธอจับราวในลิฟต์และพิงร่างกายของเธอเอาไว้ จ้องมองมู่นวลนวลด้วยดวงตาเบิกกว้าง “เธอทำไมถึงอยู่ที่นี่? ไม่ใช่ว่าเธอ….”

เมื่อเธอได้สติว่าตัวเองนั้นกำลังอยู่ในลิฟต์ เธอก็รีบดึงสติตัวเองกลับมา แสร้งทำเป็นสงบนิ่งและกล่าวว่า “นวลนวลนี่เอง วันนี้เธอมาทำงานเช้าจัง”

เมื่อมู่นวลนวลเริ่มกล่าว ผู้คนที่อยู่รอบข้างเธอก็เริ่มก้าวถอยไปด้านหลัง

มู่นวลนวลจ้องมองไปยังมู่หวันฉีและกล่าวอย่างเรียบๆ “ก็เร็วกว่าพี่สาวนิดหน่อยเท่านั้น”

ผู้อํานวยการที่รักใคร่เมีย

ผู้อํานวยการที่รักใคร่เมีย

พี่สาวลูกครึ่งของหมู่นวลนวลไม่ต้องการแต่งงานกับคู่หมั้นที่น่าเกลียดและไร้มนุษยธรรม มารดาผู้ให้กำเนิดคุกเข่าขอร้องเธอ:“ พี่สาวของคุณสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่า คุณช่วยเธอได้” เขารู้สึกเศร้ามาก แทนพี่สาวแต่งงาน. ในคืนแต่งงาน ชายหนุ่มรูปงามขมวดคิ้วและมองมาที่เธอ: "มันน่าเกลียดเกินไป" เธอคิดว่าทั้งสองจะเคารพซึ่งกัน แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะครอบงำเธอโดยตรง: "ไม่ว่าจะน่าเกลียดแค่ไหนเธอก็เป็นผู้หญิงของผมด้วย" เธอจ้องเขา : "คุณ…คุณทำไม่ได้ … " ชายคนนั้นถอดชุดชั้นในของเธอปลอมตัวออก มองใบหน้าที่สวยงามเดิมของเธอ แล้วยิ้มอย่างร้ายกาจ: "ดูเหมือนว่าเราทุกคนจะมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกันและกัน"

Comment

Options

not work with dark mode
Reset