ยามคํ่า วันที่เก้า เดือนแปด ระหว่างทาง คณะของจวินเหยี่ยนจือประสบกับพายุฝน จึงหยุดพักที่หมู่บ้านชิงเฉวียนภายในหมู่บ้านมีชายชรานามว่า ลู่อวิ๋นเฟย ผู้แก่ชราจนคิ้วและเส้นผมขาวโพลน เขาอาศัยอยู่กับลู่จิงสองคนปู่หลาน โชคไม่ดีที่เมื่อหลายวันก่อนชายชราต้องลาโลกไปด้วยโรคร้าย จึงเหลือเพียงผู้เป็นหลานอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้เพียงลำพัง แม้ลู่จิงจะยังเยาว์วัย ทว่ากลับมีนิสัยคล้ายผู้เป็นปู่ของเขามาก เขาให้การต้อนรับคณะของจวินเหยี่ยนจือที่พักค้างคืนที่บ้านของเขาเป็นอย่างดี
— ความจาก อุบัติการณ์วันสิ้นโลก บทที่ 10
ในนิยายไม่ได้เอ่ยถึงเหตุการณ์ที่ลู่จิงถูกสับเปลี่ยนวิญญาณ เพียงแค่บอกใบ้ให้ผู้อ่านคาดเดาได้ว่า คนที่ให้การต้อนรับพวกจวินเหยี่ยนจือคือลู่จิงที่ถูกลู่อวิ๋นเฟยสับเปลี่ยนวิญญาณ
ดังนั้น ขณะที่ฝนตกหนัก เหวินจิงจึงยั่วยุโทสะปีศาจเฒ่า หวังแค่เพียงว่าพวกจวินเหยี่ยนจือจะมาพบลู่อวิ๋นเฟยขณะทำการสับเปลี่ยนวิญญาณ
“ท่านคือ…”
บุรุษในอาภรณ์สีดำเอ่ยช้า ๆ “ข้าจวินเหยี่ยนจือ”
เขาปัดน้ำฝนที่อยู่บนร่างก่อนช่วยพยุงเหวินจิงขึ้นจากพื้นโคลนใบหน้างดงามสุภาพและอ่อนโยนราวกับสายลมวสันต์ ไม่ปรากฏแม้แต่เศษเสี้ยวของความเย็นชา พาให้คนรู้สึกวางใจ ไม่ต่อต้าน
เหวินจิงบอกไม่ถูกว่าเวลานี้ตนรู้สึกเช่นไร รู้แค่เพียงปวดศีรษะมาก
ผู้อยู่ในชุดขาวก้าวเข้ามามองเหวินจิงที่ทั้งกายปกคลุมด้วยดินโคลนพูดอย่างอบอุ่น “ข้าหลิ่วเชียนมั่ว เดินทางผ่านมาทางนี้กับศิษย์น้องทั้งสองแต่กลับเจอพายุฝน จึงจะขอค้างแรมสักคืน”
เขาชี้ไปยังศพที่แข็งตัวอยู่บนพื้น “นี่คือใคร”
เหวินจิงยังคงมีอาการตื่นตะลึง จึงเพิกเฉยต่อคำถามของบุรุษในชุดขาวอบอุ่น อ่อนโยน งดงามราวดอกกล้วยไม้ สูงสง่า บริสุทธิ์ ประหนึ่งแจกันหยกชั้นดี… ถ้อยคำที่บรรยายไว้ในหนังสือให้ความรู้สึกเช่นนี้เอง…
หลิ่วเชียนมั่วไม่เคยถูกผู้อื่นมองข้ามเช่นนี้มาก่อน รู้สึกเสียหน้าไม่น้อย จึงกระแอมอย่างเคอะเขิน “น้องชาย ผู้นี้คือ…”
สติของเหวินจิงคืนกลับมา จึงค้อมศีรษะขออภัยอย่างเก้อเขิน “คือ…คือท่านปู่ของข้าเอง”
หลิ่วเชียนมั่วนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนถอนใจออกมาเมื่อเอ่ยว่า “เป็นปู่ของเจ้า เป็นญาติกันแท้ ๆ ยังจะสลับวิญญาณกับเจ้า…”
เด็กหนุ่มในชุดสีเทากล่าวเสริม “กระทั่งหลานของตัวเองยังไม่เว้นคนเช่นนี้ยากจะได้พบเห็นจริง ๆ”
เหวินจิงก้มศีรษะอย่างไม่สบายใจ หากก็ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา
จวินเหยี่ยนจือมองร่างของชายชราบนพื้นอย่างสงวนท่าที ก่อนพูดเสียงต่ำว่า “ฟ้ามืดแล้ว เอาเสื่อมาห่อร่างเขาไว้ก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยฝังก็แล้วกัน”
ผู้ช่วยชีวิตพักค้างแรมอยู่ในบ้าน เหวินจิงนำทุกสิ่งในบ้านที่รับประทานได้มาทำเป็นกับข้าวสี่จาน พร้อมน้ำซุปอีกหนึ่งชาม จัดวางไว้บนโต๊ะอาหาร
เมื่อครั้งที่ลู่อวิ๋นเฟยยังมีชีวิตอยู่ เขาไม่เคยนอนหลับได้สนิทเลยสักคืน ทั้งยังต้องคอยวิตกกังวลตลอดทั้งวัน วันนี้จึงได้แต่ขอบคุณฟ้าดินที่รอดพ้นจากอันตรายมาได้
ในบ้านที่อาศัยเพียงสองปู่หลานมีจานชามไม่มากนัก ซ้ำบางส่วนยังแตกหัก เหวินจิงไม่ได้คิดอะไร หยิบชามและตะเกียบที่อยู่ในสภาพดีที่สุดวางลงตรงหน้าจวินเหยี่ยนจือไปตามจิตใต้สำนึก จัดการตักข้าว รินน้ำชาเสร็จสรรพ
จวินเหยี่ยนจือมองด้วยแววตาเรียบเฉย ไม่เอ่ยอะไร
ทว่าหัวคิ้วของหลิ่วเชียนมั่วกลับย่นเข้าหากัน
เบื้องหน้าของเขากับศิษย์น้องมั่วยังคงว่างเปล่า ขณะที่ศิษย์น้องจวินกลับมีข้าวปลาอาหารพร้อม ความไม่เท่าเทียมนี้มันช่าง…
แต่ก็อย่างว่า…ศิษย์น้องจวินเป็นคนช่วยเด็กคนนี้ไว้ ความรู้สึกซาบซึ้งใจของเด็กคนนี้จึงเป็นที่เข้าใจได้
หลิ่วเชียนมั่วเริ่มแนะนำทีละคน “พวกเราเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงซวีจากยอดเขาฮุ่ยสือ สองคนนี้ คนหนึ่งคือศิษย์น้องสี่…จวินเหยี่ยนจือส่วนที่เด็กกว่าคือศิษย์น้องแปด…มั่วส่าวเหยียน”
เหวินจิงมองทั้งสอง ผงกศีรษะให้โดยไม่พูดไม่จา ศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนจิตใจดี ชอบทำอะไรตลกเรียกเสียงหัวเราะจากผู้อื่นเป็นประจำส่วนมั่วส่าวเหยียนก็เป็นเด็กหนุ่มที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว น่าเสียดายที่ทั้งสองมีจุดจบไม่ค่อยดีนัก
“เจ้ารู้หรือว่าพวกเราจะมาที่นี่ ไม่เช่นนั้นเหตุใดถึงตะโกนเรียกพี่ชายเซียนเสียลั่น” มั่วส่าวเหยียนถาม
“ในหมู่บ้านต่างเรียกขานพวกท่านเช่นนี้ ยามนั้นข้าตกใจมากจึงตะโกนไปอย่างไม่รู้ตัว” เหวินจิงพูดกลบเกลื่อนอย่างลนลาน
หลิ่วเชียนมั่วยิ้มให้เหวินจิงขณะถาม “ปีนี้เจ้ามีอายุเท่าไร”
เหวินจิงตักข้าวและรินน้ำชาให้เขา พลางฉีกยิ้มตอบอีกฝ่าย “สิบสามปี”
จวินเหยี่ยนจือกล่าวว่า “ต้องการเข้าสำนักกระบี่ชิงซวีหรือไม่”
เหวินจิงผงกศีรษะ “ข้ากำลังรอเวลาที่สำนักจะเปิดรับศิษย์ในอีกครึ่งเดือน เผื่อจะโชคดีได้เป็นศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงซวี”
หลิ่วเชียนมั่วเอ่ยยิ้ม ๆ “เช่นนั้นเจ้าจงไปที่ยอดเขาฮุ่ยสือ ตั้งแต่วันนี้ข้ากับเจ้าถือว่าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน…” เอ่ยถึงตรงนี้เขาก็กระแอมอย่างจืดเจื่อน “แต่น่าเสียดายที่ยอดเขาฮุ่ยสือไม่เปิดรับศิษย์มาหลายปีแล้ว”
เหวินจิงก้มหน้าก้มตาใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวใส่ปาก ไม่ต่อบทสนทนา
เรื่องนี้ย่อมมีที่มา…
สำนักกระบี่ชิงซวีประกอบด้วยทั้งสิ้นสิบหกยอดเขา สีฟั่งผู้เป็นเจ้าสำนักเป็นผู้ครอบครองยอดเขาที่สูงที่สุดพร้อมทั้งปกครองประมุขยอดเขาคนอื่น ๆ ซึ่งมีศักดิ์เท่าเทียมกัน ประมุขของยอดเขาฮุ่ยสือมีนามว่าห้วนต้วนเซวียน เป็นหนึ่งในห้าบุคคลของสำนักที่ฝึกตนจนบรรลุถึงด่านอายุวัฒนะ เป็นบุคคลปริศนาที่มีชื่อเสียงขจรไปทั่วหล้า
เมื่อต้วนเซวียนขึ้นเป็นประมุขยอดเขา ศิษย์ของยอดเขาฮุ่ยสือก็สามารถเชิดหน้าทอดตามองผู้อื่นได้อย่างเต็มภาคภูมิ พวกเขาต่างทุ่มเทพยายามเพื่อความเป็นหนึ่งจนกลายเป็นเสาหลักของสำนักชิงซวี หากก็เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ช่วงหลายทศวรรษมานี้ ยอดเขาฮุ่ยสือไม่มีผลงานปรากฏ จึงตกต่ำลงเรื่อย ๆ
สาเหตุของเรื่องนี้มาจากตัวของต้วนเซวียนเอง
พูดให้ชัดก็คือ ต้วนเซวียนไม่ใส่ใจสิ่งอื่นใดแม้แต่น้อย
เขาไม่สนใจ ทั้งยังไม่เคยถามไถ่เกี่ยวกับการฝึกปรือของศิษย์ หลังจากที่ศิษย์ผ่านการฝึกฝนขั้นพื้นฐานแล้ว เขาก็จะสอนวรยุทธ์เพียงเล็กน้อยก่อนจะให้ไปฝึกฝนต่อด้วยตัวเองโดยไม่มีแม้แต่คำชี้แนะ
แม้สำนักกระบี่ชิงซวีจะมีกฎบัญญัติไว้ว่าลูกศิษย์ห้ามห้ำหั่นกันเองแต่คนยิ่งมากยิ่งยากต่อการปกครอง มีชั่วดีปะปนกันไป อย่างเช่น ยอดเขาเทียนเหิงมีศิษย์ร่วมสองร้อยคน อาศัยว่ามีพวกมากคอยกลั่นแกล้งลูกศิษย์ของยอดเขาฮุ่ยสือเป็นประจำ โดยไม่มีสักคนก้าวออกมาปกป้องศิษย์ของยอดเขาฮุ่ยสือ เมื่อเวลาผ่านไป ความอ่อนแอของยอดเขาฮุ่ยสือก็เป็นที่รู้กันในวงกว้าง บรรดาศิษย์ที่เข้าใหม่ต่างไม่มีใครต้องการเป็นรองผู้อื่นในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมาจึงไม่มีใครเลือกมาเป็นศิษย์ของต้วนเซวียน
หลิ่วเชียนมั่วฝืนหัวเราะเมื่อสัมผัสได้ว่าหัวข้อสนทนาเริ่มขมขื่นลงทุกที“เกรงว่าข้ากับเจ้าจะไร้วาสนาได้เป็นศิษย์พี่น้องกันเสียแล้ว ท่านอาจารย์ไม่ชอบรับศิษย์ใหม่เพราะต้องการให้ความสำคัญกับพวกเรา”
เหวินจิงไม่กล้าเปิดเผยความลับของอีกฝ่าย จึงเอ่ยเพียงว่า “ข้าเข้าใจ”
ความเศร้าบางเบาปกคลุมอยู่ในบรรยากาศ เหวินจิงรีบกินข้าวและจัดเตรียมที่นอนให้แก่ผู้เป็นแขก
พายุฝนพัดกระหน่ำอยู่ค่อนคืนก่อนจะสงบ เหวินจิงที่ยกเตียงของตนให้แก่ผู้มีพระคุณห่อตัวเองอยู่ภายในผ้าห่มบนพื้นหินที่เย็นเยียบราวน้ำแข็ง ความเปียกชื้นและลมหนาวของคืนฝนตกแทงทะลุเข้าไปถึงกระดูก เขาหนาวจนฟันสั่นกระทบกันกึก ๆ ไม่สามารถข่มตาหลับได้ ท้ายที่สุดจึงลุกขึ้นมาทอดถอนใจ
นอนไม่หลับ ไปเข้าห้องน้ำดีกว่า
ดวงจันทร์บนฟากฟ้าพาให้รู้สึกโดดเดี่ยวอย่างยากอธิบาย
ภายในสวนระเกะระกะไปด้วยดอกไม้และกิ่งไม้ที่โดนลมพัดจนหักเป็นจำนวนมาก ศพที่ห่อไว้ด้วยเสื่อเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนถูกวางไว้ตรงมุมกำแพง เหวินจิงฉุกคิดขึ้นมาได้จึงก้าวเข้าไปข้างศพลู่อวิ๋นเฟยอย่างระมัดระวังเขายื่นมือเข้าไปในเสื่อ ค้นหาแถวหน้าอกของศพอย่างตั้งใจ
แผ่นป้ายสีดำสนิทตกมาอยู่ในมือของเขา เป็นแผ่นป้ายของตระกูลที่ลู่อวิ๋นเฟยนำออกมาให้ดู น้ำหนักของสิ่งของในมือบอกเขาว่าแผ่นป้ายนี้น่าจะสร้างจากหิน พลังปราณเบาบางแผ่ออกมาจากแผ่นป้าย กลางแผ่นหินสลักตัวอักษรสองตัวเอาไว้ แต่ไม่สามารถแยกออกว่าเป็นตัวอักษรอะไร
เหวินจิงมองแล้วมองอีก ก็ยังคงอ่านไม่ออก
แผ่นป้ายตระกูลลู่นี้น่าจะทำมาจากศิลาปราณ…
“ดึกดื่นเพียงนี้ เจ้ายังไม่นอนอีกหรือ” เสียงทุ้มต่ำฟังดูอบอุ่นของบุรุษพลันดังขึ้นไม่ไกลนัก
เหวินจิงตกใจราววิญญาณจะหลุดออกจากร่าง รีบข่มอารมณ์ของตนขณะหันไปยังต้นเสียง มองเห็นเพียงชายในชุดดำยืนอยู่อย่างเงียบเชียบห่างออกไปไม่เกินสิบก้าว
“ผู้…ผู้ฝึกปรือจวินก็นอนไม่หลับหรือ”
จวินเหยี่ยนจือเบนสายตาไปยังดวงจันทร์ “ฝนหยุดแล้ว ข้านอนไม่หลับจึงออกมาเดินข้างนอก”
“ข้าก็เช่นกัน…” เหวินจิงยิ้มกว้างอย่างอดไม่อยู่ รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยขณะเก็บแผ่นป้ายเข้าไป
จวินเหยี่ยนจือทอดสายตาไปยังศพ “ปู่ของเจ้าดูแลเจ้าดีหรือไม่”
“ท่านปู่ใจดีอย่างยิ่ง”
“…ไม่ระแคะระคายสักนิดหรือว่าเขาต้องการจะสลับวิญญาณกับเจ้า” ในใจของเหวินจิงขมปร่า แต่เขากลับหัวเราะ “ข้าโง่เขลา มองเจตนาของเขาไม่ออกแม้แต่น้อย”
จวินเหยี่ยนจือก้มศีรษะมองเบื้องล่าง ไม่ต่อความ
ดวงจันทร์สุกสว่างสาดแสงลงมาต้องเรือนร่างทางด้านข้างของจวินเหยี่ยนจือ ส่งให้เขาดูคล้ายรูปสลักที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์ของตน
ความคิดเหวินจิงปั่นป่วน
คนผู้นี้คือผู้ที่หลอมรวมเหล่าผู้ฝึกเซียนในแคว้นจู๋เฟิงให้เป็นหนึ่งเดียวในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า!
เหวินจิงลอบพิจารณาใบหน้าเนียนใสราวหยกของอีกฝ่าย แม้จะเพียงแวบเดียว หากก็ยากที่จะมีอะไรมาบดบังเสน่ห์ที่สามารถช่วงชิงหัวใจและวิญญาณสตรีของจวินเหยี่ยนจือได้
จู่ ๆ ก็มีบางสิ่งปรากฏขึ้นก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว
เหวินจิงนิ่งงันไป เมื่อกี้เขาเห็นอะไร…
ขณะที่สติของเขายังไม่กลับคืนมา ในหัวก็ได้ยินเสียงเครื่องจักรดังขึ้นราวกับเสียงแหลมบาดหูของสัญญาณเตือนภัยที่ดังขึ้นวนไปมา
“โปรดระวัง! ค่าความดีของจวินเหยี่ยนจือ – 1000! โปรดระวัง!ค่าความดี – 1000!”
จวินเหยี่ยนจือพูดอะไรบางอย่าง แต่เหวินจิงได้ยินไม่ชัดนัก
เขาไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว
ท่ามกลางราตรีเงียบสงบ มีเพียงจันทร์กระจ่าง เสียงเตือนภัยที่ดังขึ้นในหัวไม่ขาดสายส่งผลให้เหวินจิงรู้สึกราวกับตนเองกำลังจะเสียสติ นัยน์ตาว่างเปล่าของเหวินจิงจับจ้องอยู่ที่จวินเหยี่ยนจือ เขาปรารถนาแค่เพียงใครสักคนช่วยทำลายเจ้าเครื่องที่คอยส่งเสียงนี้ที
เสียงเตือนภัยพลันหยุดลง ทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติราวกับเมื่อสักครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหลือเพียงเสียงสะท้อนที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าแก่เขาในหัว
เหวินจิงฝืนยิ้มออกมา เอ่ยเสียงเบา “ผู้ฝึกปรือจวิน เมื่อครู่ท่านว่าอย่างไรหรือ”
หัวคิ้วของจวินเหยี่ยนจือขมวดเข้าหากัน เสเงยหน้ามองดวงจันทร์ราวกับต้องการปกปิดบางอย่าง “ไม่มีอะไร นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้าสมควรไปพักผ่อน”
“…ขอรับ”
เหวินจิงยังคงงุนงง เดินอย่างไม่ช้าไม่เร็วกลับไปนั่งบนที่นอนชั่วคราวของตน สูดลมหายใจเข้าลึก ภายในหัวปรากฏข้อความขึ้น
[ระบบป้องกันตัวเริ่มทำงาน สามารถตรวจสอบค่าความดีของผู้อื่นได้ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป]
ยามเช้าตรู่สรรพสิ่งพร่าเลือนเพราะสายฝนโปรยปราย
เหวินจิงกล่าวอำลาคณะของจวินเหยี่ยนจือที่หน้าหมู่บ้าน
พวกเขาฝังศพของลู่อวิ๋นเฟยไว้ที่สุสานท้ายหมู่บ้าน เหวินจิงคำนับสุสานของลู่อวิ๋นเฟย ตอบแทนที่อีกฝ่ายเลี้ยงดูเขามาเป็นเวลาหลายปี
เขาตรวจสอบค่าความดีของทั้งสามคน
ตัวเลขที่ปรากฏไม่คงที่นัก ค่าความดีของหลิ่วเชียนมั่วอยู่ระหว่าง300 ถึง 400 ส่วนของมั่วส่าวเหยียนมีค่าประมาณ 300 มีเพียงจวินเหยี่ยนจือเท่านั้นที่ค่าความดียังคงเป็น – 1000 ไม่เปลี่ยนแปลง จึงถูกจัดให้อยู่ในประเภท “นักโทษอุกฉกรรจ์ควรแก่การสำเร็จโทษ”
เมื่อเหวินจิงเหลือบมองใบหน้าอบอุ่นของบุรุษในอาภรณ์สีดำก็ให้ขุ่นเคืองขึ้นมา
ไอ้ระบบนี้มันพังหรือเปล่า อ่อนโยน ไร้พิษภัย ใครเห็นใครก็ชอบขนาดนี้ กลับมาบอกว่า “ควรแก่การสำเร็จโทษอย่างนั้นหรือ”
“แล้วพบกันใหม่…บางที…อาจจะได้พบกันอีกในครึ่งเดือนก็เป็นได้” หลิ่วเชียนมั่วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
เหวินจิงรีบปิดระบบ พูดว่า “บุญคุณใหญ่หลวง มิอาจกล่าวเพียงคำขอบคุณ ท่านเซียนโปรดรักษาตัว”
หลิ่วเชียนมั่วกำลังจะบอกว่าหาใช่เรื่องใหญ่ ทว่ากลับได้ยินมั่วส่าวเหยียนเอ่ยอย่างไร้ยางอายว่า “เรื่องง่ายราวกระดิกนิ้วแค่นี้ เจ้าไม่ต้องคิดมาก พวกเราไปละ”
หลิ่วเชียนมั่วคิดในใจว่า เหตุใดเจ้าไม่เรียกตัวเองว่าอวี้หวงต้าตี้[1]เสียเลยล่ะ ก่อนจะทะยานขึ้นไปในอากาศ “ไปกันเถอะ”
ไกลออกไป กลุ่มไอน้ำจากสายลมและฝนเป็นดังม่านสีขาวที่คลี่ปกคลุมเทือกเขาเขียวขจีเอาไว้ เงาของผู้ที่จากไปทั้งสามห่างไกลออกไปไม่นานก็หลอมรวมเข้ากับม่านหมอก เลือนหายไปจากสายตา
เหวินจิงมองส่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับบ้านของตน
ลู่อวิ๋นเฟยเสียชีวิตลง ภายในบ้านเล็ก ๆ นี้จึงเหลือเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น แม้อากาศจะเหน็บหนาว หากในที่สุดก็คลายใจ ไม่ต้องคอยหวาดระแวงตลอดเวลา ร่างกายและจิตใจรู้สึกเป็นอิสระอย่างยิ่ง เหวินจิงเก็บสัมภาระ รวบรวมสมาธิฝึกเดินพลังปราณทุกวัน
หลังจากชีวิตอันเงียบสงบปราศจากสิ่งรบกวนดำเนินไปได้ครึ่งเดือนวันที่ประตูของสำนักกระบี่ชิงซวีเปิดออกเพื่อต้อนรับศิษย์ก็มาถึง
[1] อวี้หวงต้าตี้ หรือที่คนไทยรู้จักในนาม เง็กเซียนฮ่องเต้