กู้หานรู้ว่าหลิ่วสือซุ่ยไปที่ใด
เมื่อครั้งที่เขาขี่กระบี่ที่ยอดเขากระบี่ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก เขาก็ขึ้นไปยังด้านบนชั้นเมฆเช่นกัน
ขี่กระบี่บินคือจินตนาการอันสุดแสนมหัศจรรย์ของผู้บำเพ็ญเพียร หลังจากที่ขี่ได้สำเร็จ นั่นก็เป็นความรู้สึกที่สุดแสนมหัศจรรย์ มีผู้ใดไม่คิดอยากขึ้นไปดูว่าท้องฟ้านี้มันสูงเพียงใด?
เบื้องล่างมีเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีดังลอยขึ้นมา กู้หานมองไปยังยอดเขา ในใจครุ่นคิดสำนักชิงซานมีได้มีเจ้าเพียงคนเดียวที่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด
เมื่อมองดูสายตาเขา คนอ้วนรู้ว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่ จึงกล่าวเตือนว่า “ศิษย์น้องมิยินดีเข้ายอดเขาเหลี่ยงว่าง คิดว่านางคงมีแผนการของตนอยู่เป็นแน่ ศิษย์พี่อย่าได้โกรธเลย”
กู้หานมิได้รับคำ หากแต่กล่าวว่า “สือซุ่ยกำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการบำเพ็ญเพียร อย่าให้เขาเจอกับเจ้าคนไร้ประโยชน์นั่น จะเกิดผลกระทบเอาได้”
คนอ้วนงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะรู้ว่าเขาหมายถึงจิ๋งจิ่ว
……
……
จิ๋งจิ่วกลับมายังถ้ำของตน
รูปแบบของถ้ำที่นี่ไม่เหมือนกับโพรงหินที่อยู่ตรงศาลาหนานซงเหล่านั้น ถ้ำในเวลานี้คือถ้ำจริงๆ
ถ้ำตั้งอยู่บนหน้าผาตรงสองข้างของลำธารสี่เจี้ยน ทั้งเงียบสงบ ไม่มีใครรบกวน ทิวทัศน์เองก็งดงาม
ทุกรุ่งเช้าจะมีผลไม้หายากถาดหนึ่งและน้ำสะอาดเหยือกหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้าถ้ำ ผลไม้หายากนี้ย่อมต้องวิเศษกว่าเมื่อครั้งที่เป็นศิษย์นอกสำนักอย่างแน่นอน ผู้ที่รับผิดชอบในการจัดหาก็มิใช่ผู้ดูแลอีก หากแต่เป็นผู้ดูแลกระบี่
ในฐานะที่เป็นสำนักกระบี่อันดับหนึ่ง ฐานรากและการสั่งสมของสำนักชิงซานนั้นยากที่จะจินตนาการได้จริงๆ
วิธีการแบบนี้จิ๋งจิ่วเห็นมาแล้วมากมาย เขาย่อมไม่เกิดความรู้สึกอันใด หลังเลือกผลไม้ที่ดูดีมากินเรียบร้อย เขาก็โยนผลไม้ที่เหลือให้เหล่าวานรที่อยู่ในป่าด้านหลังถ้ำ จากนั้นจึงเอนกายนอนไปบนเก้าอี้ไม้ไผ่
เขาหยิบคัมภีร์กระบี่จากในหน้าอกออกมากวาดตาดูเล็กน้อย จากนั้นมิได้อ่านมันต่ออีก
สถานการณ์ในเวลานี้มิได้ต่างจากตอนที่อยู่ศาลาหนานซงนัก ทะเลวิญญาณของเขาลึกล้ำกว้างใหญ่เกินไป หากคิดจะแปรเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสิ่งที่ใช้หล่อเลี้ยงเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าจนกลายเป็นผลแห่งกระบี่ได้ สิ่งที่เขาต้องการ นอกจากเวลาแล้วก็คือเวลา
โชคดีที่เวลาที่ต้องใช้ในครั้งนี้สั้นกว่าครั้งก่อนมาก ยิ่งไปกว่านั้นหากเขาคิดอยากจะขึ้นเขาไปเอากระบี่ ก็ไม่จำเป็นต้องทำให้กลายเป็นโอสถกระบี่ด้วย
เขาหยิบทรายขาวขึ้นมาจำนวนหนึ่ง คิดอยากจะวางลงไปในจานกระเบื้อง แต่กลับพบว่าวันนี้จิตมิค่อยสงบ
สำหรับเขาแล้วนี่เป็นเรื่องที่แทบจะไม่เคยเกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึงเก็บจานกระเบื้องและทรายกลับไป จากนั้นหลับตาแล้วเริ่มทำสมาธิ
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร เขาลืมตาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ดวงอาทิตย์ลาลับ ดวงดาวส่องแสง
สือซุ่ยยืนอยู่หน้าเก้าอี้ไม้ไผ่
คล้ายยังอยู่ข้างบ่อน้ำเมื่อสามปีก่อน
“คุณชาย”
หลิ่วสือซุ่ยคำนับเขาอย่างดีใจ ครั้นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวัน จึ่งอธิบายว่า “ท่านอย่าได้โกรธเคืองศิษย์พี่กู้เลย เขาเป็นคนดี เพียงแต่เข้มงวดไปหน่อยเท่านั้น”
จิ๋งจิ่วฟังคำพูดนี้ พลันพบเห็นปัญหาหนึ่ง จึงเลิกคิ้วถามว่า “ศิษย์พี่?”
หลิ่วสือซุ่ยยิ้มอย่างขวยเขิน กล่าวว่า “อันที่จริงข้าควรเรียกเขาอาจารย์กู้ เขาคิดว่าความสามารถของข้าพอใช้ได้ บอกว่าจะเลือกข้าในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน จึงอนุญาตให้ข้าเรียกเขาศิษย์พี่เป็นการส่วนตัวได้
เขามิได้มีความโอ้อวดได้ใจ เพียงแต่ดีใจอย่างมากเท่านั้น
จิ๋งจิ่วยิ้ม มิได้กล่าวกระไร
หลิ่วสือซุ่ยคิดว่าเขากำลังหัวเราะตน อดใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อยมิได้ เขามิรู้ควรทำอะไร จึงลุกยืนขึ้นไปปูเตียงและจัดแจงของบนฟูกแทนจิ๋งจิ่ว
เมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดที่สำนักชิงซานให้ความสำคัญที่สุด ลูกศิษย์อัจฉริยะที่ยอดเขาเหลี่ยงว่างปรารถนาจะได้ตัวมา กำลังปูเตียงให้กับศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนัก แถมยังทำอย่างเต็มใจถึงเพียงนี้
หากมีคนเห็นภาพนี้เข้า คงตะลึงลานจนพูดอะไรไม่ออก
สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ จิ๋งจิ่วเองก็มิได้มีท่าทีคัดค้าน
ปูเตียงเสร็จ เก็บกวาดด้านหน้าถ้ำเสร็จเรียบร้อย เขาจึงเริ่มพรรณนาเรื่องราวที่ตนเองได้ทำและพบเจอกับใครในหนึ่งปีมานี้ให้จิ๋งจิ่วฟัง
จิ๋งจิ่วฟังอย่างเงียบๆ บางครั้งยิ้ม บางครั้งตอบกลับไปประโยคหนึ่ง
เขามิได้หงุดหงิด มิได้หลับตา มิได้นอนหลับ ไม่เหมือนเมื่อครั้งที่อยู่ในหมู่บ้านตอนแรก
หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกกลุ้มใจ เพราะเขาพูดแต่เพียงฝ่ายเดียว
ความจริงเขาอยากรู้ว่าในหนึ่งปีมานี้ จิ๋งจิ่วใช้ชีวิตในศาลาหนานซงอย่างไร เหตุใดจู่ๆ ถึงขยันขันแข็งขึ้นมา? เหตุใดจึงสามารถบรรลุขั้นรักษาจิตจนบริบูรณ์และผ่านการทดสอบเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักได้?
จิ๋งจิ่งคล้ายไม่มีความต้องการจะกล่าวเรื่องเหล่านี้
เป็นเพราะไม่เจอกันหนึ่งปี จึงเกิดความรู้สึกแปลกหน้าอย่างนั้นหรือ?
หลิ่วสือซุ่ยคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง จึ่งลุกยืนอย่างตื่นเต้น พลางกล่าวกับจิ๋งจิ่วว่า “คุณชาย ข้าแนะนำท่านให้รู้จักกับศิษย์พี่กู้ดีหรือไม่! ด้วยพรสวรรค์แลสติปัญญาของท่าน จะต้องได้รับการชื่นชมจากเขาเป็นแน่ แม้นเขามิอาจรับปากว่าจะเลือกท่านขึ้นเขาในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน แต่เขาจะต้องยินดีสอนเพลงกระบี่ให้ท่านแน่ เมื่อถึงตอนนั้นพวกเราก็จะสามารถฝึกฝนด้วยกันได้”
จิ๋งจิ่วไม่แม้แต่จะครุ่นคิด เขาส่ายหัวพลางกล่าว “ไม่ต้อง”
หลิ่วสือซุ่ยงุนงง กล่าวว่า “คุณชายท่านอาจจะไม่รู้ ยอดเขาเหลี่ยงว่างเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในสำนักชิงซานของเรา บนยอดเขาล้วนแต่เป็นศิษย์หนุ่มสาวรุ่นที่สาม ไม่มีเจ้าแห่งยอดเขา แต่อาจารย์จากทุกยอดเขาจะเลือกวันเวลามาที่ยอดเขาเหลี่ยงว่างเพื่อสอนวิชา นี่หมายความว่าขอเพียงเป็นศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่าง ก็จะได้เรียนรู้เคล็ดวิชาของทั้งเก้ายอดเขา…”
สุ้มเสียงของเขาเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเงียบหายไป
เนื่องจากจิ๋งจิ่วยังคงเฉยเมยมิสนใจ
หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกผิดหวัง
จิ๋งจิ่วมองดูสีหน้าบนใบหน้าเล็กๆ ของเขา กล่าวอธิบายสองประโยค
“ข้ารู้สึกมิสนใจ เพราะข้าไม่ชอบยอดเขาเหลี่ยงว่าง อืม แล้วก็ศิษย์พี่กู้ของเจ้าผู้นั้นด้วย”
หลิ่วสือซุ่ยตกตะลึง เขามิเคยคิดมาก่อนว่าจะมีคนไม่ชื่นชอบยอดเขาเหลี่ยงว่าง!
“ยอดเขาเหลี่ยงว่างคือกระบี่แห่งชิงซาน ลูกศิษย์บนยอดเขามีหน้าที่ลาดตระเวนป้องกันมิให้ปู้เหล่าหลินและมารชั่วเผ่าหมิงแอบเข้ามา ทั้งยังเป็นตัวแทนชิงซานเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยที่จัดขึ้นทุกสิบปี เรียกได้ว่าการฝึกปรือของพวกเขาอยู่ที่การต่อสู้ที่ไม่หยุดหย่อน ทุกปีจะมีผู้ที่ต้องนองเลือดเสียสละจำนวนมาก แต่ก็ไม่มีศิษย์คนไหนถอยหนีมาก่อน เป็นไปได้อย่างไรที่ลูกศิษย์ชิงซานจะไม่ชื่นชอบที่นี่?”
เขามองดูจิ๋งจิ่ว พลางกล่าวชักจูงอย่างจริงจังว่า “ยังมีศิษย์พี่กู้ เขาเป็นคนดีจริงๆ นะขอรับ”
“จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่ชอบ คำพูดนี้ผิดแล้ว”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “อย่างเช่นศิษย์พี่กู้ของเจ้าผู้นั้น เขาเป็นคนดีหรือเปล่าข้าหาได้สนใจไม่ ต่อให้เขาเป็นปราชญ์ ข้าก็ไม่ชื่นชอบ”
หลิ่วสือซุ่ยตะลึงลาน พลางรู้สึกว่าแม้นประโยคนี้จะฟังดูไม่มีเหตุผล แต่เขากลับหาไม่เจอว่าผิดตรงไหน
“อย่างไรซะข้าก็เถียงสู้ท่านไม่ได้”
หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกน้อยใจ เพราะเขาคิดไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคนดีๆ อย่างศิษย์พี่กู้ เหตุใดจิ๋งจิ่วจึงมิชื่นชอบ
เพราะเมื่อตอนกลางวัน ศิษย์พี่กู้ใช้กฎของยอดเขาลงโทษตนอย่างนั้นหรือ?
อย่างนั้นยอดเขาเหลี่ยงว่างล่ะ?
หลิ่วสือซุ่ยยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว เขานิ่งเงียบมิกล่าวอันใด
……
……
หลังออกมาจากถ้ำริมผา แล้วเดินไปตามทางบนภูเขาประมาณครึ่งลี้ หลิ่วสือซุ่ยถึงจะเหยียบขึ้นไปบนกระบี่แล้วบินขึ้นไป
เขาไม่อยากให้จิ๋งจิ่วมองเห็นภาพนี้ เพราะกังวลว่าจะทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย
กระบี่บินบินเลียดหน้าผาขึ้นมา ไม่นานก็ทะลวงก้อนเมฆจนมาถึงท้องฟ้ายามค่ำคืนที่อยู่สูงลิบ
ลมหนาวถาโถมเข้ามา หลิ่วสือซุ่ยมิได้ใช้ปราณกระบี่ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ ทว่าเขาไม่เพียงแต่จะไม่รู้สึกหนาว หากแต่รู้สึกร้อนเสียด้วยซ้ำ
สำหรับเขาแล้ว การขี่กระบี่บินนั้นเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อมองดูชั้นเมฆที่อยู่ใต้ดวงดารา เมื่อมองดูธารสี่เจี้ยนที่อยู่ด้านล่าง เมื่อมองดูหมู่ยอดเขาที่อยู่ไม่ไกลนัก เขาก็อดส่งเสียงตะโกนออกมาไม่ได้ จากนั้นเมื่อได้สติรู้ตัวก็รีบเอามืออุดปากแล้วมองไปรอบๆ
……
……
จิ๋งจิ่วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืน
เสียงตะโกนนั้นดังมาจากท้องฟ้าที่อยู่สูงลิ่ว เหล่าลูกศิษย์ในสำนักที่อยู่ริมธารน่าจะไม่มีใครได้ยิน แต่สำหรับเขาซึ่งมีความสามารถในการได้ยินเหนือกว่าคนอื่นกลับได้ยินมันชัดเจนราวกับดังอยู่ข้างหู
เขาฟังออกว่านั้นเป็นเสียงของสือซุ่ย ทั้งยังฟังออกถึงความตื่นเต้นที่อยู่ในสุ้มเสียง
สภาวะของหลิ่วสือซุ่ยรุดหน้าอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ ใช้เวลาเพียงหนึ่งปีก็สามารถขี่กระบี่บินได้แล้ว เขามิได้รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย
ความยอดเยี่ยมของเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดจะยิ่งแสดงออกมาให้เห็นหลังจากที่ได้เข้ามาเป็นศิษย์ในสำนัก
ยอดเขาเหลี่ยงว่างได้เริ่มวางแผนล่วงหน้า คิดอยากได้ตัวหลิ่วสือซุ่ยในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน ถือว่าเจ้าพวกนั้นมีสายตาที่ไม่เลว
เพียงแต่กลิ่นอายของยอดเขาเหลี่ยงว่างในเวลานี้ มันทำให้เขารู้สึกไม่ชื่นชอบเลยจริงๆ
เขาลูบสร้อยที่อยู่บนข้อมือ ในใจครุ่นคิด เอาล่ะ ตั้งแต่แรกเขาก็มิได้ชื่นชอบยอดเขาเหลี่ยงว่างอยู่แล้ว นี่คือข้อพิสูจน์
“ศิษย์พี่? คนดี? อะไรกันเนี่ย…”
……………………………………………………………………….