มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 24 เก้าคืน

คืนวันที่สอง หลิ่วสือซุ่ยมายังถ้ำของจิ๋งจิ่วอีกครา เขามิได้รั้งอยู่นานนัก เพียงกล่าวไม่กี่ประโยคก็จากไป

ในฐานะที่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดที่สำนักชิงซานฝากความหวังไว้ ตอนนี้ความกดดันที่หลิ่วสือซุ่ยต้องแบกรับนั้นหนักอึ้งยิ่งนัก ในบรรดาศิษย์ในสำนักเองก็มีลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมอยู่มากมาย แม้นมิอาจเทียบเขา แต่ก็ฝึกปรือหนักกว่าเขา ยิ่งตอนนี้เขาติดตามกู้หานเพื่อเรียนกระบี่ ต้องพบเจอกับความเข้มงวดที่ผิดมนุษย์มนาของยอดเขาเหลี่ยงว่างเป็นประจำ เขาย่อมมิอาจปล่อยให้ตัวเองผ่อนคลายได้

ในคืนที่สาม หลิ่วสือซุ่ยมาเยือน เขาปูเตียงพับผ้าห่ม เทน้ำชายกน้ำให้จิ๋งจิ่ว

จิ๋งจิ่วสังเกตเห็นขาซ้ายของเขาก้าวเดินมิค่อยสะดวก จากนั้นพบเห็นด้านหลังลำคอของเขามีบาดแผลอยู่แห่งหนึ่ง

“ถูกตีอีกแล้วหรือ?”

หลิ่วสือซุ่ยรีบอธิบาย “มิได้เกี่ยวข้องกับศิษย์พี่กู้ เป็นแผลที่ได้รับมาตอนประลองกระบี่”

จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไรอีก

บางทีอาจเป็นเพราะตนเองโกหก หรือบางทีอาจเป็นเพราะพยายามปกป้องกู้หานต่อหน้าจิ๋งจิ่ว หลิ่วสือซุ่ยพลันรู้สึกบรรยากาศกระอักกระอ่วนขึ้นมา

“อย่างนั้นคุณชาย…ข้าไปก่อนล่ะ?”

จิ๋งจิ่วมิได้สนใจเขา

ลมด้านนอกถ้ำพัดขึ้นมา ลำแสงกระบี่ส่องสว่างขึ้นตรงมุมหนึ่งของความมืด ก่อนจะหายลับไปในพริบตา

จิ๋งจิ่วเงยหน้าขึ้น สายตามองไปทางนั้น นิ่งเงียบมิกล่าวกระไร

เขารู้จักวิถีปฏิบัติของยอดเขาเหลี่ยงว่างดี ศิษย์ทุกคนที่ถูกพวกเขาให้ความสำคัญ จะต้องถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ความกดดันที่หลิ่วสือซุ่ยต้องแบกรับนั้นหนักหนาสาหัสอย่างมาก

ในคืนวันที่สี่ ประตูที่พักเขาถูกเปิดออกอีกครั้ง แต่คนที่มาคืนนี้มิใช่หลิ่วสือซุ่ย หากแต่เป็นคนอ้วนที่เคยเจอหน้ากันเมื่อครั้งที่อยู่บนยอดเขากระบี่

“ข้าชื่อหม่าหัว ชื่อมิได้มีอะไรพิเศษ อยู่ในอันดับที่สามสิบเจ็ดของยอดเขาเหลี่ยงว่าง ก็มิได้มีอะไรพิเศษเช่นนี้ แต่ข้าย่อมต้องสำคัญกว่าเจ้าอย่างมาก แม้นเจ้าจะเป็นที่รู้จักมากกว่าข้าก็ตาม จุดประสงค์ที่ข้ามาในคืนนี้เจ้าน่าจะรู้แจ้งดี ถูกต้อง ข้ามาถ่ายทอดคำพูดแทนศิษย์พี่กู้ซาน หลังจากนี้เจ้าอย่าได้มาเจอหน้าสือซุ่ยอีก เจ้ามิต้องรีบร้อนที่จะพูด ข้ารู้ว่าเจ้าดูแคลนวิธีการแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นขอเพียงเจ้าไม่เข้ามาเป็นศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่าง พวกเราก็ไม่มีเหตุผลต้องไปยุ่งวุ่นวายกับเจ้า แต่เจ้าอย่าลืมเสียล่ะ ตอนนี้สือซุ่ยกำลังเรียนกระบี่กับพวกข้าอยู่”

หม่าหัวมองจิ๋งจิ่ว ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ตอนนี้ทุกวันสือซุ่ยต้องรับโทษตามกฎของยอดเขา บาดเจ็บไม่หนัก แต่ก็เจ็บปวด เจ้าว่านี่เป็นเพราะเหตุใด?”

จิ๋งจิ่วมองดูเขา

หม่าหัวกล่าวต่อว่า “ตอนอยู่ศาลาหนานซง สือซุ่ยสามารถไม่บำเพ็ญแล้วคอยติดตามเจ้าได้ แต่เจ้าก็รู้ ตอนนี้เขาทำแบบนั้นมิได้”

จิ๋งจิ่วรู้ว่าเขาพูดความจริง ในฐานะที่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด เมื่อมาถึงยอดเขาทั้งเก้าและได้เจอกับเคล็ดกระบี่ที่ทุกคนต่างปรารถนานั้น ใครบ้างจะปล่อยให้มันหลุดมือไป?

“แน่นอน พวกเราจะไม่บังคับให้เขาเลือก”

หม่าหัวยิ้มพลางกล่าว “ความจริงแล้ว หากเขาไม่สามารถมาหาเจ้าได้ เจ้าก็ไปหาเขาได้มิใช่หรือ”

คำพูดนี้แฝงความหมายที่ลึกซึ้งเอาไว้ แต่สำหรับจิ๋งจิ่วแล้วมันมิต่างอะไรกับก้อนหินที่อยู่ในธารน้ำตื้นๆ ที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

จิ๋งจิ่วรู้สึกแปลกใจ “เจ้าคิดจะให้ข้าเข้าไปยังยอดเขาเหลี่ยงว่าง?”

หม่าหัวมองเขายิ้มๆ กล่าวว่า “ความคิดของข้ากับกู้ซานมิเหมือนกัน ข้ามิได้สนใจว่าเจ้าจะกินยาวิเศษหรือทำอย่างไรจึงเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักได้ ข้าเพียงรู้ว่าเจ้าเกียจคร้านยิ่งนัก แต่เจ้าก็ยังคงเดินมาถึงขั้นนี้ได้ นั่นแสดงให้เห็นว่าเจ้าเองก็เป็นอัจฉริยะที่แท้จริงคนหนึ่งเช่นนั้น และสิ่งที่ยอดเขาเหลี่ยงว่างชื่นชอบมากที่สุดก็คืออัจฉริยะ”

ปัญหาอยู่ที่ว่า จิ๋งจิ่วมิชื่นชอบเหลี่ยงว่าง

เขาชี้ไปยังด้านนอกถ้ำ เป็นสัญญาณบอกว่าส่งแขก

รอยยิ้มของหม่าหัวมิจางหายไป หากแต่ยิ่งกว้างขึ้น กล่าวว่า “น่าสนใจ น่าสนใจ”

……

……

คืนวันที่ห้า หลิ่วสือซุ่ยมาหา

จิ๋งจิ่วมองไม่เห็นรอยบาดแผลบนร่างกายเขา แต่มองเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าเขา ทั้งยังมองเห็นความลังเลที่อยู่ในดวงตาของเขา

ภายในถ้ำเงียบสงบ หลิ่วสือซุ่ยเก็บกวาดเรียบร้อย จากนั้นมายืนตรงหน้าเขา ก้มหน้าพลางกล่าว “ฝึกกระบี่ลำบากนัก วิชามีมากมาย ข้ามิสามารถ….”

จิ๋งจิ่วยกมือขึ้นมา สือซุ่ยเข้าใจความหมายความเขา มิกล่าวอันใดอีก

“เดิมการบำเพ็ญเพียรมันก็ต้องใช้ความมุ่งมั่นอยู่แล้ว”

หลิ่วสือซุ่ยเงยหน้าขึ้น มองไปยังใบหน้าด้านข้างของจิ๋งจิ่ว

จิ๋งจิ่วกำลังอ่านคัมภีร์กระบี่ ดูมีสมาธิอย่างยิ่ง

หลิ่วสือซุ่ยรู้ว่าเขาเพียงแค่มิอยากมองหน้าตน

คุณชายเกียจคร้านยิ่งนัก แต่ไหนแต่ไรมามิเคยอ่านหนังสือมาก่อน

……

……

ในคืนวันที่หก หลิ่วสือซุ่ยมิได้มา

ในคืนวันที่เจ็ด เขามา

ในคืนวันที่แปด เขามิได้มา

ในคืนวันที่เก้า

จิ๋งจิ่วเงยหน้ามองนอกหน้าต่าง แน่ใจว่าเป็นเวลาดึกมากแล้ว เขาคงมิได้มาอีก

จากนั้น เขาก็มิได้มองออกไปนอกหน้าต่างอีก

……

……

วันเวลาหลังจากนั้นยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เรียกได้ว่าไม่มีอะไรให้พูดถึง

ลูกศิษย์ในศาลาสี่เจี้ยนบำเพ็ญเพียรกันอย่างขยันขันแข็ง ในทุกๆ วัน ลูกศิษย์สิบกว่าคนที่เข้ามาในสำนักพร้อมกับเขาจะปีนขึ้นยอดเขากระบี่ไม่หยุด ได้ยินว่ามีบางคนที่มองเห็นความหวังที่จะประสบความสำเร็จแล้ว มีเพียงจิ๋งจิ่วที่ยังคงเป็นเหมือนเมื่อครั้งอยู่ที่ศาลาหนานซง ทุกวันนอนอาบแสงแดด วางเม็ดทรายลงไปในจานอย่างตั้งใจ รอคอยเวลาให้ทะเลวิญญาณอันกว้างใหญ่ไพศาลแปรเปลี่ยนเป็นสารอาหารที่ต้องใช้ในการหล่อเลี้ยงผลแห่งกระบี่

ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนเป็นคนที่ผิดแผกไปจากคนอื่นอีกครั้ง

แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากเมื่อครั้งที่อยู่ศาลาหนานซงก็คือ อาจารย์เซียนนามหลินอู๋จือที่มาจากยอดเขาเทียนกวงผู้นั้นเพียงแต่รับผิดชอบตอบคำถามให้แก่เหล่าลูกศิษย์ มิได้สนใจเรื่องที่เขาไม่เคยเข้าเรียนเลย

ตอนแรกลูกศิษย์คนอื่นเองก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน หลังผ่านการสังเกตไปช่วงหนึ่ง ก็พบว่าเขาเป็นดั่งที่ร่ำลือกันจริง จึงมิได้ไปสนใจอีก กระทั่งการพูดคุยถึงเขาก็มิได้มาก

เพราะวิถีกระบี่ทั้งยากเข็ญและอันตราย จำเป็นต้องทุ่มเทและขยันขันแข็ง ไหนเลยจะมีเวลามาสนใจผู้อื่น

ผ่านไปหลายวัน สถานที่่อื่นอย่างศาลาเป่ยเฮ่อก็ส่งศิษย์ที่ผ่านการทดสอบกลุ่มใหม่เข้ามากลุ่มหนึ่ง ศาลาหนานซงเองก็มีลูกศิษย์มาอีกหลายคน รวมไปถึงเซวียหย่งเกอ ศิษย์น้องอวี้ซาน และชายหนุ่มแซ่หยวนจากจังหวัดเล่อหลางผู้นั้นด้วย ดูเหมือนการจากไปของอาจารย์หลู่จะมิได้ส่งผลกระทบอะไรต่อพวกเขามากนัก

ในศาลาสี่เจี้ยน เซวียหย่งเกอโพนทะนาเรื่องความเกียจคร้านและนิสัยที่ไม่ดีของจิ๋งจิ่ว น่าเสียดายที่ไม่ได้รับการตอบรับเท่าไร

ศิษย์น้องอวี้ซานและชายหนุ่มจากจังหวัดเล่อหลางพูดแก้ต่างให้จิ๋งจิ่ว ทั้งยังตั้งใจแวะไปเยี่ยมจิ๋งจิ่วครั้งหนึ่งด้วย

จิ๋งจิ่วยังคงมิเข้าใจ แต่การแสดงออกดูเป็นมิตรกว่าครั้งที่อยู่ศาลาหนานซงมากนัก

เขาจำชื่อของศิษย์น้องอวี้ซานได้ ทั้งยังเชิญนางและชายหนุ่มจากจังหวัดเล่อหลางคนนั้นกินผลไม้ด้วย

ในคืนวันนั้น วานรภูเขาสองตัวมาถึง ครั้นพบว่าไม่มีผลไม้กิน จึงอดรู้สึกแค้นใจมิได้

เวลาไหลไปอย่างแช่มช้าและเงียบสงบ

หลิ่วสือซุ่ยแอบมาหาเขาสองครั้ง ปูที่นอนพับผ้า ปัดกวาดที่อยู่อาศัยแทนเขา พูดกับเขาอีกสองสามประโยค

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความกดดันในตอนนี้มีมากเกินไป หรือเป็นเพราะการบำเพ็ญเพียรมันยากลำบากเกินไป คำพูดของเขายิ่งน้อยลงทุกวัน

ผ่านไปอีกสองสามวัน จิ๋งจิ่วจึงได้ทราบจากศิษย์น้องอวี้ซาน ที่แท้งานชุมนุมเฉิงเจี้ยนได้ทำการกำหนดวันเวลาเรียบร้อยแล้ว เป็นต้นฤดูใบไม้ผลิในปีหน้า

เมื่อคำนวณอย่างละเอียด เหลือเวลาอีกเพียงครึ่งปีก็จะถึงงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน

งานชุมนุมเฉิงเจี้ยนครั้งนี้ คนที่ถูกคาดหวังมากที่สุดย่อมต้องเป็นเจ้าล่าเยวี่ย เรียกได้ว่าเป็นที่จับตามองของทุกคน ว่ากันว่ากระทั่งสำนักอื่นก็ยังพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ ว่านางถูกยอดเขาไหนเลือกตัวเป็นผู้สืบทอดเอาไว้ล่วงหน้ากันแน่ และสุดท้ายตัวนางเองจะเลือกเป็นผู้สืบทอดยอดเขาไหน

นอกจากเจ้าล่าเยวี่ย คนที่ได้รับความสนใจมากที่สุดก็คือหลิ่วสือซุ่ย

ทุกคนต่างรู้สึกใคร่รู้ถึงความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดผู้นี้

ตอนนี้หลิ่วสือซุ่ยสร้างโอสถกระบี่ได้สำเร็จ หากสามารถบรรลุขั้นตั้งมั่นจนบริบูรณ์ได้ เขาก็จะมีสิทธิ์เข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน และจะต้องกลายเป็นคนที่แต่ละยอดเขาต่างแย่งตัวกันแน่

หากเป็นแบบนั้น เขาก็จะกลายเป็นผู้สืบทอดที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์อันดับที่สอง

……

……

รุ่งเช้าอีกวัน จิ๋งจิ่วออกจากถ้ำ

เขาจะไปหาหลิ่วสือซุ่ย

……………………………………………………………………..

มรรคาสู่สวรรค์

มรรคาสู่สวรรค์

ข้าคือกระบี่ พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่ยอมเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่อยากเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าว? ไม่เดิน!!! ——————- ผู้เป็นนายคือบุรุษหนุ่มลึกลับผู้มาพร้อมกับใบหน้าที่หล่อเหลาและใบหูที่กางดูน่ารัก ผู้เป็นบ่าวคือเด็กชายใสซื่อผู้เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด หนึ่งนายหนึ่งบ่าวเดินทางมายังสำนักชิงซานซึ่งเป็นสำนักบำเพ็ญพรตอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน เพื่อเข้าสู่เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ทว่าในระหว่างที่อยู่ในสำนัก ผู้เป็นนายกลับเอาแต่นอน ในสายตาคนอื่นเขาคือคนที่เกียจคร้านอย่างไม่มีใครเทียบได้ ส่วนผู้เป็นบ่าวกลับขยันฝึกฝนจนบรรลุสภาวะขั้นต้นในเวลาอันสั้น แต่สิ่งที่ไม่มีใครรู้คือ สาเหตุที่ผู้เป็นบ่าวสามารถบรรลุสภาวะได้อย่างรวดเร็ว เป็นเพราะเคล็ดการหายใจที่ผู้เป็นนายเคยสั่งสอนให้… บุรุษหนุ่มรูปงามผู้นี้คือใครกันแน่ ไฉนจึงเอาแต่นอนเกียจคร้านทั้งวันเช่นนี้?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset