มหาวิบัติสงครามการกลายพันธุ์ (Mutagen)
ตอนที่ 43 : มาร์ค
“เธออยากคุยเรื่องอะไรล่ะตอนนี้”
มาร์คถามพร้อมมองไปที่พอลลาซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าเขา
พวกเขาทั้งสี่คนก็ได้กลับมายังฝั่งทิศใต้ของบนดาดฟ้า และนั่งอยู่ที่เก้าอี้ที่พวกเขาเคยนั่งกันมาก่อน มาร์คและพอลล่าต่างก็มองหน้ากัน ในขณะที่แองเจนั่งอยู่ข้างๆพอลล่า และเหมยที่นั่งอยู่ข้างๆมาร์ค
“พอลล่า มันยากมากนะที่จะเจอเธอในโหมดที่เคร่งเครียดแบบนี้” แองเจกล่าวขึ้นมาด้วยความสับสน
พอลลาชําเรืองมองไปที่แองเจก่อนที่จะมองกลับไปที่มาร์ค พอลลาถอนหายใจออกมาและคลายไหล่ของเธอ ก่อนที่ในที่สุดก็พูดออกมา
เธอมองเข้าไปยังนัยต์ตาของมาร์คซึ่งเขาก็ได้จองกลับมา
“แต่ขอร้องนะ ช่วยตอบคําถามของฉันโดยไม่โกหกเลยทีได้มั้ย ฉันแค่อยากรู้ความจริง”
“เธอคิดว่าฉันเป็นคนขี้โกหกเหรอไง?”
“ใช่”
พอลล่าตอบคําถามมาร์คอย่างตรงไปตรงมา
“กลับไปเมื่อตอนที่ลุงเบอนาร์ดถามว่าทําไมนายถึงช่วยพวกเรา ฉันรู้ว่าสิ่งที่นายพูดมันไม่จริงไปสะทั้งหมดและก็ยังมีส่วนที่นายโกหกด้วย อย่าพยายามป้อนอาหารให้เราเป็นเหมือนผู้ปวยเป็นโรคจิตหลงผิด”
เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย มาร์คก็รู้สึกเหมือนโดนลูกธนูปักเข้ากลางหลัง มาร์คก็ได้แต่ถอนหายใจ
“เธอนี่เป็นนักธนูตัวจริงเลยนะ เธอสามารถยิงลูกศรธนูออกมาได้ด้วยคําพูดของเธอเอง”
“ฉันไม่สนว่านายคิดยังไง แต่ช่วยตอบคําถามของฉันจริงๆจังสักที”
ตอนนี้แองเจก็รู้สึกสับอย่างมาก เธอไม่รู้เรื่องราวใดๆหรืออาจจะเป็นเพราะเธอไม่เคยมาคิดกับสิ่งที่มาร์คพูดอย่างลึกซึ้งจริงจังในตอนนั้น เหมยดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องนี้แต่เธอก็มองไปที่มาร์คด้วยความสงสัย
มาร์คยักไหล่และได้ตอบกลับไป
“ก็ได้ ฉันโดนเธอเล่นงานสะแล้ว ฉันสัญญาว่าจะตอบความจริงแต่อย่าคาดหวังว่าฉันจะตอบเธอทุกอย่างนะ”
พอลล่าพยักหน้า
“จริงๆแล้ว สิ่งที่ฉันต้องการถามอย่างแรกคือเหตุผลจริงๆที่นายช่วยพวกเราเอาไว้แต่ฉันไม่ถามแล้วล่ะ ฉันขอถามเลยละกันว่าจริงๆแล้วนายเป็นใครกันแน่”
“พื้นเพของชีวิตฉันน่ะหรอ?”
“ใช่”
“เธอถามคําถามที่มันเป็นเรื่องส่วนตัวไปหน่อยมั้ย? จริงๆฉันก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ เอาไว้ฉันจะถามเธอกลับทีหลังละกัน”
“ก็ได้นะ
“เอาล่ะ ถ้าจะให้ฉันพูดโดยหลักๆแล้วฉันเป็นคนเก็บตัว”
เหล่าสาวทั้งสามคนต่างก็ประหลาดใจ เมื่อมาร์คเห็นสีหน้าอันประหลาดใจของพวกเธอก็ได้กล่าวต่อ
“เป็นเวลาสามปีแล้วที่ฉันใช้ชีวิตแบบนั้นมา ฉันแทบไม่ออกจากบ้าน ฉันออกจากบ้านแค่เฉพาะเวลาฉันต้องซื้อของที่จําเป็น หรือไม่ฉันมีธุระสําคัญที่ต้องจัดการ”
“นายไม่ทํางานหรอ?”
แองเจถาม
“ฉันทําสียัยเด็กโง่ ฉันแค่เก็บตัวแต่ฉันไม่ใช่คนตกงาน ฉันทําอาชีพอิสระคือเขียนหนังสือและเป็นโปรแกรมเมอร์ และก็โปรเจ็คงานออนไลน์อยู่สองสามงาน ฉันมีงานทําแต่ก็มีเวลาที่ฉันไม่ต้องทํางานเช่นกัน รายได้ที่ได้รับจากโปรเจ็คต่างๆก็เป็นรายได้ที่ดี เพราะงั้นฉันจึงไม่จําเป็นต้องทํางานหนักอะไรมาก”
เมื่อมาร์คพูดจบ พอลลาก็ได้ถอนหายใจออกมา เธอรับรู้ได้ว่ามาร์คไม่ได้โกหกใดๆ แต่เขาก็อธิบายได้ไม่ครบพอ
“ฉันรู้ว่านายพูดความจริง แต่นายก็ไม่ได้อธิบายอะ ไรหลายๆอย่างให้รู้ด้วย”
“เช่นอะไรล่ะ?”
“อย่างแรกเลยก็คือความสามารถในการต่อสู้ของนาย อีกอันก็คือสิ่งที่ทําให้นายสร้างหน้าไม้นั่นออกมาได้ นายมีศักยภาพที่จะสร้างอาวุธแบบนั้นมาได้แถมยังรู้วิธีใช้อาวุธอย่างถูกต้องได้อีก”
“โห เธอจะขุดเรื่องราวของฉันลึกแบบนี้เลยหรอ?”
“ใช่ แต่ถ้านายไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรนะ”
“ก็ได้ๆ ถ้าให้ฉันเดานะเธอจะต้องตั้งข้อกังขาสงสัยในตัวฉันต่อไป ถ้าฉันไม่ยอมตอบคําถามของเธอน่ะ”
มาร์คชี้ไปที่แองเจซึ่งกําลังมองมาที่เขาด้วยใบหน้าที่บังคับให้เขาตอบคําถามออกไป พอลลาถอนหายใจกับท่าทางการแสดงออกของเพื่อนของเธอ แต่เธอก็ไม่ได้หยุดให้เธอ
ทํา
“ก็ได้ๆ แองเจไลน์ ฉันจะบอกๆ งั้นก็เลิกทําหน้าแบบนั้นได้แล้ว”
แองเจทําแสดงใบหน้าที่มีชัยชนะเหมือนเธอได้ชนะอะไรบางอย่าง
“ถ้าเกี่ยวกับหน้าไม้ ฉันเคยทําอะไรแบบนี้มาบ้างแล้ว หนึ่งในอาชีพของฉันคือการทําอาวุธตกแต่งสําหรับคนที่แต่งกาย คอร์สเพลย์ ฉันได้รับค่าตอบแทนในแต่ละครั้งซึ่งเป็นรายได้ที่ดีมากขึ้นอยู่ว่าฉันสร้างอะไร บางครั้งฉันก็จําเป็นต้องสร้างอาวุธ ที่มีฟังก์ชันในลักษณะที่เป็นปืนซึ่งทําให้เกิดเสียงลูกกระสุนปลอมๆออกมา ฉันเคยออกแบบเครื่องอาวุธและก็ได้เรียนเกี่ยวกับสิ่งต่างๆเกี่ยวกับอิเล็กซ์ทรอนิกส์ด้วยตัวเอง”
สําหรับเหตุผลที่ฉันสามารถใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ได้ก็เพราะฉันเคยมีประสบการณ์กับพวกนี้มาแล้ว เมื่อฉันจบจากมหาวิทยาลัยและหางานที่เข้ากับฉันมันยากและก็ได้โยกย้ายงานไปมา จากการเป็นทั้งคนขับรถจนเป็นคนงานก่อสร้างฉันก็ลองพวกนั้นมาหมดแล้ว แถมฉันยังเคยทํางานในโรงงานเหล็กมาก่อนเป็นเดือนๆและก็ได้ทําสิ่งยากๆมาแล้วในนั้น นั่นคือสถานที่ที่ฉันเอาไว้เรียนรู้ในการทําเครื่องอุปกรณ์อาวุธต่างๆ
“แล้วทักษะการต่อสู้ของนายล่ะ?”
พอลลาถามแต่คําตอบนั้นไม่ได้มาจากมาร์ค เป็นแองเจที่ตอบขึ้นมา
“พอลล่า ฉันคิดว่าเขาเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง ท่าทาง ลีลาของเขานั้นแหวกแนวไปมาก เธอก็รู้ฉันได้สายม่วงในคาราเต้และสายน้ําเงินในเทควอนโด้ ฉันสังเกตุได้ว่าเขาใช้ท่าทาง ลีลาจากวิชาศิลปะการต่อสู้ทั้งหมดมาผสมๆกัน”
สิ่งที่แองเจพูด มาร์คก็ได้พยักหน้า
“แองเจไลน์พูดถูก ฉันสอนตัวฉันเองโดยการเปิดคลิปดูตามอินเทอร์เน็ตและเลียนแบบท่าทางลีลามาจากเกมส์ที่ฉันเล่น”
“นั่นมัน…”
“ไม่เชื่อใช่มั้ย? แต่มันคือความจริง ฉันสนใจในศิลปะ การต่อสู้แต่ยังเด็กๆ แต่ที่บ้านฉันฐานะไม่ค่อยดีที่จะจ่ายค่าเล่าเรียนสิ่งนั้นให้กับฉันได้ เมื่อตอนที่ฉันอยู่ประถม หนึ่งในเกมส์ที่ฉันเล่นบ่อยๆกับพี่น้องญาติของฉันก้คือเกมส์ต่อสู้ฟันดาบ เรายังได้สร้างดาบไม้ปลอมๆจากกิ่งไม้หนาๆจากต้นไม้ และก็ได้เล่นต่อสู้ป้องกันกันอย่างจริงจัง เมื่อสมัยเด็กๆ พวกเราไม่สามารถควบคุมท่วงท่าการฟันดาบได้ และก็มีบางเวลาที่เราสองคนต่างก็ได้รับความบาดเจ็บแผลต่างๆจากกัน ฉันเรียนรู้การหลบหลีกและอดทนต่อบาดแผลได้อย่างมากในตอนนั้น”
“นั่นเป็นเกมส์ที่อันตรายจริงๆ”
มาร์คหัวเราะ
“แต่ฉันก็ปฏิเสธมันไม่ได้”
พอลลาก็เอาแต่จ้องไปที่มาร์คระหว่าวที่เขาเล่าเรื่องและถอนหายใจ ทุกๆครั้งที่เขาพูดเธอรับรู้ได้ว่าเขาไม่ได้โกหก
“ส่วนบุคลิกการแสดงออกของฉัน มันเป็นเพราะฉันเคยเป็นโรคที่มีความผิดปกติของบุคลิกภาพมาก่อน”
“นายบอกว่าเคยเป็นมาก่อน? ตอนนี้ก็รักษาได้แล้วงั้นหรอ?”
พอลล่าถามซึ่งมาร์คก็ได้แต่ส่ายหัวก่อนที่จะตอบกลับไป
“ในบางตอนนั้นฉันก็ยังมีอาการที่ต้องรับมืออยู่ และต้องเผชิญกับอาการของโรควิตกกังวลแต่อาการของโรคก็มาจากภาวะความผิดปกติด้านบุคลิกภาพที่ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ ดังนั้นฉันจึงเรียกอาการนั้นว่าบุคลิกภาพอันผิดปกติที่ยังไม่เด่นชัด
เมื่อได้ยินมาร์คกล่าว พอลลาก็ได้คิดลึกซึ้งออกไป เธอพิมพ์ชื่อสามชนิดของโรคความผิดปกติในบุคลิกภาพภายใต้อาการบุคลิกภาพที่ผิดปกติ และยังคิดถึงอาการของโรคนี้ด้วย จากนั้นเธอก็มองหน้ามาร์คซึ่งทําให้เธอรู้และยืนยันอะไรบางอย่างได้
มันคือความผิดปกติของบุคลิกภาพที่หวาดระแวงไม่ไว้วางใจและความวิตกกังวลต่อผู้คนอื่นๆ และความสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นๆกําลังคิด พอลล่าสังเกตุถึงบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับมาร์คและอาการที่กล่าวมานี้ก็ยิ่งตอกย้ําความสงสัยของเธอที่มีต่อมาร์ค มาร์คพูดถึงโรคบุคลิกที่ผิดปกติของเขาว่ายังมีอาการอยู่ แต่เขาก็ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ต้องจัดการกับอาการโรควิตกกังวล
“พี่คะ แล้วพี่ได้ไปหาหมอรักษามั้ย?”
เหมยผู้ที่ไม่มีปากมีเสียงก็ได้พูดออกมา มาร์คมองไปที่เธอและตอบไปด้วยน้ําเสียงที่หม่นหมอง
“ฉันไม่มีเงินสําหรับตรงนั้นหรอก แล้วก็ถ้าพวกเธอจะถามฉันว่ารักษายังไง ฉันไม่ได้ทําอะไรกับมันหรอก ฉันแค่สามารถบอกได้เลยว่ามันง่ายที่จะพูดออกมาแต่มันยากที่จะทําในประสบการณ์ของฉัน ฉันพบเงื่อนใขได้โดยตัวเองก็คือต้องยอมรับมัน ถ้ามีใครบางคนที่เป็นคนแรกที่รู้ถึงอาการของฉันและปรามฉันบางที่ฉันอาจจะห้ามจิตสํานึกตัวเอง ไม่ให้มีอาการออกมาได้ แต่โชคร้ายไปหน่อย ฉันไม่เคยเจอใครแบบนั้นเลย”
“แล้วพ่อแม่ของนายล่ะ? พวกท่านไม่รู้หรอว่านายต้องผ่านอะไรมา? นายไม่บอกพวกท่านหรอ?”
แองเจถาม แต่ก็ต้องตกใจ อารมณ์ของเขาก็ดูเศร้าสร้อยลงไปหลังจากที่เธอถามออกมา
“ฉันบอกพวกเขาไปแล้วแต่พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจกับมัน และคิดว่าฉันแค่ขี้เกียจและเป็นข้ออ้าง เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอถาม ฉันก็คิดว่าพ่อแม่ของเธอจะต้องดูแลเธอเป็นอย่างดีแน่ๆ แต่สําหรับฉัน พ่อแม่ของฉันก็ไม่ได้แย่อะไรหรอก แต่พวกเขาเพียงแต่เอาแต่มองด้านลบๆของฉัน”
แองเจไม่รู้จะตอบกลับไปอย่างไร
“พี่ชายคะ อาการผิดปกติทางบุคลิกของพี่ก็คือสาเหตุที่ทําไมพี่ถึงเปลี่ยนงานบ่อยๆใช่มั้ย?”
มาร์คพยักหน้า
“นี่คือหนึ่งในเหตุผลน่ะ แค่เหตุผลรองลงมาเท่านั้น”
ในเวลานี้พอลลาก็หลุดออกมาจากการคิดอันล้ําลึกของเธอและมาร์คไปที่มาร์คเพื่อถามคําถามที่รุนแรงออกมา
“ฉันต้องการถามน่ะ คุณใช้ชีวิตอยู่ด้วยโรคที่มีและเงื่อนไข ชีวิตแบบนี้ได้ยังไงกัน?”
มันเป็นแค่คําถามเล็กๆซึ่งตอบการคําตอบที่ยากจะตอบได้ มันเป็นคําถามที่เจาะจงว่ามาร์คนั้นจริงๆแล้วเป็นคนแบบไหนกันแน่
มาร์คก็ได้ยักไหล่
“ฉันใช้ชีวิตแบบคนเก็บตัวปกติทั่วไปในปีที่ผ่านๆมา หลังจากนั้นฉันก็เหนื่อยที่จะเปลี่ยนงานไปมา ฉันยอมรับว่าฉันคือบุคคลที่ถูกเรียกได้ว่าเป็นโอตะคุและเป็นเกมเมอร์ ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการดูอนิเมะ อ่านนิยาย และเล่นวิดิโอเกมส์ เมื่อเวลาที่ฉันไม่มีงานต้องทํา”
เหล่าสาวทั้งสามคนก็จ้องไปที่มาร์ค พวกเธอรู้สึกว่านั่นไม่ใช่ทั้งหมดเกี่ยวกับตัวเขา จากนั้นมาร์คก็ได้กล่าวต่อ
“แต่ส่วนใหญ่ ฉันก็ใช้ชีวิตเหมือนคนที่ไม่มีที่ที่สมควรจะอยู่ ฉันมีความสัมพันธ์ที่แย่กับพ่อแม่ และประสบการณ์ในอดีตที่สะสมมาก็ทําให้ฉันกลายเป็นคนที่ชอบแปลกแยกออกจากสังคม
ฉันใช้เวลาหนึ่งวันของฉันในการฝันกลางวันว่าโลกใบนี้จะตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย ถูกทําลาย หรืออย่างน้อยประเทศของเราก็ตกอยู่ในสงคราม ฝันกลางวันว่าเมื่อเวลานั้นได้เกิดขึ้นมา ฉันจะสามารถลองหาที่ที่ฉันมีที่ยืนอยู่ได้ หรืออย่างน้อยก็ใช้ชีวิตได้ตามอิสระที่ต้องการจนกว่าฉันจะตายจากไป
ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเราตอนนี้ก็คือสิ่งที่ฉันปลายปลื้มและได้กําลังฝันอยู่ก็กลายเป็นจริงขึ้นมาสําหรับฉัน”
มาร์คยิ้มออกมาอย่างขมขื่น เขามองไปที่มือขวาของเขา ที่กําลังลูบศรีษะเหมยอยู่ซึ่งเธอนั้นก็ได้ร้องไห้ออกมา มาร์คว่าสิ่งที่เขาพูดมันจะทําให้เธอรู้สึกไม่ดี
พอลลาและแองเจต่างก็รู้สึกขมขึ้นนิดหน่อยกับสิ่งที่เขาพูด ทั้งสองคนมองไปที่เหมยและสับสนว่าทําไมเธอถึงร้องไห้ พวกเธอรู้ว่าสิ่งที่มาร์คพูดออกมานั้นมันเป็นเรื่องราวในชีวิตที่หนักหน่วง แต่มันก็ไม่ถึงกับต้องทําให้เธอร้องไห้ออกมา