หนึ่งในตัวแทนสภานักศึกษาทักเขา
ซองอูเองก็จำชายคนนี้ได้ เขาคืออีจินซอก เขามีอายุมากกว่าซองอูสองปีและอยู่ในคณะเดียวกัน
ตอนที่ซองอยู่เป็นเด็กปีหนึ่ง จินซอกอยู่ในกลุ่มเดียวกับเขาในตอนที่ไปทัศนศึกษาของคณะ ซองอูไม่มีความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับจินซอกเท่าใดนัก
โดยพื้นฐานแล้วจินซอกเป็นพวกยึดถือความอาวุโส เขายังมีเรื่องฉาวเกี่ยวกับผู้หญิงในคณะ และเมื่อเขาชอบยศฐาบรรดาศักดิ์นั้นเอง เขาจึงเข้าสภานักศึกษา
“โอ้ หวัดดี”
เมื่อทักทายกันแล้ว ซองอูเดินไปที่ประตูหลักด้วยความระมัดระวัง เขาสงสัยว่าเหตุใดจินซอกถึงเปิดมันไม่ได้
แต่ในตอนนั้นเอง จินซอกทำหน้าหงุดหงิดและตะโกน
“เฮ้! อย่าเข้าใกล้ประตู! มันอันตราย! ให้ตายเถอะ!”
เขาโมโหร้ายและเอามือกันซองอูด้วยความรำคาญใจ ซองอูดึงถอยกลับ
จินซอกถอนหายใจ จากนั้นจู่ ๆ เขาก็ทำหน้าแบบพ่อพระ
“ฟู่ว โทษทีนะ ตอนนี้กำลังเครียดเพราะต้องรับมือกับหลายอย่างน่ะ ไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น แต่เราต้องปกป้องนักศึกษาของเรา”
อืม นี่มันเกิดขอบเขตหน้าที่ไปหน่อย จินซอกแสดงท่าทางแบบนี้เพราะเขาเป็นคนสภานักศึกษาอย่างนั้นหรือ? ซองอูรำคาญในใจ
“ซองอู นายได้เลือกการ์ดไหม?”
“ใช่แล้ว เราสองคนเลือกการ์ดมา นายรู้จักฮันโฮใช่ไหม?”
“ไง จินซอก”
“โอ้ ชั้นว่าเคยเห็นฮันโฮที่ไหนซักที่มาก่อน พอดียุ่งจนไม่ค่อยได้เข้าเรียนน่ะ…”
ซองอูอยากจะโต้แย้ง ‘แล้วทำไมไม่เข้าเรียนเล่า? เพราะแกอยากจะสวมชุดสภานักศึกษาใช่ไหม?’ แต่เขาไม่มีกระจิตกระใจจะพูดออกมา
“…เอาเถอะ รู้ใช่ไหมว่าตอนนี้มันอันตรายแค่ไหน? ถ้ามีอาวุธก็ควรจะช่วยปกป้องคนของเรา”
“ได้สิ เราจะช่วย”
“แล้วพวกนายเป็นอาชีพอะไรล่ะ? เป็นพวกพลหอกรึ? แน่ใจนะว่าจะช่วยชั้นได้?”
จินซอกเห็นซองอูถือหอกทื่อและขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเหลืออดกับซองอู
ซองอูเองก็คิดว่าอาวุธของเขาไร้ประโยชน์ถ้าเทียบกับอาวุธที่อาชีพอื่นถือ แต่อาวุธที่แท้จริงของเขาอยู่ในห้องอื่นต่างหาก
‘ช่างเถอะ ยังไงก็ไม่ต้องบอกจินซอกอยู่แล้ว’
ซองอูพยักหน้าเบา ๆ
“ชั้นเจอมอนสเตอร์สีเขียว มันเรียกว่ากอบลิน ยากที่จะสู้กับมันต่อให้มีอาวุธ”
จินซอกพูด เขายกโล่ห์ขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ
“แล้วชั้นก็เลือกการ์ดสุดยอดออกมา มันคือนักรบโล่ห์สองดาว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็มาหลบข้างหลังแล้วกัน”
“แน่นอน”
ซองอูตอบอย่างไม่ใส่ใจ เขาคิดว่าน่าหัวเราะที่จินซอกมาโม้เรื่องสองดาว และเขาไม่อยากจะโต้เถียงกับเรื่องดาวบนการ์ดด้วย
ในตอนนั้นเอง มีคนวิ่งหอบรีบมาหาจินซอก
“พี่! มีเสียงกอบลินเบา ๆ มาจากบันได”
เขาคือมินซูผู้ขี้ขลาดในห้องบรรยาย เขาทำเหมือนเป็นลูกน้องของจินซอกในตอนนี้ แต่ ‘เสียงกอบลินเบา ๆ’ มันหมายความว่าอะไรกัน? ซองอูหงุดหงิดจนแทบทนไม่ได้
แต่จินซอกก็ตบบ่ามินซูแทนคำขอบคุณ เขาเดินไปทางกอบลินอย่างอวดดี มันอวดดีซะจนรู้สึกได้ว่าท่าเดินของเขาเหมือนกับท่าเดินของฮีโร่
“ใจเย็นลงก่อน ทุกคนเงียบซะ ชั้นบนกำลังเกิดเรื่อง เข้าไปซ่อนตัวช้า ๆ เราจะคุ้มกันทางเข้าให้”
จินซอกพูดถึงพวกกอบลิน เหล่านักศึกษาเดินไปหลบภัย
“นี่ฮันโฮ มานี่”
ในขณะเดียวกัน ซองอูกับฮันโฮเข้าหาทางเข้าโดยหลบสายตาจากจินซอก
ทำไมจินซอกต้องมาบอกว่าห้ามเข้าใกล้ประตูด้วยข้ออ้างว่าเขาทำลายประตูกระจกไม่ได้ล่ะ?
“เห็นนั่นไหมซองอู?”
“อืม”
อย่างที่ฮันโฮพูด มีรูปโซ่สีชมพูโฮโลแกรมที่ลูกบิดประตู
<ผนึกพลังเวทย์ ประตูจะเปิดก็ต่อเมื่อคุณโจมตี ‘บอสมอนสเตอร์’ ของอาคารเท่านั้น ถ้าคุณล้มเหลวภายในเวลาที่กำหยด มอนสเตอร์ภายในอาคารจะแข็งแกร่งขึ้น (02:11:19)>
‘บอส? สองชั่วโมงสิบเอ็ดนาที…’
ซองอูดึงประตู แต่มันไม่ขยับเขยื้อน
“ซองอู ถ้ามันจำกัดเวลา เราจะไม่ตายกันหมดถ้าไม่ฆ่ามอนสเตอร์ทันเวลาใช่ไหม?”
“ชั้นไม่แน่ใจว่ามอนสเตอร์จะแข็งแกร่งขึ้นแค่ไหน แต่พวกเราต้องฆ่ามันเพื่อออกไปจากที่นี่ อย่าได้คิดโง่ ๆ ว่าจะมีใครมาช่วยเรา”
ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขามิอาจหวังให้ตำรวจมาช่วยได้ ใครที่ปรับตัวไม่ทันจะตายก่อนเป็นคนแรก
ซองอูกับฮันโฮไปหาจินซอกอีกครั้ง
จินซอกมองมินซูกับซองอู
“พวกนายรู้จักกันสินะ? นายสองคนอยู่ปีเดียวกันใช่ไหม?”
“ใช่”
มินซูตอบด้วยความเย็นชา ดูเหมือนว่าเขาจะไม่พอใจที่ซองอูพูดกับเขาในห้องบรรยาย
“ดี รู้สึกปลอดภัยกว่าถ้ามีนายสองคนอยู่กับชั้นอย่างตอนนี้ มาสู้ด้วยกันจนถึงที่สุดเถอะ”
จินซอกพูดราวกับตัวเองเป็นนายพลที่คอยสั่งการพวกเขาอยู่ข้างหลัง เขาตบบ่าทั้งสามทีละคน
แต่ซองอูเอียงคอกับคำสุดท้าย
“เดี๋ยวก่อน…เราจะอยู่จนถึงที่สุดหรือ? ตรงนี้น่ะนะ?”
“ใช่ มีปัญหาอะไร?”
จินซอกพูดอย่างไม่พอใจ เขาเกลียดที่รุ่นน้องโต้แย้ง
“นายเห็นข้อความที่ประตูใช่ไหม?”
“ก็เห็นน่ะสิ! เราต้องอยู่ที่นี่จนกว่าทีมช่วยเหลือจะมาถึงเพราะเราออกไปไม่ได้”
“ทีมช่วยเหลือ? คิดว่าตำรวจจะมาได้เหรอ? ถ้าเรื่องแบบเดียวกันเกิดขึ้นกับทั้งประเทศล่ะ? ไม่มีทางที่ตำรวจจะมาสนใจเรา…”
“นี่นายเคยเข้ากรมมาก่อนใช่ไหม?”
“ก็ใช่”
“แล้วทำไมถึงไม่รู้? กองทัพจะมาช่วยพวกเรา ทุกอย่างจะไม่เป็นไร”
ไม่ใช่ นั่นเป็นการคิดเข้าข้างตัวเอง เป็นไปไม่ได้ที่กองทัพจะมาช่วยคนในทุกมุมของประเทศ
แน่นอนว่าเป็นไปได้ที่พวกเขาจะได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะได้รับความช่วยเหลือภายในสองชั่วโมง มันเสี่ยงเกินไปที่จะอยู่เฉย ๆ เมื่อไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในสองชั่วโมงข้างหน้า ซองอูตระหนักได้อีกครั้งหลังจากฟังคำพูดสวยหรูของจินซอก
ซองอูพึมพำกับตัวเอง
‘ต้องรีบทำตัวให้ชินกับที่นี่ ถ้าหลงคำพูดสวยหรูคงตกอยู่ในอันตรายแน่’
ซองอูถอนหายใจโดยไม่ตอบอะไร จินซอกโมโห
“นี่แกถอนหายใจเรอะ? บัดซบ แกไม่ต้องมายุ่งแล้ว! ถ้าอยากรอดก็อยู่เฉย ๆ เข้าใจไหม?”
ในตอนนั้นเอง มินซูกผงะหลัง เขาตะโกน
“จินซอก! กะ…กอบลิน!”
เคี๊ยก! เคี๊ยก!
กอบลินประมาณแปดตัววิ่งลงมาจากบันไดกลาง
“หา?”
“นั่นไง! ตรงนั้น!”
ทุกคนที่หลบอยู่ตื่นตัวขึ้น มีทางเข้าเดียวในที่ซ่อนของพวกเขา พวกเขาหนีไปไม่ได้ จินซอกยกโล่ห์ขึ้นด้วยมือที่สั่นระริก
“คนที่มีอาวุธออกมาซะ! พวกเราต้องหยุดมัน!”
แต่มินซูตะโกนอีกครั้ง เขาสติแตกโดยสมบูรณ์
“อ๊ากก! จินซอก ตรงนั้น! พวกมันก็มาจากทางเดินด้วย!”
“บัดซบ พวกมันเป็นอะไรกัน?”
จินซอกตัวสแข็งทื่อเมื่อเห็นกอบลินโครงกระดูก
ซองอูกระซิบ
“พวกมันไม่ได้มาร้าย”
“แกพูดอะไรนะ?”
ซองอูยืนที่ทางเข้าที่ซ่อน
“จินซอก รู้นะว่านายคิดจะรับผิดชอบทุกคน แต่ลืมตาตื่นได้แล้ว ถ้าคนโง่ทำตัวเป็นผู้นำ คนอื่นจะตายไปด้วย”
“…พูดบ้าอะไรของแก? แกเป็นอาชีพบ้าอะไรวะ?”
“ของดีก็แล้วกัน”