มู่หนานจือ – บทที่ 5 หญิงงาม

เฉาเซวียนรู้สึกว่าวันนี้ตนเองต้องทำความรู้จักท่านหญิงเจียหนานที่สายตาเฉียบแหลมมาตลอดผู้นี้ใหม่สักหน่อย

นางเจอเขาไม่เพียงแต่ทักทายอย่างสนิทสนม ทว่ายังคารวะลูกชายของแม่ทัพระดับสามด้วย!

เมื่อก่อนนี่แทบจะเป็นเรื่องที่ไม่กล้าคิดด้วยซ้ำ

เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ถึงเอ่ยว่า “อาเชียนมาจากฝูเจี้ยน ข้าพาเขาเข้าวังมาคารวะเสด็จอา มาถึงวังคุนหนิงแล้วถึงรู้ว่าเสด็จอาเตรียมขบวนเสด็จและเกี้ยวพร้อมแล้ว พวกเราเลยตามมาตามทาง ดูว่าจะมีโอกาสคารวะไทฮองไทเฮาด้วยหรือไม่”

งั้นหรือ?

เจียงเซี่ยนไม่เชื่อ

นางเริ่มจดบันทึกเรื่องราวที่ผ่านมาจริงๆ ตั้งแต่นางเป็นฮองเฮาและถูกจ้าวอี้เมิน เรื่องในอดีตล้วนเป็นความสุข ความอบอุ่น และอิสระสำหรับนาง ถึงจะกลุ้มใจอะไรก็แค่อากาศร้อนมาก แต่เหล่านางในในวังกลับไม่ให้นางกินน้ำแข็ง ฝนตกหนัก ดอกไม้ที่นางปลูกใกล้ศาลาหลินซีถูกลมพัดฝนกระหน่ำจนร่วงลงในโคลนจึงสร้างน้ำค้างบนดอกไม้ไม่ได้ แล้วก็หากเฉาไทเฮาทำอะไรให้ท่านยายอารมณ์เสียอีก นางก็ต้องทำให้ท่านยายอารมณ์ดีขึ้น…ดังนั้นในความทรงจำในช่วงวัยรุ่นของนาง นางจึงจำเรื่องที่เฉาไทเฮาทำให้ท่านยายอารมณ์เสียได้แม่นที่สุด

เจียงเซี่ยนตั้งใจระลึกความทรงจำอยู่ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จริงๆ

มีครั้งหนึ่ง เฉาไทเฮามาเยี่ยมไทฮองไทเฮาเหมือนเช่นเคย ซึ่งก็เหมือนวันนี้เช่นกัน อีกฝ่ายคุยกับนางด้วยคำพูดที่ทั้งสองฝ่ายต่างเข้าใจอย่างอ้อมค้อม นางไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร ท่านยายจึงสั่งนางเองว่าให้นางไปชงชาที่ห้องชามาให้พวกนางสักถ้วย นางถึงได้รู้ว่าเฉาไทเฮาจะไล่นางออกไป นางเหลือทนอย่างถึงที่สุด คิดว่าพวกนางไม่ได้จะดื่มชาจริงๆ เสียหน่อย จึงไม่เพียงไม่ไปชงชาที่ห้องชา ทว่ายังอ้างว่าไม่สบายด้วย พอฝากนางในที่อยู่รับใช้ที่นี่ไปบอกแล้วก็พาติงเซียงกับเถิงหลัวกลับตำหนักตงซานแห่งวังฉือหนิงที่นางอาศัยอยู่…โดยไม่ได้ไปห้องชาด้วยซ้ำ

ปรากฏว่าพอนางกลับถึงตำหนักตงซานก็เจอไป๋ซู่ท่านหญิงชิงฮุ่ยที่กลับวังเข้า ทั้งสองคนคุยกันอย่างสนิทสนมอยู่นานสองนาน จนเฉาไทเฮากลับไปแล้ว ถึงพากันไปคารวะไทฮองไทเฮากับไทฮองไท่เฟยที่ห้องอุ่นตะวันออก และหลังจากเฉาไทเฮากลับไป ไทฮองไทเฮากับไทฮองไท่เฟยก็อารมณ์ไม่ดีนานมาก จนนางไม่มีอารมณ์ไปคิดเรื่องอื่นด้วยซ้ำ กระทั่งเฉาไทเฮาถูกขังไว้ที่วังฉางชุน นางถึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในภายหลัง

ชาติก่อนเฉาเซวียนก็นั่งดื่มชาในห้องชากับหลี่เชียนงั้นหรือ เพียงแต่นางไม่ได้เจอเท่านั้น?

หากนางกลับไปเจอไป๋ซู่ที่ห้องอุ่นตะวันตกก็จะพิสูจน์ได้ว่าตนเองจำผิดหรือเปล่า

เจียงเซี่ยนอยู่ต่อไม่ได้แม้แต่เค่อเดียว[1]

นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เกรงว่าพวกเจ้าคงต้องรอสักครู่แล้ว…ไทเฮาตรัสว่ามีเรื่องจะสนทนากับไทฮองไทเฮา นี่ก็ไล่ข้าออกมาชงชาซิ่งเหรินมิใช่หรือ เกรงว่าคงจะไม่ใช่เรื่องเดี๋ยวเดียว”

เฉาเซวียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไปเชิญจริงๆ สู้บังเอิญเจอไม่ได้ และวันฝนตกคือวันที่ต้องรั้งแขกไว้ ทั้งหมดนี้เป็นเจตจำนงของสวรรค์ ท่านหญิงอยู่ดื่มชากับพวกเราสักถ้วยดีกว่ากระมัง? เมื่อครู่ข้าได้ยินพี่ไฉ่เสียบอกว่ามีดอกเก๊กฮวยตูมสีขาวส่งบรรณาการมาใหม่ แก้ร้อนใน วังฉือหนิงจุดเตาไฟใต้ตำหนักคลายหนาวเร็วขนาดนี้ ท่านหญิงน่าจะลองดื่มดอกเก๊กฮวยตูมสีขาวเยอะๆ นะขอรับ”

เจียงเซี่ยนอยากจะพิสูจน์การคาดเดาของตนเองเดี๋ยวนี้ จึงขี้เกียจที่จะปฏิบัติกับเขาอย่างสุภาพ นางยิ้มพลางเอ่ยว่า “ขอบคุณใต้เท้าเฉามาก ข้าอยากดื่มเก๊กฮวยตูมสีขาวสักถ้วย แต่ก็กลัวว่าหลายวันนี้หมอหลวงเถียนแห่งสำนักหมอหลวงจะพลิกตัวไปมาจนนอนไม่หลับ”

นางคลอดก่อนกำหนด ไทฮองไทเฮานั้นเลี้ยงดูมาด้วยความรักอย่างสุดหัวใจ ไม่ต้องพูดถึงว่าของกินและเสื้อผ้าต้องเป็นของที่ประณีตที่สุด ตะเกียงอายุยืนนั้นก็จุดมาสิบสามปีแล้ว และจนไทฮองไทเฮาเสียชีวิตไป เจียงเจิ้นหยวนเจิ้นกั๋วกงลุงของนางก็บริจาคเงินให้วัดจัดซื้อธูป เทียน และน้ำมันตะเกียงถวายแด่เทพเจ้าและพระพุทธเจ้าให้นางต่ออีก

ส่วนหมอหลวงเถียนนั้นคือเถียนจิ้นคุนหมอหลวงแห่งสำนักหมอหลวง

หากเจียงเซี่ยนจะเพิ่มหรือลดอาหารโดยเปลี่ยนไปตามฤดูกาลก็ต้องให้หมอหลวงเถียนตรวจชีพจร หลังจากปรึกษากับเหล่าหมอหลวงของสำนักหมอหลวงและยื่นคำขอแล้วถึงจะเปลี่ยนได้

แน่นอนว่าเฉาเซวียนรู้

เขาอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้แล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าก็ไม่ฝืนใจท่านหญิงเจียหนานแล้ว”

“แต่ก็อย่าหมดอารมณ์เพราะข้าแล้วกัน” เจียงเซี่ยนยิ้มพลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง แล้วชี้ขันทีคนหนึ่งที่สวมเครื่องแบบขันทีระดับสี่ นางสั่งให้เขาชงชาดีให้เฉาเซวียนกับหลี่เชียนสักกา แล้วบอกว่าตนเองยังมีธุระ และออกจากห้องชาไป

หลี่เชียนเห็นสถานการณ์ก็ใช้ข้อศอกสะกิดเฉาเซวียน “คิดไม่ถึงว่าท่านหญิงเจียหนานจะพิถีพิถันขนาดนี้ ดื่มชาก็ต้องปรึกษาหมอหลวงของสำนักหมอหลวงด้วย”

เขาประทับใจในตัวเจียงเซี่ยนมาก รู้สึกว่าถึงแม้หญิงสาวคนนี้จะเป็นถึงท่านหญิง ขี้ขลาดไปหน่อย และอ่อนต่อโลกไปบ้างเพราะถูกเลี้ยงในวัง แต่กลับจัดการเรื่องราวได้อย่างเหมาะสมและเป็นธรรมชาติ ไม่ทำตามแบบเก่า มองออกว่าเป็นคนที่ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบการเข้าสังคมทว่ากลับเข้าสังคมเก่งมาก

เฉาเซวียนมองเขาครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “นี่นับว่ายังน้อย ไทฮองไทเฮาตั้งห้องครัวเล็กที่วังฉือหนิงเพื่อนาง แกงจืดที่นางทำใช้แต่กระดูกหมู กระดูกไก่ กระดูกเป็ดและขาหมูหมักเกลือจินหวา(แฮมจินหวา)สามปีตุ๋น…นี่คือสิ่งที่ข้ารู้ แล้วยังไม่รู้ว่ามีอาหารที่ข้าไม่รู้อีกเท่าไรนะ!”

คนในวังต่างจะไม่เปิดเผยว่าตนเองชอบกินอะไรกันแน่ เพื่อป้องกันถูกคนวางยาพิษ อาหารที่ห้องเครื่องยกมาทุกครั้งนั้นไม่ว่าอร่อยหรือไม่อร่อย ชอบหรือไม่ชอบก็จะกินสองสามคำและวางตะเกียบ ถึงเฉาเซวียนจะเป็นถึงหลานชายของเฉาไทเฮาที่มีอำนาจมากก็ไม่ได้รายการอาหารของห้องครัวเล็กแห่งวังฉือหนิงมาเช่นกัน

หลี่เชียนตอบ “อ้อ” แล้วยังอยากถามอีก ก็มีนางในเข้ามาเชิญพวกเขาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ไทฮองไทเฮาเชิญเฉิงเอินกงและแม่ทัพหลี่เข้าเฝ้าในตำหนักเจ้าค่ะ”

เวลานี้หลี่เชียนดำรงตำแหน่งแม่ทัพโหยวจีระดับห้าและอยู่ใต้บังคับบัญชาของหลี่ฉางชิงผู้เป็นบิดา

หลี่เชียนจำเป็นต้องเก็บงำอารมณ์และตามเฉาเซวียนไปที่ห้องอุ่นตะวันออก

ไม่รู้ทำไมในขณะที่ม่านของห้องอุ่นตะวันออกเลิกขึ้นนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปปรายตามองห้องชาอีกครั้งหนึ่ง

เจียงเซี่ยนไม่ได้คิดจะสอบถามว่าเฉาเซวียนกับหลี่เชียนทำอะไรบ้าง นางเดินอ้อมห้องอุ่นตะวันออกไปตามระเบียงคดอย่างรวดเร็ว และไปยังตำหนักตงซานที่อยู่หลังห้องอุ่นตะวันออก

ใครจะรู้ว่าจะเจอไป๋ซู่ที่สวมเสื้อคลุมหนังกระรอกทอลายฝูงผีเสื้อคู่กับก้อนเมฆสีแดงเข้มตรงหน้า และเดินมาหานางโดยมีนางในล้อมอยู่สองคน

“จ่างจู!” เจียงเซี่ยนเรียกชื่อเล่นของไป๋ซู่อย่างดีใจ นางวิ่งเหยาะๆ ไม่กี่ก้าว แล้วจับมือของไป๋ซู่ไว้แน่น

ไป๋ซู่เป็นหลานสาวของไป๋ไทฮองไท่เฟย และลูกสาวคนโตที่เกิดจากภรรยาเอกของตระกูลไป๋เป่ยติ้งโหว

ตอนที่เจียงเซี่ยนอายุห้าขวบ ไป๋ซู่ตามมารดาเข้าวังมาคารวะไทฮองไท่เฟย ไทฮองไทเฮาเห็นไป๋ซู่หน้าตาสะสวย ฉลาดเป็นกรด และเกิดเดือนเดียวกันปีเดียวกันกับเจียงเซี่ยน โดยแก่กว่าเจียงเซี่ยนแค่สิบวัน พอคิดว่าในวังนี้หากไม่ใช่สนมที่เป็นหม้ายก็ขันทีกับนางในที่รับใช้คนอย่างเชื่อฟัง นางกลัวว่าเจียงเซี่ยนจะโตเป็นคนขี้ขลาด จึงรั้งไป๋ซู่ให้อยู่เป็นเพื่อนเจียงเซี่ยนในวัง

ตอนแรกไทฮองไท่เฟยกับฮูหยินเป่ยติ้งโหวยังกลัวว่าไป๋ซู่กับเจียงเซี่ยนจะเล่นด้วยกันไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าทั้งสองคนนั้น คนหนึ่งก็ร่าเริงและน่ารัก อีกคนก็อ่อนโยนและละเอียดอ่อน จึงเหมือนสองพี่น้องท้องเดียวกัน แล้วก็กลายเป็นต่างคนต่างแยกจากอีกฝ่ายไม่ได้

ไทฮองไทเฮาดีใจมาก จึงขอให้แต่งตั้งไป๋ซู่เป็นท่านหญิงชิงฮุ่ย

นี่มีประโยชน์ต่อการแต่งงานในอนาคตของไป๋ซู่มาก

ฮูหยินเป่ยติ้งโหวก็เกรงใจที่จะรับไป๋ซู่กลับไปบ่อยๆ เช่นกัน

เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่เป็นพี่น้องที่สนิทกันตลอดชีวิต

ถึงตอนหลังไป๋ซู่จะแต่งงานกับจิ้นอันโหว และจิ้นอันโหวเห็นเจียงเซี่ยนถูกจ้าวอี้เมิน จึงไม่อนุญาตให้นางเข้าวัง นางก็ยังคงทำงานหนักและจะเข้าวังไปเยี่ยมเจียงเซี่ยนทุกสิบวัน

——————————-

[1] หนึ่งเค่อ = 15 นาที

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไป เมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญ แต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่! เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก ‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้ แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้า ชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง… หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset