ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 102 แม่ลูกคู่บรรลัย

ตอนที่102 แม่ลูกคู่บรรลัย

“ยังมีหน้ามาขอโทษอีกงั้นเหรอ?! นี่แกเลือกปฏิบัติแบบนี้มาตลอดเลยใช่ไหม!?”

หวางหลิงกัดฟันแน่น สีหน้าโกรธจัด

“เก็บข้าวเก็บของแล้วไสหัวไปจากที่นี่ซะ! พรุ่งนี้แกไม่ต้องมาทำงานแล้ว!”

“ครับ ครับ ขอบคุณบอสหลางที่ดูแลเสมอมาครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้”

หยางเสวียเหลียงรีบพยักหน้าโค้งคำนับให้ เขาทราบดีว่าหวางหลิองกำลังช่วยเขาทางอ้อมอยู่ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ยืนโดนด่าแบบนี้ต่อ โดยไม่รีรออันใดเขาหันหลังควับและวิ่งกลับไปที่ห้องทำงานทันที

หวางหลิงหันไปกล่าวขอโทษมู่เซียวหยานอีกครั้ง

“ผมต้องขอโทษจริงๆ ผมต้องขอโทษจริงๆ ครับ ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะปล่อยให้คนแบบนี้เข้ามาทำงานที่ร้านได้ ถ้าคุณผู้หญิงรู้สึกว่าสมควรแล้ว เดี๋ยวผมจะไล่รปภ.ยกชุดออกไปเลยก็ยังได้ครับ”

“ก็ได้ ก็ได้”

มู่เซียวหยานโบกมือปัดและกล่าวต่อว่า

“กลอุบายไม่เลวนี่ แค่ถ่ายน้ำเปลี่ยนไม่ใช่เทออก แต่เอาเถอะ ฉันเองก็ได้ระบายอารมณ์ออกไปหน่อยแล้ว ขอตัวกลับก่อนละกัน”

หวางหลิงส่ายหัวเร่งเอ่ยขึ้นว่า

“เราจะปล่อยให้ลูกค้าเสียเปรียบแบบนี้ได้ยังไง? คุณผู้หญิงโปรดแจ้งที่อยู่มาให้ผมเถอะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะถอยเฟอรารี่ไปส่งถึงหน้าบ้านเลย ไม่ว่ายังไงครั้งนี้ทางผมเป็นฝ่ายผิด ให้โอกาสผมได้ชดใช้เถอะครับ และผมเองก็คิดว่าเฟอรารี่รุ่นใหม่คันนั้นมาเหมาะกับคุณหนูคนนี้มากเลย…”

สิ่งเดียวที่หลางหลิงกลัวคือ มู่เซียวหยานที่จากออกไปทั้งแบบนี้โดยที่ไม่รู้อารมณ์ของเธอเลย บางทีในไม่ช้าก็เร็วเขาอาจจะโดนกองทัพเข้ามาถล่มร้านก็เป็นได้

“ลืมมันไปเถอะ ครอบครัวเราค่อนข้างพอเพียงน่ะ ไปไหนมาไหนยังเรียกแท็กซี่กันอยู่เลย ฉันเองยังไม่มีรถส่วนตัวเลยด้วยซ้ำ แล้วเธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง จำเป็นต้องใช้เฟอรารี่เชียวเหรอ?”

สิ่งนี้ทำให้หวางหลิงผิดหวังอย่างแรง นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้เขายกมือขึ้นตบอกกล่าวเสนอขึ้นว่า

“คุณผู้หญิง เดี๋ยวผมสั่งให้ลูกน้องขับรถไปส่งให้ดีกว่าครับ คันหนึ่งสำหรับคุณและคุณหนู ส่วนอีกคัน…”

ปัง!

มู่เซียวหยานหวาดฝ่ามือตบโต๊ะเสียงดังสนั่น

“พล่ามเสร็จรึยังห๊ะ!? บอกว่าไม่ต้องคือไม่ต้องไง! แล้วถ้าแกยังกล้าเรียกฉันว่าคุณผู้หญิงอีก ฉันจะทุบร้านแกเดี๋ยวนี้แหละ! เห็นฉันแก่ขนาดนั้นเลยรึไง!?”

“ขอโทษครับ ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ ครับ คะ-คุณ…คุณพี่สาว…ยังเด็กแถมยังสวยมากเลยครับ!”

หวางหลิงไม่สามารถทำให้หญิงสาวตรงหน้าขุ่นเคืองได้เลยแม้แต่น้อย ถ้ายังไม่อยากชะตาขาด เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากเป็นลูกไก่ในกำมือ

“เสี่ยวจื่อ กลับกันเถอะ!”

มู่เซียวหยานเดินถือกระเป๋าของเธอ พร้อมเอ่ยปากเรียกลูกสาวเดินจากไป

เหอจื่อถอนหายใจหนักเสียงยืดยาว คลี่ยิ้มแห้งอย่างขมขื่นใจกล่าวกับฉีเล่ยว่า

“อาจารย์ฉี เราไปกันเลยดีไหมค่ะ?”

เธอรู้สึกเศร้าใจไม่น้อยที่มีแม่แบบนี้

“อาจารย์ฉี?”

ส้นสูงของมู่เซียวหยานหยุดชะงักทันที ก่อนจะหันควับกลับมา ดวงตาคู่สวยประดุจลูกพีชของเธอจ้องฉีเล่ยเขม็งกวาดดูทั่วทั้งร่างกาย และแทบจะในทันทีทันใด น้ำเสียงของเธอพลันอ่อนโยนขึ้นผิดหูผิดตาจากก่อนหน้า

“อุ๊ย! คุณคืออาจารย์ฉีเหรอคะ? ดิฉันเองมักจะได้ยินเสี่ยวจือพูดถึงคุณอยู่บ่อยๆ ฮ่าฮ่า…อาจารย์ฉีนี่เป็นคนหน้าตาดีมากเลยนะคะ ดูใจดีมีอารมณ์ขัน แถมยังเป็นแพทย์ที่เก่งมากอีกด้วย…”

“มู่เซียวหยาน พูดแบบปกติได้ไหม?”

เหอจื่อดูหัวเสียอย่างมาก

มู่เซียวหยานกลอกตาใส่

“นี่แกรู้อะไรไหม? นี่เรียกว่าการสร้างสัมพันธ์อันดีกับว่าที่ลูกเขยในอนาคต!”

“เหอะ! ไม่ทราบว่าจะหาลูกเขยหรือจะหาพ่อใหม่ให้ฉันกันแน่?”

“เจ้าเด็กบ้า! เชื่อไหมล่ะว่าหลังกลับบ้านไปฉันจะตีแกให้ตาย! นี่ฉันอายุขึ้นเลขสามแล้วนะ เลขสามแล้ว! ถึงจะสวยหรือหน้าดูเด็กจนถูกคนอื่นเข้าใจผิดว่าเป็นพี่สาวก็เถอะ แต่ฉันก็เป็นแม่แกนะ!”

“นี่….”

เหอจื่อไม่อยากปล่อยให้แม่ตัวเองทำเสียหน้าต่อหน้าอาจารย์ฉีอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเธอจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า

“ไม่มีธุระอะไรแล้ว กลับเถอะ กลับกัน! ซูจง นายช่วยไปส่งแม่ฉันทีนะ ฉันจะตามอาจารย์ฉีกลับมหาวิทยาลัย”

“เอ่อ…คุณหนูเหอ ผมต้องรีบกลับไปกรมเพื่อรายงานตัวกับหัวหน้านะครับ คงจะไม่สะดวก…”

ซูจงคลี่ยิ้มกว้างรีบเข้าประจบประแจงเหอจื่อทันที ช่างเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี ใครจะไปกล้าอยู่กับมู่เซียวหยานสองต่อสองกัน!?

เหอจื่อกล่าวตอบอย่างไร้เยื่อไยว่า

“ก็ไปส่งแม่ฉันก่อนค่อยกลับไปรายงานตัวไง”

“ครับ…”

ซูจงอยากจะร้องไห้เสียงดังๆ ทว่ากลับไม่มีแม้กระทั่งน้ำตารินไหล

ทว่ามู่เซียวหยานกลับไม่ได้รีบร้อนที่จะจากออกไปไหน เธอพุ่งเข้าไปควงแขนฉีเล่ยและกล่าวเสียงหวานขึ้นว่า

“ฉันไม่กลับ จะรีบไปไหนกันห่ะ? อาจารย์ฉีค่ะ เรามานั่งคุยกันดีๆ ก่อนเถอะนะคะ”

‘ชิบหาย’ เสียงอุทานแรกดังขึ้นจากในหัวของฉีเล่ย อีกฝ่ายก็ได้ยินไปแล้วไม่ใช่เหรอว่า เขาเป็น ‘อาจารย์’ โดยปกติผู้ปกครองต้องมีความเกรงใจต่อตัวอาจารย์ของลูกตัวเองบ้างไม่มากก็น้อยไม่ใช่รึไง?

“คงไม่สะดวกเท่าไหร่น่ะครับ ผมต้องกลับไปจัดเตรียมการเรียนการสอนของวันพรุ่ง…”

“งั้นไปคุยกันต่อที่บ้านอาจารย์ดีไหมคะ?”

“เออ…งั้นคุยตรงนี้เลยดีกว่าครับ”

“ได้เลยค่ะ! อาจารย์ฉีคิดยังไงบ้างกับเสี่ยวจือ เธอไม่ได้มีดีแค่สวยอย่างเดียวหรอกนะคะ แต่เธอยังเป็นคนจิตใจดี ทั้งยังอ่อนโยน ดิฉันคิดว่าคุณสองคนน่าจะเข้ากันได้ในอนาคต”

“…”

ฉีเล่ยรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันใด

“จะว่าไปแล้ว คุณอาการเป็นยังไงบ้างครับ? ผมได้ยินมาจากเหอจื่อว่า คุณกำลังป่วยอยู่?”

มู่เซียวหยานหันควับจับจ้องลูกสาวตัวเองตาเขม็งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเหลียวกลับมาเอ่ยตอบอย่างยิ้มแย้มว่า

“เด็กคนนี้ช่างสังเกตจริงๆ ดิฉันคิดมาตลอดเลยว่า ลูกสาวของฉันไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ ไม่ยักรู้เลยว่า ความจริงแล้วจะใส่ใจดูแลกันขนาดนี้ ใช่ค่ะ ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ดิฉันรู้สึกปวดหัวมากเลย เธอคงเล่าอาการให้อาจารย์ฉีฟังหมดแล้วใช่ไหมคะ?”

“ปวดหัวเหรอครับ?”

ฉีเล่ยปั้นหน้างง

เหอจื่อแทบสำลักเมื่อได้ยิน เธอค่อยๆ เขยิบไปอยู่ด้านหลังฉีเล่ย และชี้ไปที่บริเวณท้อง พลางทำท่าทำทางคล้ายกับกำลังเจ็บป่วยเพื่อบอกใบ้

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว!”

มู่เซียวหยานเข้าใจในทันที

“ไม่ใช่แค่ปวดหัวนะคะ ฉันยังท้องอืดอีกด้วย”

เหอจื่อส่ายหัวให้สุดกำลัง พยายามบอกเธอว่าไม่ใช่ท้องอืด

มู่เซียวหยานสะดุ้งเล็กน้อย ก้าวฉับเดินไปดึงแขนของเหอจื่อเข้ามา เอ่ยกระซิบเสียงแผ่วว่า

“ไอ้ลูกบ้า นี่แกให้ฉันเป็นโรคอะไรกันแน่?”

“เอ่อ…หนูบอกไปว่า แม่อายเกินกว่าจะพูดออกไปตรงๆ เขาน่าจะสันนิษฐานว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์…”

“โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์?”

มู่เซียวหยานหนังตากระตุกอย่างแรง ขว้างกระเป๋าถือของตัวเองใส่หัวเหอจื่อ แหกปากโวยเสียงดังลั่นว่า

“นี่แกบอกว่าฉันเป็นโรคคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เหรอห๊ะ!?! มีโรคเป็นร้อยพันทำไมต้องให้ฉันเป็นโรคนี้ด้วย!! น่าขายหน้าจริงๆ! ทำไมฉันถึงให้กำเนิดคนอย่างแกมาได้?”

เหอจื่อรียยกมือขึ้นปิดป้องหัว พลางวิ่งไปหลบหลังโซฟา ณ มุมหนึ่ง พยายามกล่าวอธิบายไปว่า

“ก็ตอนนั้นฉันคิดไม่ออกหนิ! ไม่มีใครเขารังเกียจหรอก แค่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เองไม่ใช่เหรอ?”

คู่แม่และลูกสาวเริ่มเปิดฉากสมรภูมิรบขึ้นมาอีกครั้ง ปล่อยให้ชายทั้งสามคนยืนตัวแข็งทื่ออยู่แบบนั้น

ซูจงเริ่มสงสัยกับตัวเองแล้วว่า แม่ลูกคู่นี้ไม่น่าจะใช่ครอบครัวของหัวหน้า พวกเธออาจจะเป็นตัวปลอม หรือบางทีหัวหน้าที่เขารับใช้อยู่อาจจะเป็นตัวปลอมเช่นกัน ไม่อย่างนั้น ผู้ที่เป็นถึงระดับนายพลจะมาแต่งงานกับผู้หญิงแบบนี้ได้ยังไง? แล้วมีเหรอที่จะให้กำเนิดลูกสาวแบบนี้?

พอสังเกตเห็นสีหน้าท่าทางอันสุดแสนประหลาดใจของฉีเล่ย ใบหน้าสวยอันทรงเสน่ห์ของเหอจื่อก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เธอตะโกนบอกแม่ให้หยุดทันที

มู่เซียวหยานที่กำลังจิกผมของลูกสาวตัวเองก็เพิ่งตระหนักได้เช่นกัน ว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง เธอจึงหยุดการต่อสู้ลง จัดเผ้าจัดผมให้ลูกสาวตัวเองและกล่าวเสียงอ่อนขึ้นว่า

“อาจารย์ฉีไม่ต้องสนใจดิฉันหรอกค่ะ พวกเราแม่ลูกแค่เล่นกันเฉยๆ หุหุ…”

“ครับ เอ่อ…ผมไม่ได้ว่าอะไร…”

มู่เซียวหยานรีบเดินไปจับให้ฉีเล่ยนั่งลงบนโซฟาและเริ่มกล่าวขึ้นว่า

“อาจารย์ฉี การจะมาเป็นครูสอนนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยถือเป็นเรื่องที่ใช้พลังกายและพลังใจหนักมาก คุณต้องให้ความสำคัญกับอาหารที่รับประทาน ถ้ามีเวลาว่าง ก็มานั่งเล่นที่บ้านดิฉันได้นะคะ เดี๋ยวดิฉันจะทำซุปบำรุงกำลังให้ทาน”

“เหอะ เคยชิมซุปที่ตัวเองทำบ้างรึเปล่า?”

เหอจื่อเอ่ยประชดประชันขึ้นลอยๆ

“เจ้าเด็กคนนี้! ไม่พูดสักคำมันจะตายรึไง?”

“ได้ ได้! เอาเข็มกับด้ายมาสิ เดี๋ยวฉันอาสาเย็บปากให้!”

“ใจเย็นก่อนนะครับ ใจเย็นก่อน…”

ฉีเล่ยกลัวว่ายกที่สองระหว่งาคู่แม่ลูกจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงรีบกล่าวขัดจังหวะขึ้นทันที

“ถ้ามีเวลา เดี๋ยวผมไปแน่นอนครับ”

“น่ารักมากเลยค่ะอาจารย์ฉี อิอิ ถ้าอย่างนั้นดิฉันรบกวนไปส่งลูกสาวที่หอในด้วยนะคะ ส่วนแก! ซูจงไปส่งฉันด้วย!”

“ครับ…”

ซูจงเอ่ยตอบเสียงอ่อน สีหน้าครึ่งเป็นครึ่งตาย

“พวกเรามานี่เร็ว! ส่งแขก! ส่งแขก!”

หวางหลิงรีบไปเรียกพนักงานทั้งหมดมาพร้อมโค้งคำนับเตรียมนำส่งพวกมู่เซียวหยานออกจากร้านไป

เขาในขณะนี้สีหน้ายิ้มแย้มดูมีความสุขอย่างยิ่ง เดิมทีเขาคิดว่านี่จะต้องเป็นปัญหาใหญ่ที่ยากเกินกว่าจะแก้ไขแน่นอน แต่ใครจะไปคิดว่า แม่ของเด็กสาวคนนั้นจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นง่ายขนาดนี้ แถมเรื่องราวดังกล่าวก็จบลงโดยไม่มีใครได้รับบาดเจ็บอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้คงต้องจัดการกับพวกแก๊งของเปียวโต้วชุดใหญ่ ปัญหาทั้งหมดเกิดขึ้นจากไอ้คนกลุ่มนั้นกลุ่มเดียวเลย

ใครเขาสั่งให้ไปหาเรื่องคนที่ไม่ควรล้ำเส้นอย่างแม่ลูกคู่นี้กัน?

“โอ้ใช่แล้ว!”

พอเธอเดินออกไปถึงหน้าร้าน ทันใดนั้นเองมู่เซียวหยานก็หันควับกลับมาราวกับเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก

“ว่าไงครับนายท่าน มีอะไรให้รับใช้ครับ?”

ซูจงกล่าวตอบรับอย่างเชื่อฟัง เขาไม่อยากจะเรียกเธอว่าคุณนายหรือพี่สาว ก็เลยเหลือแค่คำว่านายท่านแล้วเท่านั้น

มู่เซียวหยานเหลียวกลับมาและมองดูป้ายสีสันสว่างสดใสหน้าร้าน จากนั้นก็มองไปที่หวางหลิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มว่า

“เตรียมเก็บข้าวเก็บของแล้วไสหัวไปได้เลย ร้านนี้ถูกสั่งปิดแล้ว”

“รับทราบครับ! พรุ่งนี้ผมจะสั่งให้คนเข้ามารื้อถอนทันที!”

ซูจงที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบยืนตัวตรง เอ่ยปากรับทราบคำสั่ง

หวางหลิงกับถึงทรุดลงกับพื้นทั้งน้ำตา

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset