ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 101 คิดบัญชีย้อนหลัง

ตอนที่101 คิดบัญชีย้อนหลัง

มู่เซียวหยานตกใจอย่างยิ่งกับเสียงตะโกนของลูกสาวตัวเอง เธอหันขวับจนรองเท้าส้นสูงที่ใส่มาพลิกจนขาบิดเกือบแพลง

เมื่อเธอได้เห็นลูกสาวของตนเองโบกไม้โบกมือเรียก ความหยิ่งผยองและแรงกดดันขุมใหญ่ที่ชักพามาด้วยก็พลันอันตรธานหายวับไปทันตา เธอรีบวิ่งถือกระเป๋าเข้าไปหาด้วยสีหน้าที่มีความสุขอย่างมาก

ผิวพรรณของผู้หญิงคนนี้ขาวนวลเป็นอย่างมาก ถ้าไม่นับรวมใบหน้าอันสุดแสนจะเย็นชาเมื่อครู่ เธอเป็นคนที่ยิ้มแล้วดูอ่อนหวานจนใจละลาย รูปลักษณ์ใบหน้าคล้อยกับเหอจื่อกว่า70% ดวงตากลมโต ขนตายาว สันจมูกโด่งได้รูป ส่วนที่แตกต่างกันจริงๆดูเหมือนจะเป็นทรงผม เหอจื่อจะไว้ผมตรง ในขณะที่มู่เซียวหยานจะดัดเป็นลอน ให้อารมรณ์คุณนายไฮโซกว่ามาก

ความประทับใจแรกที่ตราตรึงภายในใจของฉีเล่ยเลยก็คือ ใบหน้าอันงดงามและรูปร่างที่มีส่วนโค้งส่วนเว้าได้รูปอย่างสมบูรณ์แบบ กระทั่งตัวเขาเองยังไม่สามารถบอกอายุที่แท้จริงของเธอได้เลย หากคำนวณจากอายุของลูกสาว ผู้หญิงคนนี้ควรจะอยู่ในวัยสี่สิบ แต่ใบหน้าของเธอกลับดูอ่อนกว่าวัยมาก เอาเข้าจริงๆ ถ้าบอกว่าเป็นพี่สาวของเหอจื่อ เขาก็ยังเชื่อได้อย่างสนิทใจ สิ่งเดียวที่ทำให้เธอดูไม่เหมือนเด็กวัยรุ่นน่าจะเป็นเรื่องความสุขุมนุ่มลึก

“เธอเป็นคุณแม่ของเหอ…อ้าว?”

ฉีเล่ยประเดิมเอ่ยปากถามซูจงที่อยู่ข้างตัวก่อนทันที แต่ยังไม่ทันจะสิ้นเสียง เขากลับพบว่าอีกฝ่ายแอบย้ายที่นั่งไปอยู่อีกมุมหนึ่งของโซฟา แถมยังยกหน้าเมนูอาหารขึ้นมาปิดหน้าปิดตาไว้ด้วยความหวาดกลัว

เหอจื่อที่เห็นดังแบบนั้นก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง อาสาตอบแทนไปว่า

“ก็หวังว่าจะไม่ใช่”

ฉีเล่ยย้นคิ้วขมวดแน่น หมายความว่ายังไง? หวังว่าจะไม่ใช่?

ระหว่างเดินเข้ามาได้ครึ่งทาง ใบหน้าของมู่เซียวหยานก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นหมองหม่นทันที เธอชี้หน้าเหอจื่อและเริ่มแหกปากตะโกนบ่นเสียงดัง

“ยายเด็กบ้า! แต่ละครั้งที่โทรมาแม่เกือบหัวใจวายตาย! แล้วนี่ยังจะมาพูดแบบนี้อีกงั้นเหรอ!? การเป็นแม่ของเธอเนี่ยคิดว่าง่ายนักรึไง? ค่าเลี้ยงดูแกคนเดียวก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วอีกอย่างนะ แม่ส่งแกมาเรียน แต่ทำไมไม่รู้จักขยันอ่านหนังสือ มาเที่ยวที่แบบนี้ได้ยังไงห๊ะ?!”

ผู้หญิงคนนี้เดือดดาลเมื่อไหร่ก็ไม่ต่างจากกระสุนปืนใหญ่ หาเรื่องได้กับทุกคน เพิ่งจะเหยียบเข้ามาในร้านก็เริ่มร่ายยาวแล้ว

เหอจื่อกลอกตาค้อนใส่ไปหนึ่งที และเถียงกลับไปว่า

“มู่เซียวหยาน! อย่าลืมสิว่า ครั้งแรกที่มาเที่ยวแบบนี้ ใครเป็นคนพาฉันมาที่ล่ะ!?”

“หนอยแน่! ยังจะมาเถียงอีก! ตอนนั้นที่พาแกมา ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของฉัน!”

มู่เซียวหยานกล่าวโต้อย่างเดือดดาล พอตรงมาถึงตัวเหอจื่อ สีหน้าของเธอก็แปรเปลี่ยนเป็นความกังวลทันที ยื่นไม้ยื่นมือเข้ามาลูบๆคลำๆร่างกายของลูกสาวอย่างลวกๆและเอ่ยขึ้นว่า

“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

“ไม่เป็น! อย่ามาจับตัวฉัน!”

เหอจื่อปัดมือแม่ของเธอทิ้งทันที

“นี่! แกเป็นลูกฉันนะ ทำไมฉันถึงจะไม่มีสิทธิ์แตะเนื้อต้องตัวลูกตัวเองด้วยล่ะ?!”

ริมฝีปากของมู่เซียวหยานเบะขึ้นทันที

“ก็ดีแล้วที่แกไม่เป็นอะไร ฉันโทรบอกพ่อแกแล้ว ทำไมป่านนี้ยังไม่ส่งใครมาอีก! อะไรกันเนี่ย ใช้ไม่ได้เลยสักคน! ถ้าลูกสาวฉันเสียพรหมจรรย์ขึ้นมาจะทำยังไง?!! เห้ย! ไอ้พวกเวรนั่นยังไม่มาจริงๆเหรอ! เดี๋ยวแม่จะโทรหาอีก!”

ที่ โซฟามุมหนึ่งของห้อง ซูจงค่อยๆเลื่อนหน้าเมนูลงและเผยรอยยิ้มแห้งแก้เขิน สิ้นสภาพนายทหารมากฝีมือ

“คุณ…คุณนายผมอยู่นี่แล้วครับ”

“คุณนายอะไรของแก? เรียกฉันว่าพี่สิ! พี่สาว!”

“พะ-พี่สาว…”

“เออ แกหมดหน้าที่แล้ว จะมุดหัวหายไปไหนก็เรื่องของแก”

มู่เซียวหยานโบกมือปัดอย่างคร้านจะใส่ใจ กวาดสายตาคู่สวยมองไปรอบๆ แล้วจึงหันไปถามเหอจื่ออีกครั้งว่า

“แล้วไอ้ตัวไหนที่มันกล้าลวนลามแก? ลากคอมันออกมาเดี๋ยวนี้!!”

“ฉันบอกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ว่า อีกฝ่ายลวนลามฉัน?”

“ถึงแกไม่บอก ฉันก็รู้ ลูกสาวของฉันสวยขนาดนี้ ต้องมีไอ้พวกผู้ชายหื่นคิดเอาเปรียบแกแน่นอน ก็อย่างว่านะ ที่นี่มันสถานที่อโคจร”

มู่เซียวหยานเอ่ยขึ้นตามความเป็นจริง

“คุณผู้หญิงครับ เกรงว่าทั้งหมดจะเป็นการเข้าใจผิด แหะ แหะ…”

หวางหลิงคาดเดาถึงตัวตนของมู่เซียวหยานได้ทันทีที่ได้ยินบทสนทนาก่อนหน้า จึงรีบเข้าไปประจบประแจงพร้อมกล่าวอธิบายในทันที

มู่เซียวหยานชำเลืองหางตามองอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนกระซิบถามข้างหูเหอจื่อเสียงเบา

“นี่ใคร? อาจารย์ที่แกตกหลุมรักเหรอ? ดูแก่ไปหน่อยนะ”

เหอจื่อกล่าวตอบด้วยท่าทีกล้ำกลืนฝืนทนอย่างยิ่งว่า

“ไม่ใช่ นี่แหละเจ้าของKTVแห่งนี้ ตัวต้นเหตุเลย!”

ทันใดนั้นมู่เซียวหยานก็เดือดจัดขึ้นมาทันควัน เธอชี้หน้าใส่หวางหลิงตะโกนด่าชุดใหญ่ขึ้นว่า

“นี่แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร! กล้าดียังไงมารังแกลูกสาวฉันห๊ะ!? แล้วดูตอนนี้สิ พอรู้ตัวว่าผิดก็ทำมาประจบแข้งประจบขา คิดว่าจะทำให้ฉันพอใจได้รึไง? นี่เห็นฉันเป็นไอ้โง่อยู่งั้นเหรอ!? สมองน่ะสมอง…ยังมีอยู่ในกะโหลกใช่ไหม?!!”

“ผม…ผมขอโทษครับ”

หวางหลิงจุกจนพูดไม่ออก

“อ้าว? ทีตอนนี้มาพูดขอโทษ ตะกี้แกเพิ่งพูดเองไม่ใช่เหรอว่า เป็นเรื่องเข้าใจผิด? ไหนว่ามาสิ? เข้าใจผิดยังไง? พูดมา!”

มู่เซียวหยานยกมือทั้งสองข้างขึ้นเท้าสะเอว ตั้งท่าเสร็จสรรพเธอก็ยืนด่าต่อทันที

“แล้วช่วยดูตัวเองหน่อยว่าอายุปาเข้าไปเท่าไหร่แล้ว ทำผิดก็หัดยอมรับผิด ไม่ใช่พยายามอ้างโน่นอ้างนี่ไปเรื่อย แทนที่จะให้เหตุผลกับฉัน กลับพยายามบ่ายเบี่ยงบอกฉันว่าทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด เป็นนักเลงประสาอะไรทำไมใจขี้มดขนาดนี้ ถ้าแม้กระทั่งความรับผิดชอบยังไม่มี ก็ไม่ต้องเป็นมันหรอกเจ้าของสถานที่แบบนี้น่ะ! อายแทนเพื่อนร่วมอาชีพ!”

มาถึงจุดนี้…ฉีเล่ยเข้าใจทุกอย่างแล้ว

เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเหอจื่อถึงต้องพูดจาแบบนั้นออกไป สงสัยเธอจะไม่ต้องการมีผู้หญิงคนนี้เป็นแม่จริงๆ…

ถ้าเป็นฉีเล่ย เขายังไม่กล้าจินตนาการต่อเลยว่า ถ้าตัวเองมีแม่แบบนี้จะทำยังไง…

ในอีกด้าน หวางหลิงแทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองตายไปให้รู้แล้วรู้รอด

ตัวเขาถือได้ว่าเป็นงูยักษ์ประจำถิ่นในแถบนี้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีอำนาจบารมีพอที่จะสร้างแหล่งอโคจรซึ่งเป็นสถานที่รวมตัวของเหล่าปลาคราฟและมังกรอย่างKTVแห่งนี้ได้ ก่อนหน้านี้เขาสั่งให้หยานเสวียเหลียงโทรไปหาตำรวจที่รู้จักกันในกรม เพื่อพาเจ้าหน้าที่ตำรวจลงมาสะสางเรื่องนี้

แต่นี่รอมาเกือบชั่วโมงแล้ว ไหนล่ะตำรวจที่เรียกมา? เมื่อเห็นว่าคนที่สมควรปรากฏตัวมาในเวลาแบบนี้ที่สุดกลับหายหัว หวางหลิงก็ตระหนักได้ทันทีว่า เส้นสายที่เขามีมันไม่แข็งแกร่งพอที่จะแก้ไขปัญหาตรงหน้าได้

ในเมื่อรู้ดีแล้วว่า ตัวเองไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆได้อีก เขาจึงต้องแสร้งทำเป็นหลานชายตัวน้อยให้อีกฝ่ายยืนด่าอย่างที่เห็น เขายกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากไปหนึ่งทีและพยายามอธิบายต่อว่า

“คุณผู้หญิง นี่เป็นความเข้าใจผิดจริงๆครับ ในฐานะที่ผมเป็นเจ้าของที่นี่ ผมเองก็ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบด้วย มาตรการรักษาความปลอดภัยของทางร้านเราไม่ดีเท่าที่ควร จึงทำให้เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้นครับ ผมต้องกราบขออภัยคุณลูกค้าทุกท่านด้วยจริงๆครับ”

พูดจบหวางหลิงก็เหลือบไปมองเหอจื่อเล็กน้อย ยิ้มใจดีสู้เสือและพูดขึ้นว่า

“คุณหนู คุณชอบรถไหมครับ? พอดีสองวันก่อนผมเพิ่งไปเดินงานนิทรรศการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของแบรนด์เฟอรารี่มาพอดี มีรถสปอร์ตรุ่นหนึ่งน่าจะเหมาะกับสายหวานแบบคุณหนูมาก! ถ้าไม่มีปัญหาอะไร แจ้งสีที่อยากได้มาเลยครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะออกรถให้ แล้วนำไปส่งถึงหน้ามหาวิทยาลัยเลยครับ! ฮ่าฮ่า…ถือซะว่าเป็นค่าชดเชย…”

รถสปอร์ตเฟอรารี่แต่ละรุ่นราคาแตะล้านหยวนทั้งนั้น อาศัยแค่เงินทองในกระเป๋าของเจ้าของKTVลำพัง แน่นอนว่าเขาไม่มีปัญญาซื้อรถระดับนี้ได้แน่นอน แต่เพื่อแก้ไขปัญหาตรงหน้า ทำอะไรได้เขาก็ต้องทำไปก่อน

เหอจื่อส่ายหัวและชี้ไปที่หยานเสวียเหลียงที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์บาร์ด้านนอกและพวกรปภ.ที่แอบมองกันอยู่

“คนพวกนั้นตัวดีเลย! ฉันขอพูดอะไรสักอย่างนะ มาตรการรักษาความปลอดภัยของที่นี่แปลกดี ตอนที่พวกเราถูกพวกอันธพาลล้อม พวกรปภ.กลับไม่ออกมาห้ามหรือช่วยเหลืออะไรเลย แต่กลับซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนยืนดูอยู่เฉยๆ”

“ไม่ใช่แค่นั้นนะ”

เหอจื่อยังกล่าวต่ออีกว่า

“ยืนดูแบบนั้นจนอาจารย์ฉีอัดพวกอันธพาลลงไปกอง พอฝ่ายอันธพาลเสียเปรียบ พวกรปภ.กลับเพิ่งจะกระโดดออกมาห้ามปราม แถมยังบอกว่า พวกเราเป็นฝ่ายสร้างปัญหาอีก ยังขู่ว่าแจ้งตำรวจไปแล้วด้วย เหอะ เหอะ เห็นพวกเรารังแกกันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ? ถามจริงๆนะ คุณกับไอ้กลุ่มอันธพาลเป็นพวกเดียวกันใช่ไหม?”

แผ่นหลังของหวางหลิงเปียกชุ่มไปด้วยความเหงื่อเย็น แข้งขาตอนนี้กลับอ่อนยวบราวกับเส้นบะหมี่

“เอ่อ…ผมไม่รู้เรื่องพวกนี้จริงๆครับ”

ทันใดนั้นเองเขาก็หันกลับไปตะโกนลั่นว่า

“หยานเสวียเหลียง! มานี่!!”

“ครับบอสหวาง”

หยานเสวียเหลียงรีบเดินตรงเข้าไปทันที เนื้อตัวสั่นเทาหนักด้วยความหวาดกลัว เพราะตั้งแต่ที่ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของเหอจื่อ เขาก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ชีวิตของตนคงต้องจบเห่แน่แล้ว

หวางหลิงเอ่ยถามขึ้นทันที

“สิ่งที่คุณหนูคนนี้พูดไปเป็นความจริงไหม?”

เดิมทีหยานเสวียเหลียงคิดจะปฏิเสธปัดความรับผิดชอบ แต่ทั้งฉีเล่ยกับเหอจื่อต่างเต็มใจเป็นพยานให้กับเหตุการณ์นี้ แถมกล้องวงจรปิดภายในห้องนี้ก็เป็นหลักฐานมัดตัวได้ทุกอย่าง เขาไม่สามารถบ่ายเบี่ยงใดๆได้อีกต่อไป และก้มหน้ายอมรับความจริง

“ใช่ครับ ตอนนั้น…”

“ไม่จำเป็นต้องอธิบาย!”

เหอจื่อกล่าวเย้ยหยันขึ้นว่า

“จะบอกว่า ตอนนั้นตัวเองไม่รู้ว่า อีกฝ่ายจะมีภูมิหลังแบบนี้จริงไหม?”

เพียะ!!

หวางหลิงยกฝ่ามือตบหน้าหยานเสวียเหลียงฉาดใหญ่ จนใบหน้าของอีกฝ่ายบวมเป่งไปครึ่งฉีก

“ไอ้บัดซบ! แขกก็คือแขกไม่มีแบ่งแยกชนชั้น! ทำไมแกถึงเลือกปฏิบัติแบบนี้!!”

“ผมขอโทษครับ ผมขอโทษ ผมเองที่เป็นคนสั่งให้พวกรปภ.ไม่ต้องเข้าไปห้าม…”

หยางเสวียเหลียงกัดฟันก้มหน้ายอมรับผิด

อันที่จริงคนที่สั่งไม่ให้พวกรปภ.เข้าไปยุ่งก็คือตัวหวางหลิงเอง แต่เขาในฐานะลูกน้องจำเป็นต้องออกหน้ายอมรับผิดแทนเจ้านาย มิฉะนั้นถ้าเขาทำให้เหอจื่อขุ่นเคืองไปมากกว่านี้ มันอาจส่งผลกระทบร้ายแรงถึงอาชีพหน้าที่การงาน ดังนั้นเขาจึงต้องจำใจทำเพื่อความอยู่รอดของร้านและตัวเขาเอง

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset