ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 12 แก่นวิญญาณ

ตอนที่  1 2  แก่นวิญญาณ

นับเป็นความโชคร้ายของกวนไห่ผิง เพราะหลังจากที่เขาเดินทางไปตามที่ต่างๆทั่วโลก เพื่อเสาะหาผู้ที่รู้จักลูกทองแดงนี้ แต่กลับกลายเป็นว่า เขาคว้าน้ำเหลวมาโดยตลอด ส่วนตัวเองนั้นก็เหลือเงินอยู่ไม่มากนัก จึงได้เลือกมาเปิดร้านเล็กๆอยู่บนถนนค้าของเก่านี้

เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ กวนไห่ผิงก็เข้าไปจับมือของฉีเล่ยไว้ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ

“นายท่าน ตอนนี้ผมอายุสามสิบสองปีแล้ว เดิมทีผมคิดว่า ตัวเองคงจะมีชวิตอยู่ต่อได้อีกไม่เกินแปดปี หรือถ้าโชคร้าย ก็อาจจะะอยู่ได้อีกเพียงแค่ห้าปี ..”

“แต่นับว่าสวรรค์ยังเมตตา ในที่สุด ผมก็ได้พบคุณจนได้ ! ได้โปรดเถิดนะครับนายท่าน ได้โปรดช่วยชีวิตผมด้วย !”

“เอ่อ ..  ได้ๆๆ”

ฉีเล่ยถึงกับต้องยกมือเกาศรีษะด้วยความงุนงง แต่แล้วก็อดที่จะร้องถามออกไปด้วยความสงสัยไม่ได้

“แต่ผมขอถามอะไรหน่อย ทำไมคุณถึงได้มั่นใจนักว่าผมรู้จักลูกทองแดงนั่น ? ”

แววตาของกวนไห่ผิงเป็นประกายขึ้นมาทันที “ผมไม่มีทางมองผิดแน่ !  ผมเปิดแผงขายของเก่ามานานหลายปี มีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนที่พบเห็นลูกทองแดงนี่ แต่ทุกครั้งที่คนพวกนั้นได้ยินราคาที่ผมบอก พวกเขาต่างก็ด่าว่าผมเสียสติ !”

“มีเพียงนายท่านคนเดียวเท่านั้น ที่หลังจากได้ยินคำว่า ‘สิบล้าน’ ก็เอาแต่ครุ่นคิดอยู่เงียบๆ ท่าทางของคุณบ่งบอกชัดเจนว่า คุณรู้จักลูกทองแดงนี้จริงๆ !”

ฉีเล่ยได้แต่พยักหน้า ..

‘กวงไห่ผิงพูดถูก !’

ความจริงแล้วลูกทองแดงนั่นหาได้มีค่าราคาอะไรมากมายนัก ก็แค่ลูกบอลเล็กๆ ที่ทำจากทองแดงลูกหนึ่่งเท่านั้นเอง จะสวยงามหน่อยก็ตรงที่มีการแกะสลักลวดลายมังกรไว้ด้านนอกเท่านั้นเอง

เพียงแต่ ..  สิ่งที่อยู่ด้านในลูกทองแดงนั้นที่ไม่ธรรมดา เพราะมันคือ ‘แก่นวิญญาณ’ !

ภายใต้จักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ไร้ขอบเขตนี้ ทุกสรรพสิ่งล้วนมีจิตวิญญาณ และแก่นวิญญาณที่อยู่ภายในลูกทองแดงนี้ ก็เกิดจากการหลอมรวมของจิตวิญญาณมากมายนับไม่ถ้วน

ฉีเล่ยเองก็ไม่รู้ว่า แก่นวิญญาณนี้มาจากที่ใดกันแน่ แต่เพราะเขาได้ดวงตาแห่งการหยั่งรู้นี้มาจากบรรพชนสกุลเฉิน เขาจึงมั่นใจว่าสิ่งที่เห็นนั้นไม่มีอะไรผิดพลาดแน่

ลูกทองแดงนี้ต้องเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่งในโลกใบนี้แน่ !

ภายในร่างกายมนุษย์นั้น ส่วนที่เปราะบางที่สุดก็คือจิตวิญญาณ ซึ่งไม่อาจทานทนต่อการถูกกระทบกระทั่งได้แม้เพียงครั้งเดียว เมื่อใดที่จิตวิญญาณเสียหายแม้เพียงเล็กน้อย มนุษย์ก็จะเจ็บไข้ได้ป่วยทันที

ในทางตรงกันข้าม หากคนธรรมดาทั่วไปได้ดูดซับพลังงานจากแก่นวิญญาณนี้เข้าไป จิตวิญญาณของพวกเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก อีกทั้งยังจะได้รับประโยชน์อย่างอื่นอีกมากมายนับไม่ถ้วน ผู้ที่ได้รับพลังงานจากแก่นวิญญาณเข้าไป ไม่เพียงจะมีอายุยืนยาวนับร้อยปี แต่ยังจะมีภูมิต้านทานโรคได้อีกนับร้อยโรคด้วย

สำหรับฉีเล่ยแล้ว ลูกทองแดงนี้มีคุณประโยชน์อย่างมหาศาลทีเดียว !

ทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศที่สุด ซึ่งฉีเล่ยได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพชนสกุลเฉินนั้นก็คือ ความสามารถในการรักษาอาการเจ็บป่วยในระดับจิตวิญญาณนั่นเอง เพียงแต่ความเชี่ยวชาญในส่วนนี้ของเขานั้น ยังไม่สมบูรณ์พร้อมนัก

แต่หากเขาได้รับพลังงานจากแก่นวิญญาณนี้เข้าไป ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป !

เขาจะสามารถรักษาจิตวิญญาณ ผ่านทางร่างกายของผู้ป่วยได้ ซึ่งโรคเหล่านี้ ทางการแพทย์แผนปัจจุบันจะเรียกกันว่า โรคทางจิตเวช ..

หลังจากที่เห็นฉีเล่ยนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาไปนาน กวนไห่ผิงก็รีบยื่นลูกทองแดงในมือให้กับเขาทันที พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ขอเพียงนายท่านยอมรับปากช่วยชีวิตผม ผมยินดีที่จะมอบลูกทองแดงนี้ให้เป็นของตอบแทน !”

“…”

ฉีเล่ยได้แต่นิ่งอึ้งด้วยความตกตะลึง สายตาจับจ้องอยู่ที่ลูกทองแดงแน่นิ่ง จิตใจสั่นสะท้านรุนแรงอีกครั้ง

สมบัติที่ล้ำค่าเช่นนี้ หากจะพูดว่าเขาไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย ก็คงจะเป็นการโกหกตัวเอง ไม่เช่นนั้น ตอนที่กวนไห่ผิงบอกราคาสิบล้าน เขาก็คงไม่คิดที่จะกลับไปยืมเงินหวู่เฉินเทียนแน่ ..

แต่ถึงแม้ชายวัยกลางคนผู้นี้ จะไม่มอบลูกทองแดงให้กับเขาเป็นการตอบแทน ฉีเล่ยก็ยินดีที่จะช่วยอยู่แล้ว เพราะเขาเองก็ไม่ต้องการเห็นกวนไห่ผิงตายไปโดยไม่ได้ช่วยเหลืออะไร

ด้วยเหตุนี้ ฉีเล่ยจึงรีบบอกกวนไห่ผิงไปว่า “เถ้าแก่กวน คุณเก็บลูกทองแดงนี่ไว้ก่อนเถอะ !  ผมจะลองรักษาให้คุณก่อน ถ้าผมสามารถช่วยคุณได้จริงๆ ถึงตอนนั้นคุณค่อยมอบลูกทองแดงนี่ให้ผม ก็คงจะยังไม่สายเกินไปนัก แต่หากผมไม่สามารถรักษาได้ คุณก็เก็บลูกทองแดงนี้ไว้ เพื่อใช้หาคนที่จะสามารถรักษาคุณได้ก็แล้วกัน ..”

พบเห็นผลกำไร แต่ไม่ลืมความชอบธรรม พบเห็นความมั่งคั่ง แต่กลับไม่โลภโมโทสัน กวนไห่ผิงรู้สึกชื่นชมฉีเล่ยขึ้นมาอย่างมากมาย ..

‘แม้ชายหนุ่มผู้นี้จะรู้จักคุณค่าของลูกทองแดงเป็นอย่างดี แต่กลับรักษาท่าทีสงบนิ่งไว้ได้ ยึดมั่นในหลักการและคุณธรรม คนแบบนี้ต้องมีอนาคตที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน !’

“ตกลง ! ”

กวนไห่ผิงเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนพูดจาไม่รู้ความ เขาวางลูกทองแดงไว้บนโต๊ะ พร้อมกับร้องบอกฉีเล่ยทันที

“นายท่าน ! ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยลงมือรักษาให้ผมเลยจะได้มั๊ยครับ ?”

ฉีเล่ยตอบตกลง และวิธีการตรวจวินิจฉัยโรคของเขานั้น ก็ทำให้กวนไห่ผิงอดที่จะประหลาดใจไม่ได้

นั่นเพราะฉีเล่ยไม่ได้จับชีพจรคนไข้เหมือนเช่นหมอแผนจีนทั่วไป แต่กลับให้กวนไห่ผิงเปิดเสื้อผ้าขึ้น จากนั้น จึงได้กดจุดสำคัญสองสามจุดที่หน้าอก และแผ่นหลังของเขาแทน

หลังจากกดจุดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดฉีเล่ยก็บอกกับกวนไห่ผิงด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดว่า “อาการป่วยของเถ้าแก่กวนไม่ธรรมดาเลยจริงๆ !”

กวนไห่ผิงได้เตรียมใจไว้ก่อนแล้ว เขาจึงได้แต่พยักหน้า โดยไม่มีอาการตกอกตกใจจนเกินไปนัก พร้อมกับบอกฉีเล่ยไปว่า

“นายท่านได้โปรดบอกความจริงผม มา ได้เลย ผมพร้อม ฟัง  และยินดีที่จะรับรู้ความจริง !”

คิ้วทั้งสองข้างของฉีเล่ยขมวดเข้าหากัน ในขณะที่ตอบกลับไปว่า “ขอบอกตามตรง วรยุทธที่บรรพชนสกุลกวนฝึกฝนมาตั้งแต่โบร่ำโบราณนั้น แข็งแกร่งกว่าศิลปะการต่อสู้ในยุคนี้หลายร้อยเท่ามาก ..”

ฉีเล่ยหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อทันที “แต่ถึงอย่างนั้น วรยุทธนี้ก็มีจุดบกพร่องอยู่ดี ..”

“จุดบกพร่องที่ว่านี้ก็คือ การดึงพลังชี่ในร่างออกมาใช้ให้ได้มากที่สุดนั่นเอง ซึ่งการทำเช่นนั้น ก่อให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างหยินและหยางในร่างกาย .. ”

“ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า เหวียนชี่ หรือชี่แต่กำเนิดนั้น มีทั้งหยินและหยางซึ่งอยู่ร่วมกันภายในจุดตันเถียน และการไม่รบกวนเหวียนชี่คือสภาวะปกติ .. ”

“แต่วรยุทธของบรรพชนสกุลกวนนั้น เพื่อให้สามารถนำพลังออกมาใช้ได้เกินขีดจำกัด จึงต้องให้หยินและหยางในร่างปะทะกันอยู่ภายใน และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ชี่ในร่างพุ่งพล่าน เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปนานเข้า จึงก่อให้เกิดความเสียหายกับเส้นลมปราณทั่วร่าง จนกระทั่งก่อเกิดเป็นโรคภัยไข้เจ็บสาหัส .. ”

หลังจากนิ่งฟังฉีเล่ยเล่ามาถึงตรงนี้ กวนไห่ผิงก็ยิ่งรู้สึกอัศจรรย์ใจ และทึ่งในการวินิจฉัยโรคได้ลึกซึ้งของฉีเล่ยเป็นอย่างมาก จึงได้แต่เอ่ยถามอย่างระมัดระวังคำพูด

“ท่านหมอ .. ไม่ทราบว่าพอจะมีวิธีรักษาให้หายได้มั๊ยครับ ?”

ฉีเล่ยตอบกลับไปทันที “ผมคงบอกได้เพียงแค่ว่า ผมจะพยายามอย่างสุดความสามารถของตัวเอง ส่วนจะสำเร็จหรือไม่นั้น ก็คงยากที่จะยืนยันได้ อีกอย่าง ต่อให้ผมสามารถรักษาให้หายได้ ก็ใช่ว่าจะทำเสร็จภายในเวลาเพียงแค่วันหรือสองวัน ..”

เพียงแค่รู้ว่ามีความหวัง กวนไห่ผิงก็รีบพยักหน้า และร้องบอกฉีเล่ยด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ “ขอเพียงแค่มีหวัง ผมก็ดีใจแล้วครับ ! ส่วนจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่นั้น ผมยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับท่านหมออย่างเต็มที่ !”

ฉีเล่ยหยิบเข็มทองหางหงส์ที่อาวุโสหวู่มอบให้เมื่อวานนี้ออกมา พร้อมกับหันมองไปรอบๆ ก่อนจะยกมือขึ้นชี้ไปที่ม้านั่งข้างกำแพง แล้วบอกกับกวนไห่ผิงว่า

“คุณ ถอดเสื้อ ผ้า ออก แล้วไปนั่งที่ม้านั่งนั่นก่อน !”

กวนไห่ผิงทำตามคำสั่งของฉีเล่ยอย่างว่าง่าย เขาถอดเสื้อออก และเดินไปนั่งบนม้านั่งตัวนั้น พร้อมกับหันหลังให้กำแพง

“เถ้าแก่กวน ไม่ใช่แค่นั้น .. ”  ฉีเล่ยส่ายหน้าไปมา ก่อนจะพูดต่อทันที

“ถอดออกให้หมด ทั้งกางเกง  กางเกงชั้นใน  รองเท้า แล้วก็ถุงเท้าด้วย ..”

กวนไห่ผิงมีท่าทีเก้อเขินเล็กน้อย แม้ในร้านจะไม่มีใครแล้ว มีแค่ตนเองกับฉีเล่ยเพียงสองคนเท่านั้น แต่เขาก็ไม่คุ้นเคยกับการเปลือยกายต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ ..

แต่เพื่อการรักษา กวนไห่ผิงไม่สนใจอะไรอีก เขาลุกขึ้นยืน และจัดการถอดทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉีเล่ยพูดออกจากร่างทันที และเวลานี้ เขาก็อยู่ในสภาพเปลือยล่อนจ้อน นอนคว่ำหน้าอยู่บนม้ายาวตัวนั้น

ฉีเล่ยแอบสังเกตเห็นว่า ใบหน้าของเถ้าแก่กวนเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย ..

“…”

‘จะอายอะไรกัน ? ’

‘ผมไม่คิดจะทำอะไรคุณอยู่แล้ว ?  อีกอย่าง รสนิยมทางเพศของผมก็ปกติดี !

ฉีเล่ยเปิดกล่องหนังที่บรรจุเข็มทองออก สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม มือข้างหนึ่งโบกสะบัดไปมา พร้อมกับรวบเอาเข็มทองขึ้นมาพร้อมกันทั้งหมดสิบแปดเล่ม ชายหนุ่มหลับตาแน่นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ปากก็พึมพำท่องชื่อจุดฝังเข็มออกมา ..

จากนั้น ในเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตา นับตั้งแต่ศรีษะไปจนถึงฝ่าเท้าของกวนไห่ผิง ก็มีมีเข็มทองทั้งสิบแปดเล่มปักอยู่ตามจุดฝังเข็มทั้งสิบแปดแห่ง

เส้นลมปราณหลักทั้งสิบสองเส้นทั่วร่างของกวนไห่ผิงเวลานี้ มีเข็มทองปักอยู่เต็มไปหมด หลังจากเสร็จสิ้น ฉีเล่ยถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก พร้อมกับยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก

ในครั้งแรกนั้น กวนไห่ผิงยังไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย แต่หลังจากนั้น เขาก็เริ่มรู้สึกชาในบริเวณจุดฝังเข็ม กระทั่งผ่านไปชั่วสองลมหายใจ เขาก็เริ่มรู้สึกเหมือนร่างกายเบาขึ้น

ความรู้สึกก่อนหน้านี้ที่คล้ายกับว่า กระดูกทั่วร่าง และแขนขาหนักอึ้งนั้น ได้อันตรธานหายไปในทันที !

“พระเจ้า !! ”

กวนไห่ผิงถึงกับพึมพำออกมา “ท่านหมอ .. นี่ท่านหมอเป็นเซียนหรือยังไงครับนี่ ?”

ฉีเล่ยถึงกับหัวเราะออกมา ก่อนจะตอบกลับไปว่า “อย่าด่วนดีใจไปนักเถ้าแก่กวน !  นี่เป็นเพียงแค่ขั้นตอนผ่อนคลายเส้นลมปราณในร่างเท่านั้น การจะรักษาซ่อมแซม และทำให้หยินหยางในร่างสมดุลนั้น ยังต้องใช้เวลาอีกหลายวัน ..”

ในระหว่างที่พูดนั้น ฝ่ามือของฉีเล่ยก็เคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็ว และเพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวเข็มทั้งสิบแปดเล่มก็ถูกถอนออกจากร่างของกวนไห่ผิงแล้ว จากนั้นเขาก็สั่งให้ชายวัยกลางคนลุกขึ้นยืน และหมุนตัวช้าๆ ก่อนจะลงไปนอนราบอยู่กับพื้น

กวนไห่ผิงเองก็ทำตามคำสั่งของฉีเล่ยอย่างว่าง่าย ..

หลังจากนั้น ฉีเล่ยก็เริ่มทำการฝังเข็มต่อทันที และครั้งนี้ เข็มทองจำนวน  72  เล่ม ก็ถูก ฝังลงไปบนจุดฝังเข็ม บนใบหน้า แผ่นอก ท้องน้อย ขาทั้งสองข้าง ไปจนถึงฝ่าเท้าทั้งสอง ข้างด้วย

และเมื่อมาถึงขั้นตอนการฝังเข็มนี้ ร่างกายของฉีเล่ยก็ได้เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ !

แม้การฝังเข็มทั้ง  72  เล่มจะดูเหมือนง่ายดาย แต่ความจริงแล้ว ในการฝังเข็มคนๆหนึ่งนั้น แพทย์จะต้องใช้ทั้งกำลังภายใน และกำลังจิตที่สูงมาก ในการที่จะแทงเข็มแต่ละเล่มลงไปบนร่างของคนไข้ และเข็มทุกเล่มที่ปักลงไปบนร่างของคนไข้ ก็เสมือนนำเอาพลังชี่ในร่างของหมอไปด้วยเช่นกัน ..

เนื่องจากอาการเจ็บป่วยของกวนไห่ผิงนั้น เกิดจากพลังชี่ที่พุ่งพล่านในร่าง เพื่อทำให้พลังชี่ในร่างของชายวัยกลางคนผู้นี้สงบลง ฉีเล่ยจึงจำเป็นต้องฝังเข็มที่จุดฝังเข็มทั้งหมด  108 จุดทั่วร่าง ..

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset