ตอนที่125 เรื่องไร้สาระสิ้นสุด
“แน่นอนว่าต้องรู้จัก ก็มันเป็นชู้กับสามีฉันไง! ถ้ารู้ว่านังนี่ขโมยสามีเธอไป เธอจะไม่ตบมันเหรอ?”
ผู้หญิงคนนี้รีบเลี่ยงวลีตอบกลับไปทันที ขนาดตัวเธอเองยังไม่รู้ว่าทำไมเช่นกัน แต่กลับไม่กล้าแม้แต่จะสบสายตาของหลินชูวโม่เลยสักนิด ราวกับว่ากลัวจะถูกสายตาประดุจจิ้งจอกคู่นั้นมองผ่านอ่านความจริงออก
“ฉันกำลังพูดเรื่องของเธอ ไม่จำเป็นต้องวกเข้ามาเรื่องของฉัน ไม่อย่างนั้น…ถ้าเธอยังขืนเล่นลิ้นอยู่แบบนี้ เธออาจจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกต่อไป”
หลินชูวโม่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลางสังเกตเห็นแววตาสั่นคลอนรวนเรและดูไม่มั่นคง ก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะหลบสายตาไป
เมื่อใดที่มีคนไม่กล้าสบสายตากับคุณ นั่นแสดงว่าต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังซ่อนอยู่
“ฉัน…ฉันไม่รู้ว่าแกกำลังพูดถึงเรื่องอะไร”
ผู้หญิงคนนั้นแอบเหลืบสายตามองกลับไปทางด้านหลัง ก่อนจะค้นพบว่ารถตู้สีดำที่ขับพาเธอมา ค่อยๆเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดิมแล้ว ยิ่งเห็นแบบนั้น ก็ยิ่งทำให้เธอเป็นกังวลหนักเข้าไปใหญ่
“ได้ งั้นฉันเปลี่ยนคำถามก็แล้วกัน…ใครจ้างเธอมาใส่ร้ายเซียวเซียว?”
รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของหลินชูวโม่ ทว่ารอยยิ้มนั่นกลับไม่เหมือนรอยยิ้มแม้สักนิด…
ผู้หญิงคนนั้นยังคงดื้อดึงไม่ยอมปริปาก
“ฉันมาของฉันเอง! ไอ้เรื่องไปเป็นชู้กับผัวคนอื่น ฉันเกลียดที่สุด! ผู้หญิงไร้ยางอายแบบนี้ฉันต้องสั่งสอนด้วยตัวเอง!”
“คำแก้ตัวของเธอฟังไม่ขึ้นเลยนะ รู้ตัวรึเปล่า?”
หลินชูวโม่หัวเราะคิกคัก
“เสี่ยวเจา ช่วยโทรแจ้งตำรวจที บอกให้รีบมาพาผู้หญิงคนนี้ไปสอบสวนหาความจริงที ฉันไม่เชื่อหรอกว่า…หลังจากถูกจับไปที่สถานีตำรวจแล้ว เธอยังจะกล้าปากแข็งแบบนี้อยู่อีก”
ฟังจากคำพูดของหลินชูวโม่ ก็พอจะทราบได้ทันทีว่า เสี่ยวเจาคนนี้คงจะต้องมีเส้นสายอะไรบางอย่างเกี่ยวกับทางกรมตำรวจในปักกิ่งแน่นอน เพราะฉะนั้น การโทรเรียกตำรวจให้มาที่นี่จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
ถ้ารีบสืบสวนหาความจริงให้จบๆไปตอนนี้ พวกเธอคงจะได้รู้ตัวคนบงการก่อนที่เที่ยวบินของเซียวเซียวจะออก
ผู้หญิงคนนั้นเริ่มมีสีหน้าท่าทางตื่นตระหนกขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่ามีคนกำลังจะโทรแจ้งตำรวจ เพราะถ้าเธอถูกตำรวจจับขึ้นมาจริงๆ อาชีพของเธอจะต้องถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้นเธอเองคงต้องติดคุกหัวโตแน่นอน
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! มีคนจะทำร้ายฉัน!”
ในเมื่อไม่ทางเลือกอื่น ผู้หญิงคนนั้นจึงเริ่มร้องตะโกแหกปากเสียงดังลั่นเพื่อให้ฝูงชนโดยรอบหันมาสนอกสนใจ
เนื่องจากบริเวณนี้ป็นถนนคนเดินสายหลัก แค่เกิดเรื่องขัดแย้งอะไรขึ้นเพียงเล็กๆน้อยๆ ก็สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนแถวนั้นได้อย่างง่ายดาย
ทุกคนในบริเวณนั้นต่างก็พากันหันมองมาพร้อมรอยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ บ้างก็ชี้นิ้วมาทางนี้ บ้างก็ถึงกับหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปเพื่อแชร์ข่าวสารที่เกิดขึ้นข้างทางให้กับเพื่อนๆและครอบครัวดู หรือไม่ก็เอาไปโพสต์ลงบนโลกโซเชียล
กลุ่มที่กำลังมีเรื่องอยู่นี้มีแต่สาวๆสวยๆทั้งนั้น เรื่องแบบนี้ใครบ้างจะไม่สนใจ?
มีคำกล่าวว่า เพศหญิงมักดึงดูดความสนใจของฝูงชนได้มากกว่าเพศชายเสมอ และฝูงชนเหล่านี้ไม่ได้มุงดูเพื่อเรียกร้องหาความชอบธรรมหรือเพื่อจะช่วยเหลือ แต่ที่ทุกคนมารวมตัวกันแบบนี้ สิ่งแรกที่อยู่ในหัวคือ รับชมเพื่อ‘ความบังเทิง’ เพราะท้ายที่สุดนี่มันไม่ใช่เรื่องของพวกเขา
หลังจากร้องตะโกนอยู่สักพักใหญ่ ผู้หญิงคนนั้นก็ตระหนักได้ว่า ไม่มีใครยอมออกหน้ามาช่วยเธอเลย ภายในช่วงเวลาที่สิ้นไร้ไม้ตอกแบบนี้ เธอจึงต้องฝากความหวังไว้กับรถตู้สีดำเท่านั้น
“ช่วยด้วย! พี่สาม! ช่วยหนูด้วย!”
ผู้หญิงคนนั้นรีบหันไปโบกมือให้กับคนที่อยู่บนรถตู้ทันที ซึ่งเธอทราบดีว่าอีกฝ่ายกำลังเฝ้ามองเหตุการณ์ตรงนี้ผ่านกระจกสีดำด้านหลังตลอดเวลา
แต่ทว่า…กลับไม่มีใครเดินลงมาจากรถเลยสักคน ทุกคนในรถตู้ยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับตัว
หลังจากที่ได้ยินแบบนั้น กลุ่มสาวๆต่างก็เบนความสนใจไปที่รถตู้สีดำแทนทันที
“ใครคือพี่สาม?”
หลินชูวโม่จ้องเขม็งไปทางรถตู้สีดำ พร้อมกับร้องถามหยิงสาวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ไม่รู้ ฉัน…ฉันไม่รู้…”
“ฉันอยู่แล้วว่าต้องมีใครสักคนจ้างเธอมาแน่ๆ พอหลุดปากออกมาแบบนี้ก็ต้องแก้ตัวเป็นธรรมดา”
หลินชูวโม่ปรายหางตามองไปทางผู้หญิงคนนั้น แต่ก็ไม่ได้ปริปากถามอะไรอีกต่อไป
“พวกคุณรออยู่ตรงนี้แหละ ค่อยเฝ้าผู้หญิงคนนี้ไว้ให้ดี อย่าให้หนีไปไหนได้ เดี๋ยวผมจะเดินไปดูเอง”
รถตู้คันสีดำไม่ได้หยุดนิ่งซะทีเดียว แต่ค่อยๆเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเป็นระยะๆ ฉีเล่ยจึงจำเป็นที่จะต้องเดินเข้าไปดูใกล้ๆด้วยตัวเอง
แต่หลินชูวโม่กลับคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้แน่น
“อย่าโง่ไปหน่อยเลย ถ้านายเดินเข้าไปใกล้แบบนั้น พวกมันก็คงเหยียบคันเร่งหนีไปแน่ๆ สองขาจะไปสู้สี่ล้อได้ยังไง?”
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ชายผมทองที่มือถือกล้องก็กำลังมองผ่านกระจกด้านหลังอยู่ ก็ได้หันไปหาชายหัวโล้นที่นั่งอยู่เบาะข้างๆและเอ่ยถามขึ้นว่า
“พี่สาม เราควรทำยังไงต่อไปดี? ต้องกลับไปรับผู้หญิงคนนั้นกลับมาไหม? นี่ถ้านังนั่นถูกลากตัวเข้าสถานีตำรวจจริงๆ พวกเราไม่ซวยกันหมดเหรอ?”
“แป๊ปนึง”
ชายหัวล้านตอบกลับเสียงเย็น
สักพักเขาก็หยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อและกดโทรออกอย่างรวดเร็ว
“ว่าไงน้องสาม จัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”
“หัวหน้าครับ พวกเราทำพลาด นังนั่นยังไม่ทันได้ตบหน้าถงเซียวเซียวเลย ก็มีคนเข้ามาห้ามไว้ซะก่อน ตอนนี้ดูเหมือนมีคนกำลังโทรแจ้งตำรวจให้มาจับเธอครับ”
“ไอ้สวะ! ห่วยแตก! งานง่ายๆแค่นี้ยังทำไมสำเร็จ! เสียดายเงินที่เลี้ยงดูพวกแกจริงๆ!”
“ประทานโทษด้วยครับหัวหน้า”
ชายหัวล้านเอ่ยขอโทษเสียงอ่อย
“เราควรพาเธอกลับมาไหมครับ? ผมกลัวว่าถ้าเธอถูกตำรวจจับไป ทางเราจะซวยไปด้วย…”
คนที่อยู่ปลายสายเงียบนิ่งไปสักครู่เหมือนว่ากำลังครุ่นคิดอยู่ ก่อนจะตอบกลับไปว่า
“ไม่ต้อง ปล่อยให้นังนั่นโดนจับไป แล้วนายก็ไปมอบตัวซะ อ้างไปว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด จนทำให้เรื่องบานปลายแบบนี้ ที่เหลือเดี๋ยวฉันให้เพื่อนในสถานีตำรวจจัดการเอง”
“ครับหัวหน้า”
ชายหัวโล้นรับคำสั่ง
หลังจากวางสายไปแล้ว เขาก็โน้มตัวไปสั่งคนขับที่อยู่ด้านหน้าสั้นๆแต่ได้ใจความว่า
“ขับออกไป”
คนขับรถตู้คันนี้เป็นชายร่างผอมบาง ทันทีที่ได้ยินคำสั่งของชายหัวโล้น เขาก็รีบเหยียบคันเร่งขับหนีออกไปทันที
“พี่สาม! อย่าทิ้งหนูไว้แบบนี้! พี่สาม! พี่ต้องช่วยหนูนะ!!”
ขณะที่รถตู้คนนั้นแล่นออกไป ผู้หญิงคนนั้นก็เริ่มแหกปากกรีดร้องลั่นสุดเสียง
รถตู้เลี้ยวขวาหายวับไปตรงหัวมุมเข้ากลมกลืนกับการจราจรที่แสนเร่งด่วนใจกลางเมืองอย่างไร้ร่องรอย ผู้หญิงคนนั้นถึงกับเสียสูญ เธอทิ้งตัวทรุดนั่งลงกับพื้นและเริ่มร้องห่มร้องไห้ออกมาชุดใหญ่ราวกับคนหมดอาลัยตายอยาก
เธอรู้ตัวดีว่า ตอนนี้ตัวเองได้ถูกทอดทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อได้รู้ว่าตัวเองเป็นเพียงแค่เบี้ยตัวหนึ่งในกระดานหมากรุก และคนพวกนั้นก็ไม่คิดที่จะช่วยเหลือเธอเลย ปล่อยให้เธอต้องเผชิญหน้ากับปัญหาตามลำพัง เธอก็ได้แต่เจ็บใจและยากที่จะทำใจยอมรับได้จริงๆ
เธอเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง! ที่มีหัวใจ! มีความรู้สึก!
ไม่นานนัก เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เดินทางมาถึง
ชายหนุ่มนอกเครื่องแบบคนหนึ่งกระโดดลงมาจากรถตำรวจแทบจะในทันที เขารีบวิ่งไปหาเสี่ยวเจาและเอ่ยถามขึ้นโดยไวว่า
“น้องเจา นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
เสี่ยวเจาชี้ไปที่ผู้หญิงคนนั้นที่นั่งร้องไห้อยู่กลางพื้นพร้อมตอบกลับไปว่า
“เราสงสัยว่าเธอถูกจ้างให้มาทำร้ายเพื่อนนางแบบของฉัน คงจะหวังทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงน่ะ ช่วยพาเธอกลับไปสอบสวนหาตัวคนบงการเรื่องนี้ให้ที”
ชายหนุ่มเหลือบมองผู้หญิงคนนั้นแวบหนึ่งและยิ้มตอบว่า
“วางได้ใจน้องเจา ผมจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน”
“ได้ ได้ กลับไปทำงานต่อเถอะ”
เสี่ยวเจาโบกมือลา
“อืม โชคดี ถ้ามีอะไรก็โทรมาได้ตลอดเลยนะ เอ่อน้องเจา…ฝากบอกผู้บัญชาการหงด้วยนะครับว่า ถ้าผมมีเวลาว่างจะขออนุญาตไปเยี่ยมท่านสักหน่อย”
ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มให้ หลังจากพูดคุยกันสองสามคำเขาก็โบกมือลา และเดินไปสั่งให้ตำรวจในเครื่องแบบประมาณสองถึงสามคน ให้เข้าไปจับกุมตัวผู้หญิงคนนั้นแล้วพาขึ้นรถออกไปทันที
“เสี่ยวเจา หนุ่มคนเมื่อกี้เป็นใครน่ะ? เขาดูเคารพเธอมากเลย เฮ้ออ…เป็นคนคนสกุลหงนี่มันสุดยอดจริงๆ”
หนึ่งในก๊วนสาวเอ่ยปากหยอกล้อ เสี่ยวเจาคือชื่อที่เพื่อนสนิทของเธอเรียกกันเอง ซึ่งเธอมีชื่อจริงคือ หงเจา
“อือหือ ไม่ทราบว่าในปากเลี้ยงสุนัขไว้กี่ตัวจ๊ะ? ขยันกัดเหลือเกิน เขาเป็นเด็กปั้นเก่าของพ่อฉันเอง ตอนนี้ได้ดิบได้ดีในสายงานตำรวจไปแล้ว ถ้าไม่เคารพฉันสิแปลก”
เสี่ยวเจาหัวเราะคิกคัก
เมื่อฝูงชนเห็นว่า ไม่เหลืออะไรให้สาระแนต่อแล้ว พวกเขาก็ค่อยๆแยกย้ายกันออกไป
หลินชูวโม่เดินกลับมาถามว่า
“เซียวเซียว เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
“ไม่เป็นไร”
เซียวเซียวส่ายหน้าไปมา สีหน้าของเธอดูโศกเศร้าเล็กน้อย
“ตั้งแต่ฉันเข้ามาในวงการ ก็เตรียมใจไว้อยู่แล้วว่าสักวันคงต้องเจอเรื่องทำนองนี้ ที่ผ่านมาเคยแต่ได้ยินพวกรุ่นพี่มาแชร์ประสบการณ์ให้ฟัง แต่คราวนี้โดนกับตัวเอง ฉันไม่รู้จักผู้หญิงคนนั้นจริงๆนะ”
“ฉันรู้ เธอไม่มีทางรู้จักผู้หญิงแบบนั้นได้หรอก”
หลินชูวโม่กล่าวต่อว่า
“แค่เห็นก็รู้แล้วว่า ต้องมีใครจ้างเธอมาอีกที”
“ใครจ้างกัน? ตั้งแต่มาปักกิ่งฉันยังไม่เคยมีเรื่องกับใครเลยนะ”
ถงเซียวเซียวร้องถามด้วยสีหน้างุนงง
หลิวชูวโม่กลอกตามองบนอยู่รอบหนึ่ง
“ก็เธอเพิ่งปฏิเสธผู้ชายที่ชวนดื่มคนนั้นไปไม่ใช่เหรอ? นี่ยังไม่ได้เรียกว่ามีปัญหาอีกงั้นเหรอจ๊ะ?”
“ห๊ะ? เป็นพวกนั้นหรอกเหรอ?”
“มีความเป็นไปได้”
หลินชูวโม่พยักหน้าและกล่าวว่า
“เซียวเซียว ตอนที่เดินทางกลับระวังตัวให้มากๆหน่อยก็ดี อย่าติดต่อกับคนพวกนั้นอีกเลยเป็นดีที่สุด เข้าใจไหม?”
“ค่ะ เข้าใจแล้ว ในไต้หวันไม่มีใครกล้าทำเรื่องเผด็จการพวกนี้อยู่แล้ว”