ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 128 เจอไวรัส

ตอนที่128 เจอไวรัส

หลังจากปลีกตัวออกจากหลินชูวโม่มาได้ ฉีเล่ยก็เดินทางกลับไปยังบ้านตระกูลหลี่โดยอาศัยแท็กซี่ ตอนนี้ก็เป็นเวลาสองทุ่มพอดี

หลี่ฮั่วเฉินที่กำลังนั่งจิบชาอยู่ในห้องนั่งเล่นนั้น เมื่อเห็นฉีเล่ยเดินเข้ามาในบ้านก็รีบวิ่งไปออกไปรับทันที

“ฉีเล่ย ในที่สุดเธอก็กลับมาแล้ว! นี่ถ้าเธอกลับช้ากว่านี้ ฉันคงจะโทรไปแจ้งตำรวจแล้วล่ะ”

“โทรเข้ามือถือผมไม่ได้เหรอครับ?”

ฉีเล่ยหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง ถึงได้รู้ว่าโทรศัพท์มือถือของตัวเองปิดอยู่

เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าอันวิตกกังวลของหลี่ฮั่วเฉิน ฉีเล่ยก็เอ่ยถามขึ้นว่า

“อาวุโสหลี่ เกิดอะไรขึ้นครับ?”

หลี่ฮั่วเฉินรีบพาฉีเล่ยมานั่งคุยกันบนโซฟา เขารินชาให้ตัวเองก่อนจะรินให้อีกฝ่าย ชายชราถอนหายใจเฮือกใหญ่ทีหนึ่ง แล้วจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนว่า

“ตาแก่หลินโทรมาหาฉันวันนี้ แต่ฉันไม่ได้สนใจเขาเลย เพราะงานในโรงพยาบาลมันค่อนข้างยุ่งมาก กว่าจะนึกได้อีกทีก็เย็นแล้ว แต่พอโทรกลับไปถามว่ามีอะไร ตาแก่ก็บอกว่าเธอโดนไล่ออกจากมหาวิทยาลัย นี่เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอ?”

“ใช่ครับ ผมโดนไล่ออก”

ฉีเล่ยหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบพลางหัวเราะเสียงขื่น

หลี่ฮั่วเฉินร้องออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาโกรธเกรี้ยว

“นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน? คนพวกนั้นเอาแต่สนใจเรื่องของตัวเอง ดีดพิณเล่นแง่กันอยู่แบบนี้ ทั้งๆที่มหาวิทยาลัยอื่นต่างก็กระหายอยากจะได้อาจารย์ที่มีความสามารถไปสอน แต่ที่นี่กลับผลักไสคนเก่งๆออกไปหน้าตาเฉย ฉันไม่ได้พูดเข้าข้างเธอเลยนะฉีเล่ย เธอเป็นคนที่มีความสามารถด้านการแพทย์ที่น่าทึ่งมาก เธอมีคุณสมบัติมากพอที่จะขึ้นเป็นหัวหน้าภาควิชาแพทย์แผนจีนได้ด้วยซ้ำไป! แต่กลับมาถูกไล่ออกได้ยังไงกัน!”

ฉีเล่ยหัวเราะตอบไปว่า

“อาวุโสหลี่ ถ้าผมขึ้นเป็นหัวหน้าภาคสาขาจริงๆ ไม่ใช่ว่าจะโดนข้อครหาหนักกว่าเดิมเหรอครับ?”

“….”

หลี่ฮั่วเฉินนิ่งอึ้งถึงขนาดพูดไม่ออกไปชั่วชณะ เขาได้แต่ถอนหายใจเสียงดังทิ้งท้ายก่อนจะนิ่งเงียบไปเฉยๆ

ไม่ว่าฉีเล่ยจะไปทำงานที่ไหน หรือว่าจะดำรงตำแหน่งอะไร สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมีวุฒิการศึกษา

ก็งเพราะแบบนี้ยังไงล่ะ ถึงแม้มนุษย์บนโลกจะยังคงเกิดมารุ่นต่อรุ่น แต่สถานศึกษากลับค่อยๆล่มสลายหายไปทีละน้อย

กฎระเบียบสามารถช่วยเหลือผู้คนได้ก็จริง แต่ในบางครั้งมันก็สามารถทำร้ายผู้คนได้เช่นกัน

ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับว่าผู้มีอำนาจใช้กฎนั้นจะใช้มันไปในทิศทางใด

ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดถึงเรื่องดังกล่าวอยู่นั้น หลี่ฮั่วเฉินก็พูดขึ้นมาคำหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายโมโหกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก

“ไม่ต้องกังวลไป ตาแก่หลินบอกกับฉันว่า เขาจะพยายามคิดหาหนทางแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ให้กับเธอเอง ส่วนฉันก็จะช่วยอีกแรง ถ้าสุดท้ายแล้วไม่สามารถทำอะไรได้เลยจริงๆ เธอก็มาทำงานในโรงพยาบาลพันธมิตรปักกิ่งได้ ฉันยังคงดำรงตำแหน่งประธานบริหารใหญ่ ฉันเองก็อยากจะรู้นักว่า ยังมีใครกล้าคัดค้านอะไรอีกไหม!”

“อาวุโสหลี่ครับ ผมไม่ได้กังวลเรื่องนี้เลย เพราะฉะนั้นคุณเองก็ไม่ควรจะต้องมานั่งกังวลเรื่องนี้เหมือนกัน เมื่อเวลานั้นมาถึงย่อมมีหนทางให้เลือกเดินต่อเสมอ และผมย่อมรู้ดีว่าสิ่งไหนดีที่สุดสำหรับตัวเอง”

ฉีเล่ยยิ้มให้พร้อมกล่าวปลอบโยนอีกฝ่าย เขาดูใจเย็นอย่างมากไม่มีทีท่าร้อนใจเลยจริงๆ

แต่กลับตรงข้ามกัน การที่หม่ารุ่ยล้างแค้นเขากลับแบบนี้ มันยิ่งปลุกเร้าจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ภายในใจของฉีเล่ยให้ตื่นขึ้นมาแทน

อยากจะไล่ฉันออกมากขนาดนั้นเลยเหรอ? เสียใจด้วยนะ…แต่ฉันยังไม่อยากไป ไม่ใช่แค่จะไม่จากไปเท่านั้นนะ แต่ฉันจะกลับมาและทำให้ดีดียิ่งกว่าเดิมด้วย!

“อืม ฉันไม่เป็นไรแล้ว”

น้ำเสียงของหลี่ฮั่วเฉินฟังดูดีขึ้นมาก

“นี่เธอกินอะไรมารึยัง? เดี๋ยวฉันจะให้คนอุ่นอาหารให้”

“ไม่เป็นไรครับ ผมกินมาแล้ว”

“อืม ถงซีรออยู่ชั้นบน ขึ้นไปคุยกับเธอหน่อยนะ ตลอดวันมานี้ถงซีโทรหาเธอไม่หยุดเลยแต่ก็ไม่ติดสักที หลานสาวของฉันคงจะเป็นห่วงเรื่องที่เธอโดนไล่ออกมาก”

“ครับ”

ฉีเล่ยลุกขึ้นจากโซฟาและเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองทันที

ฉีเล่ยยืนลังเลอยู่หน้าประตูห้องของหลี่ถงซีครู่หนึ่ง ใจหนึ่งก็ได้แต่ถามตัวเองว่าควรเคาะเรียกดีไหม อีกใจก็คิดว่าควรจะกลับเข้าห้องไปอาบน้ำก่อนดีกว่า?

เพราะก่อนหน้านี้ตัวเขาถูกรายล้อมไปด้วยกลุ่มสาวๆตลอดแทบทั้งวัน ย่อมเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่บนเสื้อผ้าของเขาจะมีกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงติดตามเนื้อตัวมาด้วย

อาบน้ำให้เสร็จแล้วเปลี่ยนชุดใหม่ก่อนดีกว่าแล้วค่อยมา…

เมื่อคิดได้แบบนั้น ฉีเล่ยจึงกลับเข้าไปในห้องจัดการชาร์จแบตมือถือ และเปิดแล็ปท็อปบนโต๊ะทันที

หลังจากเปิดเครื่อง ฉีเล่ยก็คลิกเข้าไปที่ไอคอนรูปเพนกวินอย่างรวดเร็ว

เขาป้อนหมายเลขโทรศัพท์และรหัสเข้าไป เพื่อเชื่อมต่อกับระบบ

[อาจารย์ฉี! นี่หนูเองนะคะ หยวนหยวน^^]

[อาจารย์ฉี เพิ่มหนูเป็นเพื่อนด้วย!]

[อาจารย์ฉี เดาสิว่าฉันเป็นใคร อิอิ ^0^]

[อาจารย์ฉี…]

ตามที่คาดไว้ไม่มีผิด ลูกศิษย์ของเขากลุ่มนี้ไม่เคยทำให้ฉีเล่ยผิดหวังเลยจริงๆ หลังจากสิ้นสุดคลาสเรียนไป สิ่งแรกที่พวกเขาลงมือทำก็คือการเพิ่มฉีเล่ยเป็นเพื่อนในแอปQQ ของตัวเอง

ฉีเล่ยนั่งกดรับเพื่อนอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ไม่นานหลังจากนั้นรายชื่อเพื่อนของเขาในQQก็มีมากถึง50รายชื่อ

[ออนแล้วเหรอ?]

เจ้าของแชทดังกล่าวที่จู่ๆก็เด้งขึ้นมาบนหน้าจอมีชื่อว่า‘คลาร่า’

[คุณคือใครเหรอครับ?]

ฉีเล่ยใช้นิ้วจิ้มแป้นพิมพ์ทีละตัวสองตัวด้วยท่าทางเงอะๆงะๆ เขาไม่ค่อยถูกกับพวกเทคโนโลยีเท่าไหร่นัก

[หลี่ถงซี]

ฉีเล่ยตกใจเล็กน้อย เขาไม่คิดเลยว่า เธอจะทักมาคุยกับเขาบนโลกออนไลน์แบบนี้

ฉีเล่ยพิมพ์ตอบไปว่า

[ฮ่าฮ่า ผมมาถึงห้องแล้ว]

หลี่ถงซีตอบกลับ

[ฉันรู้]

ฉีเล่ยพิมพ์ถามต่อทันทีว่า

[แล้วคุณโทรหาผมมีอะไรรึเปล่าครับ?]

หลี่ถงซีตอบกลับไปว่า

[ตอนที่ฉันกลับมาถึงบ้านช่วงสายๆ ก็ได้ยินว่านายถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย มันทำให้ฉันโกรธมากที่นายโดนปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมแบบนี้ หลังจากนั้นไม่นานอธิการบดีหลินก็โทรมาบอกว่า เขากับปู่ของฉันกำลังคิดหาวิธีช่วยอยู่ นายไม่ต้องเครียดไปนะ ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น]

ในท้ายที่สุดนี้ ฉีเล่ยก็เข้าใจได้ทันทีว่า ทำไมเธอถึงต้องการพูดคุยกับเขาผ่านQQ เพราะหลี่ถงซีเป็นผู้หญิงที่แสดงความรู้สึกและพูดไม่เก่ง เวลานี้ที่เธออยากปลอบใจเขา ก็เลยจำเป็นต้องพิมพ์ผ่านทางออนไลน์แทน

เมื่อคิดได้แบบนั้น ฉีเล่ยก็เกิดความสงสัยขึ้นว่า ผู้หญิงคนนี้เปิดคอมพิวเตอร์รอเขาออนไลน์บนQQมานานแค่ไหนแล้ว?

ฉีเล่ยพิมพ์ตอบไปว่า

[ไม่ต้องห่วง ผมสบายดี]

ทันใดนั้นเอง เพื่อนคนหนึ่งที่ชื่อ‘จอมเทพโอสถ’ก็ทักเข้ามาหาฉีเล่ย

[จารย์ๆ นอนยังครับ? อิอิ รู้นะว่ายังไม่นอน ผมมีอะไรเด็ดๆมาโชว์ด้วย!]

จากนั้นอีกฝ่ายก็ส่งลิงก์เว็บไซต์อันหนึ่งเข้ามาในกล่องข้อความ

ฉีเล่ยไม่ได้คิดอะไรมากและกดเข้าไปตามลิงก์ที่ส่งมาให้ทันที

….

ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ทันทีว่า เนื้อหาภายในเว็บไซด์ที่ลูกศิษย์ส่งมาให้นั้นช่างน่าสนใจเป็นอย่างมากทีเดียว โดยเฉพาะชายชาตรีอย่างเรา นั่นเพราะมันเป็นลิงก์ของเว็บโป๊ มีสาวสวยสวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นอยู่นับสิบ แต่ละคนนั้นทรวดทรงเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่ยากเกินจะหักห้ามใจ

มุมปากของฉีเล่ยถึงกับกระตุกอย่างแรง พลางคิดกับตัวเองไปว่า

‘ทำไมเด็กสมัยนี้ถึงมีความคิดสกปรกจังนะ? ในหัวมีแต่เรื่องไร้สาระรึไงกัน?’

จากนั้นเขาก็ก้มดูต่อไป…

ยังไงซะ…เขาก็ยังเป็นแค่ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง จะไม่ให้มีอารมร์ความรู้สึกคงเป็นไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น นับตั้งแต่ที่เขาได้สานความสัมพันธ์‘ลึกซึ้ง’กับเฉินอวี้หลัว เขาก็เพิ่งจะเคยได้ลิ้มรสชาติของหญิงสาวเป็นครั้งแรก อีกทั้งตอนนี้เขาก็ห่างบ้านมาเกือบเดือนแล้ว คงไม่มากเกินไปหรอกนะ ถ้าจะปลดปล่อยตัวเองบ้าง

ก็เหมือนกับภูตผีที่หิวโหยวิ่งเข้าไปในงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยอาหารเลิศรสมากมาย

ขณะที่ฉีเล่ยกำลังเลื่อนเม้าท์เฝ้ามองรูปภาพที่ชวนหลงใหลเหล่านั้น จู่ๆหลี่ถงซี่ก็ส่งข้อความมาว่า

[นี่นายส่งอะไรมาให้ฉัน?]

[อะไรเหรอครับ?]

[ดูเอาเองก็แล้วกัน!]

[ดู?]

[ในแชท!]

ฉีเล่ยเลื่อนเม้าท์เปิดหน้าต่าง ก่อนจะเห็นว่าเขาเพิ่งส่งรูปสาวสวยในชุดว่ายน้ำไปให้หลี่ถงซี โดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเขาส่งไปให้เธอตั้งแต่ตอนไหน

เป็นรูปสาวสวยอยู่ในชุดสายเดี่ยวสุดเซ็กซี่ มีข้อความเขียนกำกับด้านล่างไว้ว่า เต้นระบำเปลื้องผ้า โชว์ยั่วสวาทออนไลน์ กรุณาคลิกที่ลิงก์ด้านล่าง…

ฉีเล่ยกำลังสับสนอย่างหนักว่าเกิดอะไรขึ้น?

เขาจำไม่ได้เลยว่า ตัวเองเคยส่งรูปนี้ไปให้หลี่ถงซีด้วย?

หลังจากนั้นไม่นาน หายนะก็เกิดขึ้น

[อาจารย์ฉี ส่งอะไรมาให้หนูค่ะ?!]

[อาจารย์ฉี หนูเกลียดอาจารย์ที่สุด!]

[โถ่วจารย์ ถ้าอยากดูจริงๆเว็บนี้มันล้าสมัยไปแล้ว เดี๋ยวผมส่งเว็บใหม่ให้นะ]

[อาจารย์ฉี ใช่เล่นนะครับเนี่ย!]

“…”

ฉีเล่ยถึงกับนั่งกุมขมับ ดั่งว่าวิสัยทัศน์รอบตัวกลับกลายเป็นสีดำทะมึนในทันใด

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset