ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 150 คาดเดาไม่ได้

ตอนที่150 คาดเดาไม่ได้

ขณะรอให้ฉีเล่ยนั่งลงบนโซฟาให้เรียบร้อยก่อน เป่ยจ้าวหยวนจึงเป็นฝ่ายพูดเข้าประเด็นทันทีว่า

“ฉันมาที่นี่เพราะอยากจะถามอะไรสักหน่อยน่ะ”

ฉีเล่ยเอ่ยถามกลับไปว่า

“เรื่องอะไรเหรอครับ?”

“คือว่า…มีสื่อหลายสำนักต้องการสัมภาษณ์นาย แล้วก็มีแพทย์แผนจีนอีกหลายสิบคนที่สนใจในวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ พากันแห่เข้ามาถามโดยไม่ทันตั้งตัวเลยล่ะ แต่ฉันกับคุณปู่ไม่ได้เปิดเผยทื่อยู่ของนายออกไปหรอกนะ เลยต้องแอบออกมาถามความสมัครใจของนายก่อนไง”

สีหน้าการแสดงออกของฉีเล่ยดูงุนงงอย่างมาก เขาทวนคำถามกลับทันที

“สัมภาษณ์ผม? ผมมีอะไรให้น่าสัมภาษณ์?”

พอเห็นปฏิกิริยาของฉีเล่ย เป่ยจ้าวหยวนก็ทราบทันทีว่าอีกฝ่ายน่าจะงงจริง เลยต้องรีบอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด

“ข่าวการปรากฏขึ้นของวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ที่หายสาบสูญไปนับร้อยปีได้แพร่กระจายไปทั่วโลกในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน ทั้งนี้ยังมีคนไข้ที่เป็นคนมีหน้ามีตาในสังคมอย่างมาก เป็นพยานรู้เห็นเหตุการณ์ในวันนั้นด้วย ก็เลยยิ่งทำให้ข่าวนี้ดังเข้าไปใหญ่ ซึ่งมันก็ไปจุดกระแสและกระตุ้นความสนใจของผู้คนเป็นจำนวนมาก ทั้งสื่อมวลชนทั้งแพทย์แผนจีนจากสำนักต่างๆ ทุกคนต่างก็พากันแห่เข้ามาที่บ้านตระกูลเป่ยจนล้นออกมาหน้าถนนแล้ว”

“ไม่ใช่แค่สื่อบ้านเราเท่านั้นนะ แต่ยังมีสื่อจากต่างประเทศเข้ามาไม่หยุดหย่อน ทั้งฉันทั้งปู่ต่างวิ่งวุ่นจนหัวหมุน มีคนจากทั่วทุกสารทิศถาโถมกันเข้ามารักษาที่คลีนิคตระกูลเป่ย แรกๆมันก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้าปล่อยไปแบบนี้มีหวังฉันกับปู่ต้องขาดใจตายก่อนแน่ วันนี้ได้จังหวะ ฉันก็เลยต้องชิ่งหนีออกมาทางประตูหลังบ้าน แล้วก็รีบมาที่นี่เพื่อปรึกษาหารือกับนายนี่ล่ะ”

ในปักกิ่ง เป่ยจ้าวหยวนเป็นคนมีชื่อเสียงและมีผู้คนก็รู้จักกันดี ทั้งยังเป็นแพทย์แผนจีนที่ได้รับความนิยมอย่างมาก แม้ว่าป้ายประจำตระกูลเป่ยจะถูกปลดออกแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลเสียอย่างที่เขาเคยคิดไว้ ทว่ากลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง มีคนไข้ที่เข้ามารอคิวรักษาเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนนับสิบเท่า! บางคนหัวหมอรีบมาจองคิวเพื่อนำไปขายเอากำไรขายต่ออีกทอดก็มี

ถึงแบบนั้นจุดประสงค์ที่แท้จริงของผู้คนโดยส่วนใหญ่ก็คือ อยากจะมาพบเจอสุดยอดปรมาจารย์ฉีเล่ย ผู้ใช้ทักษะวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ที่หายสาปสูญไปแล้วนั่นเอง

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสื่อสำนักหลักต่างๆของปักกิ่งและต่างประเทศดาหน้ากันเข้ามาเพื่อที่จะทำข่าวนี้ ในฐานะหลานชายผู้สืบทอดเข็มเทวะแห่งตระกูลเป่ย เป่ยจ้าวหยวนตกเป็นเป้าสัมภาษณ์ของบรรดานักข่าวจำนวนนับไม่ถ้วนที่คอยรุมล้อมไม่ห่างตัว คนเหล่านี้ต้องการให้เป่ยจ้าวหยวนเปิดเผยที่อยู่ของฉีเล่ย แต่เขาก็ให้การปฏิเสธไปทั้งหมด

เป็นธรรมดาที่นักข่าวพวกนั้นจะไม่เชื่อ จึงเบี่ยงความสนใจจากคนเป็นหลานไปหาคนเป็นคนปู่อย่างเป่ยฉวนเทียนแทน พูดได้ว่าเวลานี้ทั้งปู่และหลานตระกูลเป่ยต่างก็ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องนี้อย่างมาก หันซ้ายก็คนไข้หันขวาก็เจอไมค์นักข่าวจ่อปาก

หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายจนเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว ฉีเล่ยก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะพูดขึ้นว่า

“คือตอนนี้ผมไม่สะดวกที่จะให้สัมภาษณ์กับสื่อเลยครับ”

หากฉีเล่ยให้สัมภาษณ์กับสื่อหรือได้ออกทีวีเมื่อไหร่ เขาจะกลายเป็นคนดังที่มีชื่อเสียงขึ้นมาทันที

ไม่ใช่ว่าฉีเล่ยเป็นคนกร้านโลกไม่อยากเป็นคนดังอะไร แต่เขากังวลถึงผลที่จะตามมาหลังจากนั้นมากกว่า เขาคงจะใช้ชีวิตประจำวันได้ลำบากขึ้นอย่างแน่นอน และอาจจะร้ายแรงถึงขั้นส่งผลกระทบต่อการสอนหนังสือของเขาด้วย

เป่ยจ้าวหยวนพยักหน้าตอบกลับไปทันที

“ฉันคิดอยู่แล้วว่านายจะต้องตอบแบบนี้ แต่มีเรื่องหนึ่งที่นายไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลยนะ”

“หมายความว่ายังไง?”

“ฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าใครเป็นคนไปปล่อยข่าว แต่สื่อพวกนั้นรู้แล้วว่า อีกสามวันจะมีการประลองระหว่างนายกับคุณปู่ของฉัน ถึงตอนนั้นพวกนักข่าวคงจะแห่กันมาทำข่าวใหญ่อย่างแน่นอน คุณปู่เองก็ถอนคำพูดไม่ได้ด้วย จึงได้แต่ก้มหน้ารับผลลัพธ์ไป”

ฉีเล่ยคลี่ยิ้มสีหน้าดูขมขื่นใจไม่น้อย

“ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องออกหน้าใช่ไหม?”

“เฮ้ออ…”

เป่ยจ้าวหยวนถอนหายใจยาวด้วยความเหนื่อยหน่าย ก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ในเมื่อนายปลดป้ายประจำตระกูลเป่ยออกไป ก็ควรต้องเตรียมใจเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่ช้าก็เร็วนายก็ต้องกลายเป็นคนมีชื่อเสียงอยู่ดี ต่อให้นายจะพยายามปกปิดแค่ไหน แต่ทองคำก็ยังเป็นทองคำวันยังค่ำ นายต้องทำใจแล้วล่ะ”

ฉีเล่ยนั่งครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะคิดได้ว่าสิ่งที่เป่ยจ้าวหยวนก็พูดถูกเช่นกัน

ทองคำไม่อยู่ที่ไหนย่อมทอประกายเฉิดฉายที่นั่น ประกายแสงที่สาดสะท้อนออกมามันไม่มีวันปกปิดได้ตลอดไป

…………

วันนี้มีประชุมใหญ่ของสาขาแพทย์แผนจีน

ฉีเล่ยนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งตรงมุมห้องอย่างเงียบๆ

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าร่วมกระประชุมใหญ่ระดับภาคสาชาวิชา มีอาจารย์และแพทย์แผนจีนมารวมตัวกันกว่า30คน มีทั้งอาจารย์ในมหาวิทยาลัยและแพทย์จากโรงพยาบาลในเครือ

เมื่อเห็นทุกคนมากันพร้อมหน้าแล้ว ซีลู่เฉิงก็เปิดสมุดบันทึกที่จดเนื้อหาการประชุมและเริ่มกล่าวขึ้นว่า

“วันนี้ที่เรียกประชุมใหญ่ ก็เพราะมีประเด็นอยู่สองเรื่องหลักๆ ที่ต้องแจ้งให้ทุกคนทราบโดยทั่วกัน เรื่องแรกคือ มหาวิทยาลัยแพทย์แอริโซนาจากสหรัฐอเมริกาได้ส่งคณะมาเยี่ยมชมการสอนภายในมหาวิทยาลัยของเรา โดยที่พวกเขาจะเข้าร่วมฟังการสอนของสาขาแพทย์แผนจีนของเรา”

หลังจากทราบข่าวดังนั้น บรรดาอาจารย์ผู้สอนก็เริ่มกระซิบกระซาบกันทันที

“พวกฝรั่งจะเข้าใจภาษาจีนเหรอ? ถึงแม้จะฟังรู้เรื่อง แต่เนื้อหาสาขาแพทย์แผนจีนล้วนเกี่ยวข้องกับการฝังเข็ม และองค์ประกอบธาตุในร่างกายทั้งนั้น มีเหรอที่พวกกินเบอร์เกอร์จะเข้าใจ?”

“บางทีพวกนั้นอาจเข้ามานั่งฟังเป็นพิธีเฉยๆก็ได้ ไม่ต้องคิดมากหรอก”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีปั้นหน้าจริงจังขึ้นทันที เขาส่ายหัวและกล่าวขึ้นว่า

“ทุกคนเข้าใจผิดแล้ว หัวหน้าคณะที่เข้ามาเยี่ยมชมในครั้งนี้คือ ด็อกเตอร์ ทอมสัน เท่าที่ฉันตรวจสอบข้อมูลของอีกฝ่ายมา เขาเป็นนักประสาทวิทยาที่มีชื่อเสียงอย่างมากในสหรัฐอเมริกา แถมยังพูดภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว และที่สำคัญเขายังเคยศึกษาร่ำเรียนการแพทย์แผนจีนมาอีกด้วย”

เมื่อได้ยินหัวหน้าคณะอาจารย์ซีพูดแบบนั้น สีหน้าของทุกคนก็ดูจริงจังขึ้นทันที

ฝรั่งพวกนี้มันเตรียมตัวมาดี…

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีโบกมือไปมาและกล่าวต่อว่า

“เอาล่ะๆ พวกเรามาหารือกันต่อดีกว่า มีอาจารย์คนไหนมั่นใจในการสอนของตัวเองบ้างไหม? เราต้องแสดงความแข็งแกร่งของแพทย์แผนจีนให้คนนอกเหล่านั้นได้เห็น!”

ในฐานะที่เป็นคนเก่าคนแก่ของสาขาแพทย์แผนจีนแห่งนี้ ตาแก่ซงเริ่มแสดงความเห็นก่อนว่า

“ถ้าเป็นวิชา‘ทฤษฎีแพทย์แผนจีนพื้นฐาน’ ฉันมั่นใจว่าตนเองสามารถอธิบายออกมาได้เป็นอย่างดี แต่สิ่งนี้กลับไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงประโยชน์ของแพทย์แผนจีนต่อบุคคลภายนอกให้เห็นได้ชัดเจนเท่าไหร่”

“ส่วนวิชา‘ศาสตร์วิทยาเกี่ยวกับโรคภัย’ก็ค่อนข้างกว้างเกินไป มันไม่ได้เฉพาะเจาะจงไปถึงแพทย์แผนจีนเท่าที่ควร”

“เราควรเตรียมตัวให้ดีกับการสอนในคลาสที่จะเกิดขึ้น เราต้องแสดงให้พวกเขาเห็นว่าประเทศจีนของเรายังมีดี! แต่น่าเสียดายที่ผมสอนวิชา‘สมุนไพร’”

ตาแก่ซงเหลือบไปมองฉีเล่ยก่อนจะจงใจกล่าวเสียงดังขึ้นว่า

“ฉันคิดว่าคาบสอนของเสี่ยวฉีน่าจะเป็นตัวแทนของพวกเราได้ เขาสอนวิชา‘การวินิจฉัย’ เราสามารถให้เสี่ยวฉีลองวินิจฉัยอาการเจ็บป่วยของคณะที่มารับชมได้”

ตาแก่ซงจงใจผลักภาระมาให้ฉีเล่ยโดยไม่นึกสงสารเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาทราบดีว่า โอกาสดีๆแบบนี้เขาควรต้องคิดบัญชีฉีเล่ยทั้งต้นทั้งดอก

ออกแนวหน้าเพื่อต่อสู้นับเป็นเกียรติแก่มหาวิทยาลัย แต่ในทางตรงข้าม ถ้าทำพลาดจนเสียหน้าทั้งมหาวิทยาลัย ฉีเล่ยจะต้องแบกรับความรับผิดชอบทั้งหมดนี้ไว้เพียงผู้เดียว และอาจจะถูกลงโทษจากทางมหาวิทยาลัยในภายหลังด้วยก็เป็นได้

ประเด็นคือ พวกคนอเมริกันชอบถามจู้จี้จุกจิก และเป็นพวกที่ชอบพูดจาขวานผ่าซากตรงไปตรงมา เมื่อไหร่ที่พวกนั้นเริ่มไม่พอใจจะเอ่ยปากวิจารณ์ออกมาด้วยถ่อยคำที่รุนแรงมาก ชนิดที่ว่าไม่ไว้หน้ามหาวิทยาลัยเลยล่ะ

เมื่อเจ้าบ้านโดนแขกต่างถิ่นดูถูกดูแคลนย่อมต้องรู้สึกละอายใจบ้างไม่มากก็น้อย

เคยมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้ว อาจารย์บางคนพยายามจะใช้โอกาสนี้แสดงฝีมือต่อหน้าชาวต่างชาติเหล่านั้น แต่สุดท้ายกลับโดนวิพากษ์วิจารณ์กลับมาซะเละไม่มีดี

นี่ยังคงเป็นเหตุกาณ์ฝังใจของอาจารย์ทุกคนในมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง และในท้ายที่สุดพวกคณะเยี่ยมชมจากอเมริกาก็หวนกลับมาอีกครั้ง จุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขานั้นชัดเจนมาก พวกเขาต้องการจะฆ่าคนจีนให้ตายทั้งเป็น และแสดงให้เห็นว่าชาติตะวันตกของตนอยู่เหนือกว่าโดยการใช้วิธีข่มขวัญแบบนี้ ในเมื่อมาที่นี่เพื่อจับผิดโดยเฉพาะ อาจารย์ที่เป็นตัวแทนสอนในครั้งนี้จึงห้ามแสดงข้อบกพร่องให้ฝรั่งพวกนี้เห็นโดยเด็ดขาด เพราะหากพลาดไปแม้เพียงเล็กน้อย คงจะต้องโดนถากถางไปจนตายแน่

อาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งได้ว่า อาจารย์ผู้อาสารับหน้าที่นี้ไม่ต่างอะไรกับการเสี่ยงเดินบนแผ่นน้ำแข็งบางๆเลย

ดังนั้นการที่ตาแก่ซงเสนอชื่อฉีเล่ยออกไปในเวลานี้ มันแสดงให้เห็นแล้วว่า อีกฝ่ายมีเจตนามุ่งร้ายเพียงใด

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset