ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 149 เยี่ยมเยียน

ตอนที่149 เยี่ยมเยียน

เหวินเจียนกับคังฟานค่อนข้างสนิมสนมกันอย่างมาก หลู่หยานที่เห็นแบบนั้นจึงเสนอตัวเป็นคนขับรถให้ และปล่อยให้ทั้งคู่นั่งอยู่เบาะหลังคุยกันให้หายคิดถึง รถที่ขับมาวันนี้ก็เป็นMercedes-Benzของหลู่หยาน

คังฟานที่จ้องมองหลู่หยานซึ่งกำลังขับรถอยู่ด้านหน้าด้วยความสงสัย ในที่สุดก็เอ่ยถามติดตลกขึ้นว่า

“หลู่หยาน ฉันไม่เห็นนายมาตั้งหลายปี รสนิยมเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่? ได้ข่าวว่าแต่ก่อนนายเป็นแฟนตัวยงรถPorscheเลยไม่ใช่เหรอ? ไหงตอนนี้เปลี่ยนใจมาขับBenzแทนแล้วล่ะ?”

หลู่หยานปรายมองผ่านกระจกหลัง พร้อมตอบกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“โถ่คุณชายคังครับ ตอนนี้ผมเป็นนักธุรกิจหน้าใหม่ไฟแรงในปักกิ่งแล้วนะ ก็ควรจะต้องใช้รถที่ดูมีความเป็นผู้ใหญ่หน่อยไหมล่ะ? พอยิ่งโตขึ้นก็เริ่มไม่มีความรู้สึกอยากขับรถแพงๆเหมือนแต่ก่อนแล้วด้วย ก็เลยยกให้น้องของเหวินเจียนไป เออจะว่าไปแล้ว นายกลับมาทั้งทีอย่าลืมไปหาน้องมันด้วยล่ะ”

คังฟานหันไปหาเหวินเจียนเจือสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย

“น้องหมอนี่? หมายถึงสาวน้อยคนนั้นที่ชอบตามติดฉันน่ะเหรอ? นี่ก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้วนี่เนอะ คงโตเป็นสาวแล้วใช่ไหม?”

เหวินเจียนมีน้องสาวอยู่คนหนึ่ง และทั้งคู่ก็ห่างกันประมาณ3-4ปี อีกทั้งยังเป็นหลานเพียงไม่กี่คนในตระกูลเหวินด้วย

ตระกูลเหวินแจ้งเกิดมาจากเส้นทางการเมือง ในช่วงปีต้นๆ มีเพียงสมาชิกตระกูลเหวินบางคนเท่านั้นที่ลงเล่นการเมือง แต่ด้วยสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของตระกูลเหวิน ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงเวลาไม่กี่ปี

เหวินเจียนยิ้มตอบไปว่า

“ตอนนี้มันก็ยังติดแก คลั่งไคล้ชนิดที่ว่าถ้าบอกว่าแกกลับมาวันนี้ มีวันเธอโดดเรียนมาเพื่อเจอแกแน่นอน อืม โตขึ้นมากเลย ตอนนี้เธอเรียนคณะบริหารระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง”

หลู่หยานพูดติดตลกเสริมไปว่า

“คังฟาน เดี๋ยวนี้ซินซินไม่ใช่สาวน้อยที่ไล่ตามตูดแกติดๆเหมือนแต่ก่อนแล้วนะ เธอเป็นถึงดาวของมหาวิทยาลัยปักกิ่งเชียวล่ะ! แต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่เปลี่ยนก็คือในสายตาของเธอมีแต่นายเท่านั้น!”

“ฮ่าฮ่า ซินซินน่ารักตั้งแต่ยังเด็กแล้ว แกไม่ต้องบอกฉันก็รู้ว่าโตมาจะสวยแค่ไหน”

คังฟานเปลี่ยนเรื่องทันทีว่า

“เหวินเจียน แล้วเรื่องงานราชการเป็นยังไงบ้าง? ได้เลื่อนขั้นเป็นชั้นนายพันรึยัง?”

หลู่หยานเป็นฝ่ายตอบกลับแทนทันที

“เดี๋ยวนี้เรียกนายร้อยไม่ได้แล้วนะ ต้องเป็นพันโทเหวินเจียน! แถมเพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นผู้กำกับสถานทีตำรวจเมื่อไม่กี่วันก่อนเองด้วย! ตำรวจนายอื่นต้องใช้เวลาตั้งหลายปีกว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ หมอนี่เข้ารับราชการไม่ทันไร ทั้งยศทั้งตำแหน่งก็เลื่อนเอาเลื่อนเอาไม่หยุด ต่อจากนี้ไป พวกเราสองนักธุรกิจตัวน้อยคงต้องฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับท่านผู้กำกับเหวินเจียน!”

คังฟานตบไหล่เหวินเจียนไปหนึ่งทีพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“นายก้าวหน้าเร็วมากจริงๆ! น้อยคนนะที่จะขึ้นเป็นผู้กำกับได้ตั้งแต่อายุยังน้อยแบบนาย”

เหวินเจียนไม่มีความถือเนื้อถือตัวแม้แต่น้อยกับบรรดาเพื่อนฝูง เขายิ้มและย้อนถามกลับไปว่า

“แล้วนายล่ะมีแผนยังไงต่อบ้าง? จะอยู่ที่นี่แค่สั้นๆหรืออยู่ยาวไปเลย?”

คังฟานถอนหายใจ

“หลังจากที่ใช้เวลาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ต่างประเทศ สุดท้ายฉันก็ลืมบ้านเกิดไม่ลง ครั้งนี้คงจะอยู่ยาวแล้วล่ะ อยากจะทำธุรกิจเล็กๆสักอย่างแล้วค่อยๆพัฒนากันไป”

แม้น้ำเสียงที่เอ่ยกล่าวออกไปจะฟังดูสงบนิ่ง แต่ภายในใจกลับรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย เขายังมีภาระหน้าที่และแรงกดดันอย่างมากที่ต้องแบกรับไว้หลังจากกลับประเทศจีนในครั้งนี้ และเขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจว่า ตัวเองจะประสบความสำเร็จตามที่ตั้งความหวังไว้ได้หรือไม่?

แต่ถึงอย่างนั้น หากเทียบกับอัตรากำไรที่ได้คำนวณไว้ มันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยง

ตอนที่คังฟานทำงานอยู่ในสหรัฐอเมริกานั้น เขาถูกบังคับให้ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างไม่หยุดหย่อนอยู่ในสถานีวิจัยLynggaard พอได้โอกาสออกมา เขาเองก็อยากเริ่มก้าวเดินอย่างอิสระไปตามเส้นทางที่ตนกำหนดได้เอง

หลู่หยานที่ได้ยินว่าคังฟานต้องการจะเปิดธุรกิจเล็กๆสักแห่ง จึงรีบเอ่ยถามออกไปอย่างสนอกสนใจทันที

“ธุรกิจด้านไหนล่ะ? ถ้ามีอะไรที่พวกเราพอช่วยได้ก็บอกมาเลยนะ”

ในฐานะนักธุรกิจด้วยกัน หลู่หยานย่อมต้องเสาะหาเพื่อนร่วมธุรกิจที่มีความสามารถ

และเขาเองก็มั่นใจในความสามารถของคังฟานเสมอมา ในแวดวงเพื่อนฝูงกลุ่มเล็กๆของพวกเขา คังฟานนี่แหละคือคนที่มีความสามารถสูงที่สุดและมักจะเป็นผู้นำอยู่เสมอ

ไม่ว่าจะเป็นเหวินเจียนหรือหลู่หยาน เหตุผลที่พวกเขารวมตัวและสนิทกันได้ ก็เพราะมีคังฟานเปรียบเสมือนแม่เหล็กคอยดึงดูดทั้งนั้น

นี่อาจจะเรียกได้ว่า เสน่ห์ดึงดูดเฉพาะบุคคล มันเป็นทักษะความสามารถที่ไม่สามารถฝึกฝนที่ไหนได้

ทางด้านเบาะหลัง คังฟานเหลือบมองเหวินเจียนสลับไปมากับหล่าหยาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

“ฉันจบแพทย์มา ก็ต้องทำธุรกิจเกี่ยวกับยาน่ะสิ พวกแกคิดว่ายังไง?”

“โอ้? ธุรกิจเกี่ยวกับยางั้นเหรอ? เป็นทางเลือกที่ดีมากเลยนะ โรงพยาบาล โรงเรียน และสถานบันเทิง นี่คือสามธุรกิจที่ไม่มีวันล้มหายตายจากโลกไปได้ โดยพื้นฐานแล้ว ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสามประเภทนี้ มักจะไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่แปรเปลี่ยนอยู่ตลอด ถึงจะมีวิกฤตการอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นจริงๆ อย่างมากก็กระทบเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น”

คังฟานยิ้มพร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ถ้าสนใจ พวกเราก็มาเริ่มนับหนึ่งกันได้เลย”

เหวินเจียงมองไปทางคังฟานพร้อมกับพูดขึ้นยิ้มๆ

“ถ้านายต้องการให้ช่วยอะไรก็บอกฉันได้ตลอดนะ”

“ไม่ต้องห่วง ถึงเวลานั้นฉันได้รบกวนนายแน่ครับคุณผู้กำกับ”

“ฮ่าฮ่า…”

เนื่องจากก่อนหน้าในสนามบิน พวกเขาต้องช่วยคังฟานหิ้วของ และถือกระเป๋าเดินทางให้จึงไม่สะดวกที่จะพูดคุยกันเท่าไหร่นัก แต่เมื่อขึ้นรถมาได้แบบนี้ ก็ได้ฤกษ์ที่จะเอ่ยถามเรื่องผู้หญิงทันที

“คังฟาน ได้ข่าวว่าตอนอยู่ฮาร์วาร์ดนายมีแฟนที่สวยสุดสวยเลยเหรอ? รู้ไหมว่าทันทีที่ซินซินได้ยินแบบนั้น เธอถึงกับเดือดเป็นฟืนเป็นไฟเลยล่ะ”

คู่สายตาของคังฟานสว่างวาบขึ้นมาเล็กน้อย

“เลิกกันไปนานแล้วล่ะ นี่ก็ไม่ได้เจอเธอมาหลายปีแล้วเหมือนกัน แต่ได้ยินว่าเธอกลับปักกิ่งมาสักพักใหญ่แล้ว”

“ปักกิ่งก็เป็นเมืองไม่เล็กไม่ใหญ่เท่าไหร่ หวังว่าจะมีโอกาสได้พบกันอีก”

สีหน้าของคังฟานเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองวิวข้างทางผ่านกระจกรถ เขาทอดสายตาออกไปยาวไกล พลางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า

“ก็อาจจะ”

นั่นสินะ…ยังมีเหยื่อที่ฉันยังไม่ได้เชือดอยู่ในเมืองนี้ และไม่เคยมีเหยื่อตัวไหนหลุดรอดเงื้อมมือของฉันไปได้! ไม่เคยมี!

……….

เมื่อฉีเล่ยกลับเข้ามาในบ้านสกุลหลี่ เขาก็พลันได้ยินเสียงชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังพูดอะไรสักอย่างดังออกมาจากห้องรับแขก เห็นได้ชัดว่า วันนี้คงมีแขกมาเยี่ยมบ้านอีกแล้ว

หลี่ฮั่วเฉินกำลังชงชาอยู่ในครัว ปล่อยให้เป่ยจ้าวหยวนนั่งคุยกับหลินหมิงซางอยู่บนโซฟา สายตาของพวกเขาทั้งสองเหลือบมองแผ่นป้าย‘ตระกูลเป่ย’อยู่เป็นครั้งคราว เห็นได้ชัดว่า หัวข้อสนทนาของทั้งคู่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

เมื่อฉีเล่ยเดินตรงเข้ามา เป่ยจ้าวหยวนก็รีบโค้งศีรษะให้เล็กน้อย เขายังจำได้ดีว่า ตนเคยก่อวีรกรรมอันเสียมารยากเพียงใดก่อนหน้าที่มาเยี่ยมเยียนที่นี่ และเมื่อนึกย้อนกลับไปถึงการกระทำของตนเองในครั้งนั้น เป่ยจ้าวหยวนก็รู้สึกอับอายขายหน้าอย่างมาก

อย่างที่คุณปู่ของเขาเคยย้ำเตือนไว้ไม่มีผิด เหนือฟ้ายังมีฟ้าเสมอ!

นี่เขาเอาแต่หลงตัวเองมาได้ยังไงตลอดสามสิบปีที่ผ่านมา!

ยิ่งคิดก็ยิ่งอับอายขายหน้าจริงๆ

เวลานี้ เขาได้พ่ายแพ้ให้กับชายหนุ่มตรงหน้า จากที่ไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับใครเลยตลอดสามสิบปีที่ผ่านมา มีคำกล่าวว่า สำหรับอัจฉริยะแล้ว การร่วงหล่นจากจุดสูงสุดลงสู่จุดต่ำสุดนั้น นับเป็นฝันร้ายที่ไม่อาจทนได้ แต่ก็ยังมีอีกข้อเท็จจริงหนึ่งเช่นกัน และดูเหมือนจะสำคัญยิ่งกว่าก็คือ มนุษย์จะเข้าใจตัวเองได้ดีที่สุดก็ในยามที่ตนเองตกลงสู่จุดต่ำสุดนั่นล่ะ

เข้าใจโลก เข้าใจตัวเอง และรู้จักยอมรับความเป็นจริง นี่ต่างหากคืออัจฉริยะที่แท้จริง!

อธิการบดีหลินลุกขึ้นยืนและพูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ฉีเล่ย ฉันได้ยินมาว่า เธอใช้วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ได้จริงเหรอ? สวรรค์! นั่นเป็นเคล็ดวิชาแพทย์ที่หายสาบสูญไปนานหลายร้อยปีเชียวนะ!”

ฉีเล่ยเหลือบมองเป่ยจ้าวหยวนเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า

“คุณเป่ยบอกเหรอครับ?”

เป่ยจ้าวหยวนยิ้มให้ฉีเล่ยพร้อมตอบกลับไปทันที

“พูดตามตรงเลยนะ ฉันเห็นนายใช้วิชานี้ในตอนแรกยังถึงกับแอบทึ่งเลยล่ะ สุดท้ายก็พิสูจน์แล้วว่า ฝีมือของฉันด้อยกว่านายจริงๆ กลับเป็นฉันเองต่างหากที่ไม่รู้จักเจียมตัว”

ฉีเล่ยไม่รู้ว่าคำพูดของอีกฝ่ายนั้นกลั่นออกมาจากใจจริง หรือเป็นเพียงแค่การแสดงเท่านั้น แต่อย่างน้อยก็มีสิ่งหนึ่งที่เขาสามารถบอกได้ทันทีว่า หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นจวบจนวันนี้ ดูเหมือนว่าเป่ยจ้าวหยวนจะเติบโตขึ้นบ้างแล้ว

เมื่อคนอื่นให้เกียรติก้าวหนึ่ง เขาเองย่อมต้องเคารพก้าวหนึ่งเช่นกัน ฉีเล่ยไม่ใช่คนงี่เง่าไร้เหตุผลดังนั้นจึงได้ยิ้มและตอบกลับไปว่า

“แต่วิชาเข็มห้าตะวันของคุณเองก็สุดยอดมากเลยเช่นกัน!”

เป่ยจ้าวหยวนคลี่ยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า

“แต่น่าเสียดายที่ทักษะของฉันเทียบวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ของนายไม่ติดฝุ่นเลย พูดตามตรงนะ ทันทีที่เห็นนายหยิบเข็มและท่วงท่าลงน้ำหนักกดลงบนผิวหนังของคนไข้ ฉันก็ถึงกับมือสั่นเลยล่ะ ทุกอย่างมันเหมือนกับที่คุณปู่ของฉันเคยเล่าให้ฟังไม่มีผิด ตอนนี้ฉันเชื่อแล้วว่าตำรา‘จับชีพจร’เล่มนั้นนับเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแท้จริง”

“ฮ่าฮ่าๆ…เลิกถ่อมตัวกันไปกันมาได้แล้วน่า พวกเธอสองคนต่างเป็นแพทย์แผนจีนดาวรุ่งแห่งยุค หลังจากนี้ก็ขอให้ร่วมแรงร่วมใจกันฟื้นฟูศาสตร์แพทย์แผนจีนด้วยกันเถอะนะ มา มา…ดื่มชากันดีกว่า”

หลี่ฮั่วเฉินที่เห็นทั้งสองปรองดองกันได้ เขาก็ยิ้มและกล่าวว่า

“ใช่แล้ว พวกเราเองก็แก่มากแล้วเช่นกัน อนาคตต่อไปคงต้องฝากฝังไว้ในมือของหนุ่มสาวอย่างพวกเธอแล้วล่ะ”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset