ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 153 ประลองรอบสอง(1)

ตอนที่153 ประลองรอบสอง(1)

ฉีเล่ยเคยโค่นตระกูลเป่ยได้แล้วครั้งหนึ่ง และเป่ยฉวนเทียนเองก็ยังเต็มใจมอบป้ายประจำตระกูลเป่ยให้กับเขาอีกด้วย ซึ่งฉีเล่ยก็ปฏิเสธที่จะรับมา แต่กลับถูกอีกฝ่ายรบเร้าไม่หยุดจนต้องนำกลับมาบ้านด้วยจนได้ ส่วนเหตุผลที่ไม่อยากรับเอามานั้น ก็เพราะไม่ต้องการสร้างปัญหาให้อีกฝ่ายนั่นเอง

แต่เมื่อฉีเล่ยกลับมาที่คลินิกตระกูลเป่ยอีกครั้งกลับผิดคาด เขาได้พบว่า ธุรกิจของตระกูลเป่ยไม่เพียงจะไม่ได้รับผลกระทบหลังจากถูกปลดป้ายตระกูลออกไป แต่กลับยิ่งทำให้มีคนไข้มากขึ้นกว่าก่อนหน้าอย่างน้อยสองถึงสามเท่าเลยทีเดียว!

อันที่จริงแล้ว หากลองใคร่ครวญดูคิดให้ดี ตระกูลเป่ยนั้นก่อตั้งคลีนิกอยู่ในเมืองปักกิ่งมาก็นานแล้ว และเสาหลักที่ทำให้คลีนิคแห่งนี้ยังคงได้รับความนิยมจวบจนถึงปัจจุบัน ก็คือชื่อเสียงของเป่ยฉวนเทียนที่สั่งสมมานานนับหลายสิบปีนั่นเอง ด้วยจุดแข็งดังกล่าวทำให้ที่นี่ยังคงเป็นตัวเลือกแรกเสมอสำหรับผู้คนที่เจ็บไข้ได้ป่วย และต้องการรักษาด้วยการแพทย์แผนจีน

คนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใด พวกเขาก็ย่อมผงาดอยู่ได้

ฉีเล่ยเพิ่งจะย่างเท้าก้าวเข้าไปเหยียบในโถงคลินิกได้ไม่นาน จู่ๆก็มีหญิงสาวคนหนึ่งตรงเข้ามาทักทายทันที

เธอคนนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากหญิงสาวในชุดกี่เพ้าที่เขาได้พบเมื่อครั้งก่อน เธอจำฉีเล่ยได้ทันทีที่เห็นหน้า แต่สีหน้าการแสดงออกของเธอกลับดูไม่ค่อยพอใจเขาเท่าไหร่นัก พร้อมเอ่ยถามว่า

“คุณมาทำอะไรที่นี่อีก?”

ฉีเล่ยยิ้มและกล่าวว่า

“ผมมาเยี่ยมอาวุโสเป่ยน่ะครับ”

หญิงสาวในชุดกี่เพ้ากล่าวตอบทันทีเจือสีหน้าประหลาดใจว่า

“หรือจะมาโค่นสำนักของเราอีกคะ?”

ครั้งล่าสุดที่ฉีเล่ยมานั้น จุดประสงค์ของเขาก็มาเพื่อโค่นสำนัก และช่วงชิงป้ายประจำตระกูลเป่ยอันทรงเกียรติไป แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้จำนวนคนไข้เพิ่มมากขึ้นก็ตาม แต่ในอีกด้านมันก็ทำให้คลินิกตระกูลเป่ยเกิดข่าวเด่นประเด็นร้อนบนโลกอินเตอร์เน็ตเช่นกัน และในเวลานี้เขาก็กลับมาที่นี่อีกครั้งโดยยังไม่ทราบจุดประสงค์ที่แท้จริง หรือบางทีพายุแห่งหายนะระลอกที่สองกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

ฉีเล่ยคลี่ยิ้มอ่อนโบกไม้โบกมือไปมาพร้อมตอบกลับไปว่า

“ผมแค่นัดมาคุยกับอาวุโสเป่ยเฉยๆครับ ไม่ได้มาโค่นสำนักอะไรแบบนั้นอีกแล้ว”

ในตอนแรก เป่ยฉวนเทียนได้ประกาศไว้ว่า ภายในสามวันให้หลังตนจะไปท้าประลองกับฉีเล่ยอีกครั้งถึงหน้าบ้าน แต่วันนี้จู่ๆเป่ยจ้าวหยวนก็โทรมามาหาฉีเล่ยแจ้งให้เขารีบมาที่บ้านตระกูลเป่ยโดยเร็ว เพราะเวลานี้มีผู้ป่วยที่จำเป็นต้องรักษาด้วยวิชาฝังเข็มที่ฉีเล่ยชำนาญ

ฉีเล่ยที่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายมีเจตนาร้ายอะไร จึงไม่ได้ตอบปฏิเสธและรีบเดินทางมาที่นี่โดยเร็ว นอกจากนี้แล้ว เป่ยฉวนเทียนเองก็ยังเป็นปรมาจารย์แพทย์อาวุโสที่เขาเคารพอย่างมากคนหนึ่งด้วย ผนวกกับเหตุผลข้อนี้แล้ว หากเขาไม่มา ก็ดูจะเป็นคนไร้เหตุผลไปหน่อย

หญิงสาวในชุดกี่เพ้านำทางฉีเล่ยเข้ามาด้านในตัวเรือนและปล่อยให้เขานั่งรอในห้องรับรอง หลังจากนั้นสักพักใหญ่ ก็มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเดินลงมา แน่นอนว่าไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากเป่ยจ้าวหยวน เขารีบเดินตรงมาหาฉีเล่ยพร้อมกับทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ฉีเล่ย โทษทีที่ให้รอนาน คุณปู่กำลังรอนายอยู่ชั้นบน”

ฉีเล่ยยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ช่วยนำทางไปทีครับ พอดีผมยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่”

เป่ยจ้าวหยวนดูตื่นเต้นดีใจอย่างมาก เขารีบผายมือเชื้อเชิญฉีเล่ยให้ตามไปทันที ปากก็ร้องบอกไปว่า

“ได้สิ! เชิญทางนี้เลย”

ดูเหมือนว่าหลังจากการประลองครั้งล่าสุดได้จบลง ทัศนคติของเป่ยจ้าวหยวนที่มีต่อฉีเล่ยนั้นจะเปลี่ยนไปมาก เขาไม่มีท่าทางที่ดูหยิ่งยโสอย่างแต่ก่อนแล้ว ในทางตรงข้าม เขายังปฏิบัติตัวต่อฉีเล่ยราวกับเป็นเพื่อนคนหนึ่งอีกด้วย

เป่ยจ้าวหยวนเดินนำทางไป โดยมีฉีเล่ยเดินตามอีกฝ่ายไปติดๆ จนกระทั่งเข้าไปในห้องโถงชั้นสองซึ่งตกแต่งในแบบจีนโบราณ

ภายในห้องมีชายชราอยู่สี่คนกำลังนั่งดื่มชาพลางพูดคุยสนทนากันอยู่ แต่เมื่อเห็นฉีเล่ยเดินเข้ามา ทุกคนต่างก็พากันหันขวับมา และสายตาทุกคู่ก็จับจ้องอยู่ที่ร่างของฉีเล่ย

เป่ยฉวนเทียนลุกขึ้นยืนทันที พร้อมกับคลี่ยิ้มกว้าง สีหน้าผ่องใส กล่าวขึ้นอย่างจริงใจว่า

“มาแล้ว มาแล้ว เตรียมตัวพร้อมรึยังล่ะ?”

“ขอบคุณอาวุโสเป่ยมากเลยครับที่ให้เกียรติเชื้อเชิญผมแบบนี้ ผมพร้อมแล้วครับ”

“ฮ่าๆ ตอนนี้ที่คลินิกของเรามีคนไข้ที่อยากจะให้เธอช่วยทำการรักษาให้ แต่ถ้ารักษาอย่างเดียวคงจะน่าเบื่อไปหน่อย ฉันก็เลยขอเสนอให้แข่งกันรักษาดีไหม? พูดตามตรงนะ ฉันตื่นเต้นมากจนนอนหลับไม่เต็มอื่นมาหลายวันแล้ว ขอบอกตามตรง ฉันเองก็ไม่รู้ว่าชั่วชีวิตนี้จะมีโอกาสได้ประลองฝีมือกับคนเก่งๆอย่างเธออีกไหม ยังไงก็อย่าถือสากันเลยนะ”

“อาวุโสเป่ยกล่าวเกินไปแล้วครับ ด้วยความยินดีอย่างยิ่งครับ ไม่มีปัญหา”

เป่ยฉวนเทียนตบไหล่ฉีเล่ยเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นยิ้มๆ

“ไม่มากเกินไปหรอก ฉันชอบหนุ่มสาวแบบเธอจริงๆนะ ไม่หยิ่งผยองอวดดี รู้จักวางตัว แต่ก่อนแข่งขันฉันอยากจะขอร้องเธอเรื่องหนึ่ง ห้ามเธอออมมือให้ฉันเด็ดขาด ฉันอยากจะใช้โอกาสนี้ได้เปิดหูเปิดตาสักครั้งเผื่อฝีมือจะพัฒนาขึ้นบ้าง ฮ่าฮ่า…”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบไปอย่างสุภาพว่า

“ผมจะทำอย่างเต็มที่ครับ”

เป่ยฉวนเทียนหัวเราะ

“มาเถอะ ฉันจะแนะนำทุกคนให้เธอรู้จัก”

ในขณะที่เอ่ยบอกฉีเล่ยนั้น เขาก็ได้ชี้ไปที่ชายชราแก้มตอบใบหน้าเคร่งขรึม ดูเอาจริงเอาจังอยู่ตลอดเวลา

“คนนั้นชื่อว่าหลัวไป่ซิ่ว เป็นปรมาจารย์ด้านกระดูกที่โด่งดังที่สุดในปักกิ่ง ฝีมือด้านการรักษากระดูกของเขานับว่ายอดเยี่ยมมาก และรักษาผู้ป่วยมาแล้วนับไม่ถ้วน”

ฉีเล่ยโค้งศีรษะให้อย่างสุภาพและกล่าวทักทายว่า

“อาวุโสหลัว ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

หลัวไป่ซิ่วพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวทักทายตอบ สีหน้าการแสดงออกดูแข็งกระด้างไร้มนุษย์สัมพันธ์ใดๆ

เป่ยฉวนเทียนเห็นสีหน้าท่าทางของหลัวไป๋ซิ่วที่มีต่อฉีเล่ยแบบนั้น ก็เกรงว่าฉีเล่ยจะคิดมาก จึงรีบพูดปลอบประโลมไปว่า

“อาวุโสหลัวเป็นพวกหน้าตายแบบนี้อยู่แล้ว ไม่ต้องคิดมากนะ”

ฉีเล่ยกล่าวตอบโดยไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไร

“ผมเข้าใจครับ”

เขาทราบดีว่าเหล่าอัจฉริยะแต่ละคนล้วนมีความหวาดระแวงและมีศักดิ์ศรีของตัวเอง ได้พบเจอกันครั้งแรกจึงไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะรักษาระยะห่างไว้แบบนี้

เมื่อเห็นว่าฉีเล่ยไม่ได้เก็บไปคิดเล็กคิดน้อยอะไร เป่ยฉวนเทียนก็อดที่จะแอบชื่นชมอีกฝ่ายอยู่ในใจเงียบๆไม่ได้ จากนั้นจึงได้ผายมือไปทางขวาซึ่งมีชายร่างอ้วนคนหนึ่งนั่งอยู่

“ส่วนคนนั้นเป็นปรมาจารย์ด้านการปรุงยาจีน ทำความรู้จักเขาไว้ เผื่อว่าในอนาคตเธอต้องการวัตถุดิบอะไรจะได้ติดต่อหาเขาได้”

ชายอ้วนหัวเราะร่วนและหันมาพูดกับฉีเล่ยว่า

“ฉีเล่ยใช่ไหม? ฉันได้ยินตาแก่เป่ยบอกว่า เธอเป็นลูกเขยของเฉินฉางเชิง?”

ฉีเล่ยพยักหน่าตอบ

“ใช่ครับ”

“โอ้? ดีใจที่ได้พบนะ แต่จะว่าไปก็น่าเสียดายแทน ไม่รู้เหมือนกันว่าเสี่ยวเฉินป่วยเป็นโรคอะไรถึงได้เสียชีวิต เห้ออ…คงจะเป็นโรคร้ายแรงที่แม้แต่ตัวเขายังไม่สามารถรักษาให้หายได้ อนิจจา…ทำไมแพทย์มากฝีมือถึงต้องมีชะตากรรมแบบนี้ด้วยนะ”

“…”

ฉีเล่ยเป็นคนเดียวที่ทราบข้อเท็จจริงการตายของเฉินฉางเชิง และเขาไม่อยากจะอธิบายให้คนนอกฟังเท่าไหร่นัก

ชายร่างอ้วนกล่าวต่อว่า

“ในสมัยที่เสี่ยวเฉินยังมีชีวิตอยู่ ฉันเองก็ค่อนข้างชื่นชมทักษะฝีมือของเขามากเลยนะ ถ้ามีโอกาสฉันจะขอไปไหว้หลุมศพของเขาหน่อยนะ”

อาวุโสเหวิน เขาเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงยาสมุนไพรจีนมากที่สุดคนหนึ่งในปักกิ่ง คนไข้ของเขาแต่ละคนล้วนเป็นบุคคลสำคัญและมีอำนาจอิทธิพลอย่างมากในประเทศนี้ รวมไปถึงบรรดามหาเศรษฐีอีกมากมาย ทั้งนี้ปัจจุบันเขายังดำรงตำแหน่งประธานสภาการแพทย์แผนจีนแห่งชาติอีกด้วย

แม้ว่าเขาคนนี้จะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพ่อตาของฉีเล่ยเลย และไม่แม้แต่จะเคยพบเจอหน้ากันด้วยซ้ำ แต่ว่าเฉินฉางเชิงมีความเชี่ยวชาญในสายปรุงยาสมุนไพรจีนเช่นกัน และในฐานะที่เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องในสายงานเดียวกัน อีกทั้งยังมีฝีมือที่เก่งกาจ อาวุโสเหวินจึงรู้สึกนับถืออีกฝ่ายเรื่อยมา ใครพูดถึงเฉินฉางเชิงให้ฟังเขาก็มักจะกล่าวชื่นชมอีกฝ่ายอยู่เสมอ

แรกพบกับอาวุโสเหวิน ฉีเล่ยค่อนข้างประทับใจอย่างมาก เขาเอ่ยตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ไว้อาวุโสเหวินเดินทางไปหนานหยางเมื่อไหร่ ผมจะขอทำตัวเป็นเจ้าบ้านต้อนรับขับสู้เองครับ”

เป่ยฉวนเทียนผายมือไปทางชายชราคนสุดท้ายที่ผิวพรรณค่อนข้างคล้ำ เบ้าตาจมลึกและกล่าวแนะนำ

“ส่วนคนสุดท้ายนี้เป็นปรมาจารย์ด้านการครอบแก้ว ปิงโหย่วหลิน สมัยนี้การครอบแก้วกับการฝังเข็มนับเป็นของคู่กัน หากคลินิกตระกูลเป่ยคือที่สุดแห่งศาสตร์การฝังเข็ม คลินิกตระกูลปิงก็คือที่สุดแห่งศาสตร์การครอบแก้ว”

“อาวุโสปิงยินดีที่ได้รู้จักครับ”

ฉีเล่ยส่งยิ่มให้ปิงโหย่วหลิน อาศัยองค์ความรู้ที่มี เขาย่อมเข้าใจศาสตร์แห่งการครอบแก้วได้ไม่ยาก หากว่าการฝังเข็มคือการปรับสมดุลจากภายใน การครอบแก้วก็คือการเน้น ‘ระบายของเสียออกจากร่างกาย’ แต่หากจะให้พูดตามตรง การรักษาด้วยการครอบแก้วนั้นค่อนข้างจำกัดเฉพาะบางโรค

ปิงโหย่วหลินจับจ้องฉีเล่ยด้วยสายตานุ่มลึก แววตาเปล่งประกายนั้นเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น

“ฉันหวังว่าเธอจะแสดงวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ให้ฉันได้เห็นกับตานะ”

จุดประสงค์ที่เขามาที่นี่ก็ค่อนข้างชัดเจน ทั้งหมดก็เพื่อมาดูการใช้วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ให้เป็นบุญตา

หลังจากแนะนำทั้งสามคนให้ฉีเล่ยรู้จักเรียบร้อยแล้ว เป่ยฉวนเทียนก็พูดกับฉีเล่ยเจือสีหน้ารู้สึกผิดเล็กน้อย

“ฉันขอโทษนะฉีเล่ย ความจริงฉันเองก็ไม่อยากทำให้เรื่องนี้ใหญ่โตหรอก แต่ตาเฒ่าพวกนี้ดันไปได้ยินเรื่องของเธอเข้า ก็เลยอยากแวะเข้ามาชื่นชมวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ด้วยตาตัวเองสักครั้ง อนิจจา…ไหนใครบอกว่ายิ่งแก่ยิ่งหูตึง ทำไมตาเฒ่าสามคนนี้ถึงหูไวตาไวแบบนี้”

“ไม่มีปัญหาเลยครับ”

ฉีเล่ยโบกมือไปมาพร้อมกับเอ่ยตอบ

“ผมไม่ติดอะไรเลยครับ”

ชายร่างอ้วนหัวเราะและพูดขึ้นบ้าง

“ตาเฒ่าเป่ย ฉีเล่ยเขาไม่ได้คิดมากอะไรสักหน่อย แกนั่นแหละที่ชอบตีโพยตีพายไปเอง แต่จะว่าไป เธอจะเริ่มได้รึยังล่ะ? ฉันเองก็อยากเห็นใจจะขาดแล้วเหมือนกัน!”

“อืม งั้นมาเริ่มกันเลยดีกว่า”

เป่ยฉวนเทียนกล่าวต่อว่า

“ฉีเล่ย ก่อนหน้านี้ฉันบอกว่าจะประลองกับเธอใช่ไหม? แต่ขอเปลี่ยนอะไรข้อตกลงเล็กน้อย คือตาเฒ่าพวกนี้ก็ร้อนวิชาอยากจะประลองกับเธอเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็เอาเป็นว่า เราจะประลองกันทั้งหมดสามรอบ สองรอบแรกเป็นการวินิจฉัยกับการจัดสูตรยา ส่วนรอบที่สามเป็นการแข่งฝังเข็ม เธอมีความเห็นยังไงบ้างล่ะ?”

“ไม่มีปัญหาเลยครับ”

ฉีเล่ยยิ้มพร้อมพยักหน้าตอบด้วยความเต็มใจทันที เขาทราบดีอยู่แล้วว่า ชายชราทั้งสามคนนี้เองก็อยากที่จะทดสอบศักยภาพของเขาด้วยทักษะทั้งหมดที่มีเช่นกัน

…..

เป่ยจ้าวหยวนยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู ทันใดนั้นก็มีชายในชุดสูทสีดำตรงเข้าพูดอะไรสักอย่างกับเขาก่อนจะเดินออกไป

เป่ยจ้าวหยวนได้ยินแบบนั้นก็ตรงเข้ามามากลางวงสนทนา พร้อมกับร้องถามออกไปว่า

“คุณปู่ครับ ทุกอย่างพร้อมแล้ว จะเริ่มกันเลยดีไหมครับ?”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset