ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 17 ใจแกร่งดั่งพยัคฆ์ (2)

ตอนที่  1 7  ใจแกร่งดั่งพยัคฆ์  ( 2 )

และก็เป็นดังเช่นฉีเล่ยคิดจริงๆ เฉินอวี้หลัวไม่ได้อยู่ในรถมินิแวนคันนั้น ..

ทันทีที่ประตูรถมินิแวนเปิดออก ก็มีท่อนแขนแข็งแกร่งกำยำคู่หนึ่งพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว และลากร่างของฉีเล่ยเข้าไปในรถทันที จากนั้น โจรลักพาตัวทั้งสี่คนด้านล่าง ก็รีบผลักร่างของฉีเล่ยไปตรงกลาง ในขณะเดียวกัน พวกมันก็รีบตามขึ้นไป พร้อมกับปิดประตูรถทันที

“นี่พวกแกทำอะไรกัน ?  พวกแกคิดจะทำอะไรกันแน่ ? ”

ฉีเล่ยแกล้งทำเป็นร้องตะโกนออกไปด้วยความตระหนกตกใจ แต่ความจริงแล้ว ภายในใจของเขานั้นกลับสงบนิ่งอย่างที่สุด ในขณะที่ภายนอกแสดงสีหน้าท่าทางหวาดผวา แต่ภายในกลับนึกเย้ยหยัน

หลังจากขึ้นไปบนรถแล้ว ฉีเล่ยจึงได้เห็นว่า โจรลักพาตัวมีอยู่ทั้งหมดหกคน และทุกคนล้วนแล้วแต่สวมผ้าปิดบังใบหน้าที่แท้จริงไว้ แต่ด้วยความสามารถพิเศษในการรับรู้ของชายหนุ่ม ทำให้เขาสามารถมองเห็นใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผ้ากำบังได้อย่างชัดเจน

แต่น่าแปลก ที่ทั้งหกคนนั้น กลับไม่มีหลิวไห่หยางอยู่ด้วย ..

ฉีเล่ยยังคงเชื่อว่า เรื่องนี้น่าจะเป็นแผนการของหลิวไห่ผิง และเขาน่าจะเป็นคนที่อยู่กับเฉินอวี้หลัวในตอนนี้

หลังจากที่ฉีเล่ยถูกลากเข้าไปในรถแล้ว หนึ่งในนั้นก็ได้ใช้เชือกป่านมัดมือของชายหนุ่มไพล่หลังไว้ ในระหว่างนั้น ฉีเล่ยก็แกล้งทำเป็นดิ้นรนไม่หยุด จนกระทั่งรู้สึกเย็นวาบที่ลำคอขึ้นมา และเวลานี้ ปลายมีดสั้นเล่มหนึ่งก็กำลังจี้อยู่ที่ลำคอของเขา

ฉีเล่ยจึงได้หยุดดิ้นทันที ทำให้โจรที่อยู่ด้านหลังสามารถมัดแขนของเขาได้ง่ายขึ้น หลังจากที่ผูกมือของฉีเล่ยเรียบร้อยแล้ว โจรที่อยู่ด้านหน้า ก็ได้คว้าซองเช็คออกมาจากกระเป๋าเสื้อของชายหนุ่ม แล้วหยิบเอาเช็คด้านในออกมาดู

เช็คฉบับนี้เป็นเช็คจริง และมีตราประทับของธนาคารจริง มิหนำซ้ำด้านล่างยังมีลายเซ็นของฉีเล่ยอีกด้วย

แต่ถึงอย่างนั้น เช็คที่มีตราประทับของทางธนาคาร และมีลายเซ็นของเจ้าของบัญชี ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากอะไร จะกรอกตัวเลขลงไปสักเท่าไหร่ก็ได้ ..

เพียงแต่ว่า ..  ท้ายที่สุดจะสามารถนำไปขึ้นเงินได้หรือไม่เท่านั้นเอง ขึ้นอยู่กับว่าในบัญชีนั้น มีจำนวนเงินมากพอที่จะจ่ายให้ตามจำนวนเงินในเช็คหรือไม่ก็อีกเรื่อง

โจรคนนั้นก้มลงมองเช็คในมืออีกครั้ง ก่อนจะถามขึ้นว่า “แล้วพวกเราจะมั่นใจได้ยังไงว่า เช็คนี่จะไม่เด้ง ..”

ฉีเล่ยที่ตอนนี้ถูกจับมัดมือไพล่หลังแน่นจนรู้สึกเจ็บแปลบที่ไหล่ทั้งสองข้าง ทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับเนื้อขยับตัว จึงได้แต่ตอบกลับไปนิ่งๆ

“พรุ่งนี้ธนาคารเปิด พวกแกก็เอาเช็คนี้ไปขึ้นเงินดูสิ จะได้รู้ว่ามันเด้ง หรือไม่เด้ง ?”

โจรคนนั้นพยักหน้าเห็นด้วยกับคำแนะนำของฉีเล่ย ..

ท่ามกลางความเป็นความตายเช่นนี้ ใครกันจะกล้าล้อเล่นกับชีวิตของตัวเอง เพราะต่อให้มีเงินทองมากมายแค่ไหน แต่หากไร้ซึ่งชีวิต เงินทองเหล่านั้นก็เปล่าประโยชน์ และถ้าพรุ่งนี้ไม่สามารถนำเช็คไปขึ้นเงินได้ แน่นอนว่า ผู้ชายคนนี้ก็จะต้องตายด้วยเช่นกัน !

แต่ถึงแม้เช็คฉบับนี้จะขึ้นเงินได้ ชายหนุ่มก็ยังต้องตายอยู่ดี !

ฉีเล่ยขยับเนื้อขยับตัวให้อยู่ในท่าที่เจ็บปวดไหล่ และแขนทั้งสองข้างน้อยกว่าเดิม จากนั้น จึงพูดกับโจรในรถว่า

“นี่ ..  พวกแกทำแบบนี้ทำไมกัน ?  ในเมื่อฉันยอมจ่ายเงินเรียกค่าไถ่ให้แล้ว ทำไมยังต้องจับตัวฉันมาด้วย ?  รู้มั๊ยว่าฉันเป็นหัวหน้าครอบครัว แล้วก็เป็นคนเดียวในบ้านที่หาเงินเลี้ยงดูทุกคน ..”

“หุบปากได้แล้ว ! ”

โจรที่ถือมีดจี้คอฉีเล่ยเมื่อครู่ ชกเข้าที่ใบหน้าของเขา พร้อมกับตวาดเสียงดัง “พวกฉันกำลังจะพาแกไปพบภรรยา แกควรต้องขอบคุณพวกฉันถึงจะถูก !”

หลังจากหมอนั่นพูดจบ ภาพที่ฉีเล่ยเห็นก็พลันเหลือเพียงแค่ความมืดมิด นั่นเพราะเวลานี้ ศรีษะของเขาถูกคลุมไว้ด้วยถุงผ้าสีดำ ..

จากนั้น เสียงสตาร์ทรถก็ดังขึ้น แล้วรถมินิแวนก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปในทันที ..

หลังจากถูกต่อยหน้าเข้าไปหนึ่งหมัด ฉีเล่ยก็เริ่มรู้สึกว่า ใบหน้าของเขาชาไปครึ่งซีก และดูเหมือนตามไรฟันของเขา จะมีเลือดไหลออกมาด้วย

แต่นับว่าโชคดี เพราะนี่เป็นบาดแผลเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว เลือดก็หยุดไหลแล้ว เพียงแต่ เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อย เพราะต้องคอยทำตัวสั่นอยู่ตลอดเวลา

ความจริงแล้ว หากอาการสั่นสะท้านของร่างกาย เกิดจากความหนาว หรือว่าความกลัวนั้น ก็คงจะไม่ได้สร้างความเหน็ดเหนื่อยอะไรให้กับคนผู้นั้นมากนัก แต่การที่ต้องแกล้งทำเป็นสั่นนั้น กลับทำให้ร่างกายเหน็ดเหนื่อยมากกว่า

และเวลานี้ ฉีเล่ยก็กำลังเหน็ดเหนื่อยเพราะสิ่งนั้น !

แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก และจำเป็นต้องแกล้งทำเป็นหวาดกลัวจนตัวสั่นต่อไป เพราะหลังจากถูกจับมัดมือไพล่หลัง และเอาถุงดำคลุมหัวแล้ว หากเขายังสามารถสงบนิ่งอยู่ได้ ก็จะสร้างความระแวงสงสัยให้กับโจรกลุ่มนี้ได้

โจรทั้งหกคนที่อยู่ในรถ ดูเหมือนจะพออกพอใจกับผลงานของตนเองในครั้งนี้มาก พวกมันจึงไม่ได้สนใจฉีเล่ยนัก แล้วคนที่ถือเช็คไว้ในมือก็พูดขึ้นว่า

“แกทำดีมาก ที่ไม่แจ้งตำรวจ  และถ้าแกทำตัวเชื่อฟั ง ว่านอนสอนง่ายแบบนี้ พวกเราก็จะไม่ให้แกต้องเจ็บตัวมาก .. ”

คำพูดประโยคสุดท้ายของโจรผู้นั้น เป็นการบอกนัยๆว่า พวกมันไม่ได้คิดที่จะไว้ชีวิตเขา ฉีเล่ยจึงแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ และถามออกไปด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว

“พี่ชาย !  แล้วเมื่อไหร่ถึงจะปล่อยฉันกับภรรยาไปล่ะ ?  พวกเราต่างก็ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน มิหนำซ้ำยังไม่เคยรู้จักกันด้วยซ้ำ อีกอย่าง ฉันเองก็นำเงินมาให้ตามสัญญาแล้ว .. ”

ชายที่ถือมีดสั้นหันไปแสยะยิ้มให้กับเพื่อน ก่อนจะตอบฉีเล่ยกลับไปว่า “ไม่ต้องห่วง !  พวกเราไม่ได้คิดที่จะฆ่าใครอยู่แล้ว และที่เมื่อครู่พวกเราต้องลากแกขึ้นมาบนรถ ก็เพราะกลัวว่าจะมีตำรวจแอบดักซุ่มอยู่ต่างหาก ..”

“ไม่ๆ รับรองว่าไม่มีตำรวจแน่ๆ ! ”

ฉีเล่ยแกล้งทำเป็นร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา “ฉันไม่ได้แจ้งตำรวจจริงๆนะ !  ชีวิตของภรรยาฉันอยู่ในกำมือของพวกแก ฉันจะกล้าขัดคำสั่งได้ยังไงล่ะ แล้วฉันก็ยินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ..”

“ก็ดี !  ถ้าอย่างนั้นก็ให้ความร่วมมือกับพวกเราต่อไปก็แล้วกัน ทำตัวให้ว่านอนสอนง่ายล่ะเด็กน้อย และที่สำคัญ แกช่วยหุบปากได้แล้ว ! ”  ชายที่ถือมีดสั้นหันไปตวาดใส่ฉีเล่ยด้วยความรำคาญ

ฉีเล่ยจึงได้แต่นิ่งเงียบ และไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย !

แน่นอนว่า มีสิ่งหนึ่งที่โจรทั้งหกคนไม่รู้ก็คือ ถุงผ้าสีดำที่คลุมศรีษะของเขาอยู่เวลานี้ ไม่สามารถปิดบังการรับรู้ของฉีเล่ยได้ !

นั่นเพราะความจริงแล้ว เวลานี้ ฉีเล่ยสามารถมองเห็นทุกอย่างภายนอกรถมินิแวนได้อย่างชัดเจน มิหนำซ้ำ ยังมีครอบคลุมรัศมีได้ไกลถึงห้าสิบเมตรอีกด้วย

หลังจากที่ได้ดูดซับเอาแก่นวิญญาณจากลูกทองแดงเข้าไปแล้ว การรับรู้ที่เหนือคนทั่วไปของฉีเล่ยนั้น ก็ได้สร้างความสะดวกสบายให้กับตัวเขามาก เขาเคยอ่านเจอแต่ในนิยาย แต่เวลานี้ สิ่งที่อัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นกับตัวเขาเอง นั่นเพราะทักษะพิเศษที่เขาได้รับมาในเวลานี้ ทำให้เขาสามารถรับรู้ภาพต่างๆได้โดยไม่ต้องใช้สายตา

ฉีเล่ยรับรู้ภาพของถนนเส้นที่รถวิ่งผ่น และบริเวณรอบๆ พร้อมกับบันทึกมันไว้ในความจำ แต่ไม่ใช่เพื่อนำไปบอกตำรวจ เขาจดจำไว้เพื่อหาหนทางกลับบ้านต่างหาก เพราะการต้องหลงทางในเวลากลางคืน นับเป็นเรื่องที่ยุ่งยากไม่น้อยทีเดียว ..

รถมินิแวนยังคงมุ่งหน้าไปตามถนนอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง และทั้งหมดก็เกือบจะออกนอกใจกลางเมืองหนานหยางอยู่แล้ว แต่ในที่สุดรถมินิแวนก็ไปหยุดอยู่หน้าสถานที่แห่งหนึ่ง

ฉีเล่ยที่เริ่มรู้สึกง่วง และเบื่อหน่ายเนื่องจากนั่งรถมานานเกินไป จึงได้แก้เบื่อด้วยการมองดูสีกางเกงชั้นในของโจรทั้งหกคนเล่น ..

‘โอ้โห ..  หมอนี่ใส่สีแดงแป๊ดเชียว ! ’

‘หืมม ..  โจรอะไรใส่กางเกงชั้นในสีชมพูด ! ’

‘ห๊ะ ?!  เดี๋ยวๆ นั่นมัน ..  หมอนั่นไม่ใส่กางเกงในเหรอนี่ ? ’

‘ถึงแม้นกเขาของหมอนี่จะไม่ได้สั้นนัก แต่ก็ผอมเล็กเกินไป ใช้ประโยชน์ได้ไม่ดี .. ’

รถมินิแวนเลี้ยวแล้วเลี้ยวอีกอยู่หลายครั้ง ฉีเล่ยคำนวณอยู่ในใจว่า จากบ้านของเขามาถึงบริเวณนี้ ก็น่าจะราวเจ็ดสิบกิโลเมตรได้ และในที่สุด รถมินิแวนก็ค่อยๆชะลอ เป็นการบ่งบอกว่ามาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

ด้านหน้าของเขาเวลานี้เป็นป่าไม้หนาทึบ และดูเหมือนจะขับรถเข้าไปไม่ได้ พวกมันจึงต้องจอดรถไว้ข้างทาง หลังจากนั้น โจรทั้งหกก็ได้ลงจากรถ พร้อมกับคุมตัวฉีเล่ยลงมาด้วย จากนั้น ก็ได้พาตัวเขาเดินเลาะไปตามชายป่า

ทั้งหมดเดินเข้าไปในป่าค่อนข้างลึก และในที่สุดฉีเล่ยก็ได้พบว่า กลางป่าแห่งนี้เป็นพื้นที่โล่ง และมีแม่น้ำไหลผ่าน บนพื้นผิวน้ำมีเรือเก่าๆจอดอยู่ลำหนึ่ง สีกระดำกระด่าง และมีตะไคร่น้ำขึ้นอยู่รอบลำ

แต่ถึงแม้จะเก่า แต่เรือลำนี้ก็ค่อนข้างใหญ่โตทีเดียว และมีถึงสองชั้น ดูเหมือนจะเป็นเรือท่องเที่ยวที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว

ฉีเล่ยอดที่จะยอมรับไม่ได้ว่า โจรลักพาตัวกลุ่มนี้ช่างหาสถานที่ซ่อนตัวได้ลึกลับมากจริงๆ เวลานี้เป็นช่วยปลายฤดูใบไม้ร่วง อากาศจึงค่อนข้างเย็น ในสภาพอากาศเช่นนี้ มีน้อยคนนักทีคิดจะมาเที่ยวเล่นริมฝั่งแม่น้ำที่เงียบเหงาเช่นนี้ ส่วนใหญ่จะเลือกไปเที่ยวสถานที่ที่มีผู้คนคึกคักเสียมากกว่า

ฉีเล่ยสังเกตเห็นว่า ภายในห้องโดยสารของเรือลำนั้น ได้มีการดัดแปลงเป็นห้องนอน และห้องเก็บสัมภาระต่างๆ อีกทั้งบางส่วนยังถูกดัดแปลงเป็นห้องครัว ที่เวลานี้มีถังแก๊สซึ่งด้านบนมีกาต้มน้ำที่กำลังเดือดตั้งอยู่

ทั้งหมดนี้บ่งบอกว่า โจรกลุ่มนี้ดูเหมือนจะหลบมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ได้สักระยะแล้ว เป็นไปได้อย่างยิ่งว่า พวกมันเป็นอาชญากรที่กำลังหลบหนีการจับกุมจากทางตำรวจอยู่

และภายในห้องเก็บของมืดสนิทที่อยู่ภายในห้องโดยสาร ฉีเล่ยก็รับรู้ได้ว่า เฉินอวี้หลัวถูกขังอยู่ด้านใน !

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset