ตอนที่ 1 8 ใจแกร่งดั่งพยัคฆ์ ( 3 )
หลังจากที่ถูกโจรทั้งหกคนฉุดกระชากร่างให้เดินไปข้างหน้าไกลมากแล้ว แต่เวลานี้ ทุกคนก็ยังคงอยู่ห่างจากห้องเก็บของนั้นไปถึงสิบกว่าเมตร และในวินาทีที่ฉีเล่ยรับรู้ได้ว่า เฉินอวี้หลัวถูกขังไว้ในห้องนั้น เขาก็ได้แต่ขบฟันแน่น และพยายามกดข่มอารมณ์โกรธไว้ภายในใจ
หญิงสาวถูกมัดมือไพล่หลังติดกับขาโต๊ะตัวหนึ่ง และเวลานี้ร่างของเธอก็เปียกโชกไปตั้งแต่หัวจรดเท้า เห็นได้ชัดว่า เธอถูกพวกมันราดด้วยน้ำเย็น และไม่รู้ว่าถูกทรมานเช่นนี้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ..
อุณหภูมิภายในบริเวณแม่น้ำนี้ก็ลดต่ำลงในช่วงเวลากลางคืน อีกทั้งเรือลำนี้ก็มีรู และช่องลมอยู่เต็มไปหมด ไม่สามารถกำบังสายลมที่พัดเข้ามาได้เลย อุณหภูมิที่เย็น ประกอบกับสายลม และน้ำที่เปียกชะโลมทั่วร่าง มีหรือที่หญิงสาวจะสามารถทานทนได้ ?
หากไม่ใช่เพราะเวลานี้เขาถูกจับมัดมือไพล่หลังไว้แล้วล่ะก็ ฉีเล่ยคงต้องฆ่าคนพวกนี้ไปแล้วอย่างแน่นอน !
นี่เป็นครั้งแรกในตลอดหลายปี ที่ฉีเล่ยไม่เคยรู้สึกโกรธมากเช่นนี้มาก่อน แม้ว่าตลอดแปดปีที่ผ่านมา เขาจะอยู่อย่างไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรี แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกโกรธอย่างที่สุดเหมือนเช่นเวลานี้มาก่อนเลย
เมื่อทั้งหมดเดินขึ้นไปบนเรือ โจรคนหนึ่งก็ได้เดินนำหน้าไป พร้อมกับหยิบกุญแจออกมาเปิดประตูห้องเก็บของ ก่อนจะผลักร่างของฉีเล่ยเข้าไปด้านใน
จากนั้น คนที่เหลือก็ช่วยกันกดร่างของเขาไว้ ส่วนอีกคนก็ใช้เชือกสองสามเส้น จัดการมัดแขนของเขาไว้กับขาโต๊ะข้างๆเฉินอวี้หลัวทันที
เวลานี้ ริมฝีปากของหญิงสาวเริ่มเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำเพราะความเหน็บหนาว ร่างทั้งร่างของเธอสั่นสะท้านไม่หยุด และพยายามลืมตาขึ้นมองคนที่ถูกมัดอยู่ข้างๆ แต่เนื่องจากถุงดำที่คลุมหัวฉีเล่ยอยู่ ทำให้เฉินอวี้หลัวไม่รู้ว่านั่นคือสามีของเธอ หญิงสาวได้แต่คิดว่า นี่คงจะเป็นคนที่โชคร้ายอย่างเธออีกคน ที่ถูกโจรเรียกค่าไถ่จับตัวมา ..
เมื่อพวกโจรจัดการมัดฉีเล่ยไว้กับขาโต๊ะเรียบร้อยแล้ว พวกมันก็ดึงถุงดำที่คลุมศรีษะของเขาออกทันที เมื่อเฉินอวี้หลัวเห็นว่าเป็นฉีเล่ย ดวงตาทั้งสองข้างของหญิงสาวก็ถึงกับเบิกโพลง และจ้องมองร่างของชายหนุ่มตาไม่กระพริบ ..
“ฉีเล่ย ?!” หญิงสาวร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
“ฉีเล่ย ! ทำไมนายถึงถูกพวกมันจับตัวมาที่นี่ได้ ?”
และทันทีที่คำพูดประโยคนี้หลุดออกจากปาก เฉินอวี้หลัวก็นึกขึ้นมาได้ทันทีว่า เธอน่าจะถูกพวกโจรใช้เป็นเหยื่อล่อ เพื่อให้ฉีเล่ยตกหลุมพราง และถูกจับตัวมาในที่สุด
และเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่ได้เห็นว่าฉีเล่ยถูกจับตัวมา ร่างกายที่เคยบอบบางอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงของหญิงสาว ก็ไม่รู้ว่าไปเอาพลังมาจากไหน เธอร้องตะโกนเสียงดังใส่หน้าโจรเหล่านั้นทันที
“ปล่อยเขาไปเดี๋ยวนี้นะ ! ถ้าพวกแกอยากจะทำอะไร ก็มาลงกับฉันนี่ ! มาทำกับฉันสิ !
แปะ .. แปะ ..
“โอ้โห ! ช่างน่าประทับใจอะไรแบบนี้ ?”
แล้วจู่ๆ เสียงปรบมือพร้อมกับเสียงชื่นชม ก็ดังออกมาจากหน้าประตูห้องเก็บของ จากนั้นไม่กี่อึดใจ กลุ่มโจรลักพาตัวต่างก็พากันลุกขึ้นยืน และถอยห่างออกมาจากหญิงชายทั้งสองคน
เฉินอวี้หลัวที่ยังคงโมโหจนควันออกหูอยู่นั้น ได้แต่จ้องมองคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยความตกตะลึง และไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีกแม้แต่คำเดียว !
นั่นเพราะหญิงสาวคิดไม่ถึงจริงๆว่า คนที่ลักพาตัวเธอมาเรียกค่าไถ่ในครั้งนี้ กลับเป็นเพื่อนร่วมงานของเธอเอง เขาคือหลิวไห่หยาง !
นับตั้งแต่จับตัวเฉินอวี้หลัวถูกจับตัวมา หลิวไห่หยางก็ยังไม่เคยปรากฏตัวเลยสักครั้ง แต่เวลานี้ ทั้งหญิงสาวและชายหนุ่มที่หลิวไห่หยางนับเป็นศัตรู ได้ถูกจับตัวมาพร้อมกันเช่นนี้ นับว่าการแก้แค้นของหลิวไห่หยางได้ประสบความสำเร็จ เขาจึงรู้สึกพออกพอใจเป็นอย่างมาก
ฉีเล่ยจ้องมองใบหน้าที่กระหยิ่มยิ้มย่องของหลิวไห่หยาง พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฉันคิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นแก !”
หลิวไห่หยางยิ้มเย้ย พร้อมกับร้องถามขึ้นว่า “งั้นเหรอ ? แล้วยังไง ? แกจะทำอะไรฉันงั้นเหรอ ?”
หลังจากพูดจบ หลิวไห่หยางก็เอื้อมมือไปคว้ามีดที่อยู่ในมือของโจรคนหนึ่งมา แล้วค่อยๆก้าวเดินไปหาคนทั้งคู่ ในขณะเดียวกัน ก็ตวัดมีดสั้นในมือไปมา พร้อมกับจ้องมองเฉินอวี้หลัวด้วยสีหน้าแววตาดุดัน หญิงสาวเห็นเช่นนั้นก็ถึงกับตัวสั่นขึ้นมาอย่างรุนแรง
หลิวไห่หยางร้องตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้น “พวกแกสองคนทำให้ฉันต้องสูญเสียหน้าที่การงาน และหมดสิ้นอนาคต ฉันก็จะทำให้พวกแกสองคน ต้องสูญเสียชีวิตที่เหลือต่อไปเหมือนกัน แบบนี้ยุติธรรมดีมั๊ยล่ะ ?”
จากนั้น หลิวไห่หยางก็ได้ย่อตัวลงพร้อมกับใช้ปลายมีดเชยคางของเฉินอวี้หลัวขึ้น พร้อมกับพูดต่อว่า “อวี้หลัว ขอผมคิดก่อนว่าจะทรมานคุณยังไงดี ?”
“อืมม .. ไม่รู้ว่าใบหน้าสวยๆนี้จะเป็นยังไงถ้าถูกจับแก้ผ้า ? ฮ่าๆๆ ไหนๆสามีของคุณก็อยู่ข้างๆแล้ว ผมว่าพวกเราสองคน .. มาทำอะไรสนุกๆต่อหน้ามันจะดีกว่า ! อีกอย่าง ผมเองก็ไม่ได้แตะต้องผู้หญิงมานานแล้ว คุณเองก็เป็นหมอ เป็นนางฟ้าชุดขาวไม่ใช่เหรอ ? ฮ่าๆๆๆ”
หลายครั้งที่เฉินอวี้หลัวพยายามเมินหน้านี้สายตาดุดันคลุ้มคลั่งของหลิวไห่หยาง แต่มันก็จะดันใบหน้าของหญิงสาวให้กลับมามองหน้ามันทุกครั้งไป
และเวลานี้ น้ำตาก็เริ่มไหลพรากอาบแก้มทั้งสองข้างของหญิงสาว ..
เฉินอวี้หลัวทั้งหวาดกลัว และตื่นตระหนกตกใจอย่างที่สุด หากโจรถ่อยชั่วช้าพวกนี้ต้องการที่จะลวนลามเธอต่อหน้าฉีเล่ยผู้เป็นสามีแล้วล่ะก็ เธอยอมตายเสียจะดีกว่า ..
จากนั้น หลิวไห่หยางก็หันมองไปทางฉีเล่ย ก่อนจะพูดต่อว่า “แกคงจะยังไม่เคยเห็นเมียตัวเองมีอะไรกับผู้ชายคนอื่นต่อหน้าต่อตาสินะ ? แต่เดี๋ยวแกจะได้เห็นแน่ ! แกเห็นมั๊ยว่า พวกเรามีกันอยู่ตั้งหลายคน แต่ละคนก็ร่างกายกำยำแข็งแกร่ง ทั้งนั้น เดี๋ยวพวกฉันทั้งหมดจะผลัดกันนอนกับเมียแกจนตายไปข้างเลย ฮ่าๆๆๆ”
หลิวไห่หยางเงยหน้าขึ้นหัวเราะราวกับคนคลุ้มคลั่ง ก่อนจะหันไปพูดกับฉีเล่ยต่อว่า “อ่อ .. ฉันได้ยินมาว่าแกไม่ได้แจ้งตำรวจใช่มั๊ย ? ดี .. แกทำดีมาก ! นับว่าเป็นเด็กที่เชื่อฟัง และทำตามคำสั่งได้ดีมาก เอาล่ะ ฉันจะให้รางวัลกับแก ให้แกได้เลือกว่าจะตายแบบไหนดี ?”
หลิวไห่หยางทำสีหน้าท่าทางครุ่นคิด ก่อนจะพูดต่อด้วยสีหน้าแววตาโหดเหี้ยม “จับใส่กรงถ่วงน้ำเหมือนหมูดี .. หรือจะค่อยๆแล่เนื้อออกมาทีละชิ้นดีนะ .. มีอีกหลายวิธีที่ฉันจะเล่นสนุกกับแกก่อนตาย โดยที่ไม่ว่าแกจะกรีดร้องเสียงดังแ ค่ ไหนก็ไม่มีใครได้ยิน !”
เวลานี้ สีหน้าและแววตาของฉีเล่ย บ่งบอกชัดเจนถึงความท้อแท้สิ้นหวัง !
นั่นเพราะ เขาพยายามที่จะแสดงออกมาให้ทุกคนเห็นว่า เขากำลังท้อแท้สิ้นหวังมากเพียงใดต่างหาก !
แม้ว่าเวลานี้ฉีเล่ยจะยังสามารถจ้องมองหลิวไห่หยาง ด้วยสีหน้าแววตาที่สงบอย่างมากไปจนถึงเย็นชาได้ แต่เขารู้ว่านั่นไม่ใช่วิธีการที่ดี และชาญฉลาดในเวลานี้
‘พูดอีกสิ !’
‘แกอยากจะพูดอะไร ก็รีบๆพล่ามออกมาให้หมด !’
‘รีบๆระบายความเคียดแค้นทั้งหมดของแกออกมากับคำพูดให้หมด เพราะนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่แกมีโอกาสได้พูดแบบนี้ ..’
ฉีเล่ยได้แต่แอบคิดอยู่ภายในใจเงียบๆ
จากนั้น หลิวไห่หยางก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับหันไปสั่งโจรในกลุ่มคนหนึ่งว่า “แกเฝ้าพวกมันไว้ให้ดีล่ะ ! ส่วนคนที่เหลือตามฉันออกไปหาอะไรกินกัน !”
หลังจากนั้น หลิวไห่หยางก็ได้เดินนำโจรทั้งห้าคนออกจากห้องเก็บของไปที่หัวครัว ทิ้งให้โจรที่มีมีดสั้นเป็นคนเฝ้าฉีเล่ยกับเฉินอวี้หลัวไว้ มันนั่งขัดสมาธิลงกับพื้น พร้อมกันแกว่งมีดในมือไปมา ..
เฉินอวี้หลัวเอนศรีษะซบไหล่ของฉีเล่ยพร้อมกับร้องไห้ หญิงสาวสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างของผู้เป็นสามี เธอรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่แล้วก็กระซิบบอกฉีเล่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“ฉีเล่ย .. หลังจากนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ได้โปรดอย่ามอง !”
“อืมม ไม่ต้องห่วง ผมจะไม่มองแน่ !”
เฉินอวี้หลัวยังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “ฉีเล่ย ฉันขอโทษที่ทำไม่ดีกับนายเมื่อหลายปีก่อน .. ฉันขอโทษ ! ฉันขอโทษจริงๆ แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ฉันอยากจะมีลูกกับนาย แล้วพวกเราสองคนก็เฝ้าดูการเจริญเติบโตของเขา ..”
“…”
จากนั้นหญิงสาวก็ได้ยกศรีษะขึ้นจากไหล่ของฉีเล่ย พร้อมกับจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่มแน่นิ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ที่รัก ! นายโกรธ แล้วก็ตำหนิฉันมั๊ย ที่ตลอดแปดปีฉันทำให้นายต้องอยู่อย่างคนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง .. มิหนำซ้ำ ตอนนี้ยังทำให้นายต้องมาลำบากลำบนแบบนี้อีก นายตำหนิฉันมั๊ย ?”
“ไม่เลย ! ”
ฉีเล่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงอู้อี้ และเวลานี้ น้ำตาของเขาก็เริ่มจะไหลออกมาเช่นกัน “ผมไม่เคยโกรธ หรือคิดตำหนิคุณเลยสักนิด ! ถ้าชีวิตหลังความตายมีจริง ผมก็ยังต้องการอยู่เป็นคู่สามีภรรยากับคุณเหมือนเดิม และยินยอมที่จะให้คุณข่มเหงรังแกผมได้ตามใจชอบด้วย ..”
“ที่รัก .. ”
ในระหว่างเวลาที่เหลืออยู่นั้น ชายหนุ่มหญิงสาวได้พูดคุยกันอยู่ตลอดเวลา และดูเหมือนบทสนทนาของพวกเขาทั้งสองคน จะดึงดูดความสนใจของโจรที่นั่งเฝ้าเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกัน มือที่ไพล่อยู่ด้านหลังของฉีเล่ยก็ไม่ได้อยู่นิ่งเช่นกัน
ก่อนที่จะมาตามนัดนั้น ฉีเล่ยได้ทำการซ่อนเข็มไว้ที่ข้อมือของตนเอง และเวลานี้ เขาก็ได้ดึงเข็มเล่มนั้นออกมา หลังจากที่ได้ถ่ายเทพลังชี่ในร่างลงไปที่เข็มเล่มนั้น แล้วจึงเริ่มใช้มันถูไถไปมากับเชือกที่ผูกอยู่
เข็มทองหางหงส์นี้ สามารถปรับเปลี่ยนเป็นอ่อนนุ่ม หรือแข็งแกร่งได้ตามแต่พลังชี่ที่ถูกถ่ายเทลงไป และเวลานี้ เข็มทองในมือของฉีเล่ย ก็ได้กลายเป็นวัตถุที่มีความคมยิ่ง และมีอานุภาพสามารถตัดลวดโลหะ หรือแม้แต่เหล็กแข็งให้ขาดได้ ..
โจรที่ทำหน้าที่เฝ้าชายหนุ่มและหญิงสาวนั้น ไม่ทันสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวทางด้านหลังของฉีเล่ย กระทั่งเฉินอวี้หลัวที่เอนกายซบร่างของเขาอีกครั้ง ก็ยังไม่สังเกตเห็นเช่นกัน
หญิงสาวยังคงบอกเล่าความในใจทั้งหมดให้กับฉีเล่ยฟัง เพราะเธอรู้ว่า นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เธอจะได้บอกความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อชายหนุ่ม
“ฉีเล่ย .. ถ้าชีวิตหน้า หรือชีวิตหลังความตายมีจริง ฉันสัญญาว่าจะไม่ข่มเหงรังแกนายอีก ฉันจะไม่ยอมให้นายต้องทนทุกข์ หรือขมขื่นใจแบบนั้นอีก เพราะที่ผ่านมาตลอดหลายปี ฉันก็ได้ทำร้ายนายไปมากแล้ว สิ่งที่ฉันทำกับนายมันไม่ต่างจากอาชญากรเลยสักนิด ..”
“คนดีของผม ! คุณไม่ใช่อาชญากรสักหน่อย อย่าลืมว่าพ่อของคุณเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยชีวิตผมไว้ ผมจึงมีหน้าที่ต้องตอบแทนบุญคุณให้กับสกุลเฉินต่างหาก ..”
ฉีเล่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน “เพียงแต่ .. หากชีวิตหลังความตายมีจริง กว่าชาติหน้าของเราสองคนจะมาถึง ก็ยังคงอีกยาวไกลมาก เพราะว่า ..”
จู่ๆ สายตาของเฉินอวี้หลัวก็เห็นเงาเลือนลางพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว โจรที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาทั้งสองคนก็มีอาการเดียวกัน
แต่เมื่อรู้สึกตัว มีดสั้นในมือของโจรผู้นั้นก็ได้อันตรธานหายไปแล้ว และในเวลาไม่กี่อึดใจต่อมา โจรผู้นั้นก็ได้ยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมลำคอของตัวเองไว้ พร้อมกับทำเสียงอยู่ในลำคอ
มันต้องการสูดลมหายใจเข้าออก แต่กลับพบว่าไม่สามารถทำได้ สิ่งที่ทำได้เวลานี้ มีเพียงแค่พ่นของเหลวบางอย่างออกจากปากเท่านั้น ซึ่งก็คือเลือดสีแดงสด ..
จากนั้น ร่างของมันก็ได้ล้มลงไปกับพื้น พร้อมกับชักกระตุกไม่หยุด !
ทันทีที่ร่างของโจรผู้นั้นล้มลงกับพื้น ก็ได้เผยให้เห็นร่างของฉีเล่ยที่อยู่ด้านหลัง และมือขวาของเขาก็ถือมีดสั้นคมกริบนั้นไว้ในมือ ส่วนมือซ้ายก็ยกขึ้นเช็ดเลือดสีแดง ที่พุ่งกระฉูดเปื้อนเต็มใบหน้าของตนเอง
“เพราะว่า .. ผมยังใช้ชีวิตในชาตินี้ไม่เต็มอิ่มเลย !”