ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 19 ใจแกร่งดั่งพยัคฆ์ (4)

ตอนที่ 19 ใจแกร่งดั่งพยัคฆ์ (4)

โจรลักพาตัวนอนชักกระตุกอยู่กับพื้น ค่อยๆใช้มือคลำลำคอของตัวเองดู ปรากฏว่า มีดคมนั้นได้ตัดเข้าที่ลำคอของเขาจนขาดออกเกือบครึ่ง ก่อนจะขาดใจตายในที่สุด เรียกได้ว่า ลำคอเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ที่ยังคงติดอยู่กับร่าง

ในระหว่างที่พูดคุยกับเฉินอวี้หลัวก่อนหน้านี้ ฉีเล่ยได้ใช้เข็มทองหางหงส์ตัดเชือกที่ผูกมือตนเองอยู่ราวครึ่งนาที หลังจากที่เป็นอิสระ เขาก็ได้พุ่งเข้าไปแย่งมีดจากมือของโจรผู้นั้น แล้วรีบจัดการสังหารมันตายในทันที

ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยความรวดเร็วอย่างมาก และกว่าที่โจรผู้นั้นจะรู้ตัว มันก็ได้สิ้นใจตายเสียแล้ว!

เฉินอวี้หลัวจ้องมองผู้เป็นสามีด้วยดวงตาเบิกกว้าง และได้แต่อ้าปากค้างด้วยความตระหนกตกใจ จนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เลยแม้แต่คำเดียว!

ฉีเล่ยเดินไปทางด้านหลังของหญิงสาว พร้อมกับย่อตัวลงใช้มีดสั้นในมือตัดเชือกที่มัดให้ ก่อนจะค่อยๆ ใช้นิ้วทั้งสิบนวดคลึงข้อมือ และไหล่ทั้งสองข้างให้เธอ เพื่อผ่อนคลายความเจ็บปวดหลังจากที่ถูกจับมัดไว้เป็นเวลานาน

จากนั้นจึงได้อุ้มร่างของหญิงสาวไปนั่งบนเก้าอี้ พร้อมกับใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปากของเธอเบาๆ พร้อมกับกระซิบบอกว่า

“ชวู่! อย่าส่งเสียงดัง แล้วก็ตกใจไป! เพราะหลังจากนี้ สามีของคุณกำลังจะฆ่าพวกมันทุกคน!”

แม้ว่าจะเป็นคำพูดที่ฟังดูน่าสะพรึงกลัว แต่หลังจากได้ฟัง ความสงบนิ่งกลับแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเฉินอวี้หลัว หญิงสาวรับรู้ได้ถึงความปลอดภัย และเป็นความรู้สึกปลอดภัยอย่างมากด้วย..

เฉินอวี้หลัวพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับจ้องมองฉีเล่ย ที่ถือกำลังถือมีดสั้นเดินตรงไปทางประตูห้องอย่างเงียบๆ

มีดที่ปักลงไปในลำคอของโจรเมื่อครู่นั้น ได้ตัดเข้าที่หลอดลมของมันในทันที ทำให้มันไม่มีโอกาสแม้แต่จะกรีดร้องออกมา หรือดิ้นรนหนีตาย และเวลานี้มันก็ได้กลายเป็นร่างไร้วิญญาณนอนอยู่กับพื้นห้องที่เย็นเฉียบ

ฉีเล่ยแอบอยู่หน้าประตูห้อง พร้อมกับเปิดสัมผัสพิเศษของตนเอง ออกสำรวจการเคลื่อนไหวภายในห้องครัว

เวลานี้ โจรทั้งห้าคนรวมทั้งหลิวไห่หยาง กำลังนั่งล้อมวงกินบะหมี่อยู่รอบโต๊ะกลมเล็กๆตัวหนึ่ง

จากบทสนทนาของพวกมันเวลานี้ ทำให้ฉีเล่ยได้รู้ว่า โจรกลุ่มนี้เป็นอาชญากรที่ร่วมกันก่อคดีฆ่าคนในเมืองอื่น และได้หลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ มาซ่อนตัวอยู่ในเมืองหนานหยาง

และหนึ่งในหกของกลุ่มโจรนี้ ก็เป็นเพื่อนกับคนไข้คนหนึ่งของหลิวไห่หยาง ซึ่งมารักษากับเขาจนเกิดความสนิทสนมกัน แต่หลิวไห่หยางเองก็ไม่ได้รู้ว่าชายคนนี้มีอาชีพอะไร

แต่จะว่าไปก็เป็นเรื่องที่บังเอิญมากจริงๆ เพราะหลังจากที่หลิวไห่หยางถูกทางโรงพยาบาลไล่ออก ด้วยความโกรธแค้นใจ เขาจึงคิดที่จะหาทางแก้แค้นฉีเล่ยกับเฉินอวี้หลัว ซึ่งแน่นอนว่า เรื่องใหญ่โตแบบนี้ เขาไม่สามารถลงมือเพียงลำพังได้

ท้ายที่สุดเขาก็ได้ไปปรึกษาเรื่องนี้กับคนไข้ที่สนิทสนมกัน และคนไข้ของเขาคนนี้ ก็ได้พาเขาไปพบกับโจรทั้งหกคนที่กำลังหนีการจับกุมของตำรวจอยู่

ฝ่ายหนึ่งต้องการแก้แค้น แต่อีกฝ่ายหนึ่งต้องการเงิน ความร่วมมือจึงได้เกิดขึ้น!

เวลานี้ หลิวไห่หยางกับโจรทั้งหกได้ลงเรืองลำเดียวกันแล้ว พวกเขาตกลงกันไว้ว่า หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจนี้ ทั้งหมดจะหนีเข้ามาเก๊า ก่อนจะเดินทางไปซ่อนตัวที่ประเทศเม็กซิโกต่อไป

และทุกอย่างก็ดำเนินไปตามแผนอย่างไร้ปัญหา!

ไม่ว่าจะเป็นแผนการ ไปจนถึงการลงมือปฏิบัติ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเรียบร้อย อีกทั้งยังสามารถที่ซ่อนตัวได้อย่างมิดชิด จนยากที่จะมีใครมาพบเห็นได้

และแน่นอนว่า เหยื่อทั้งสองคนจะต้องถูกทรมาน และต้องตายอย่างน่าอนาถอยู่บนเรือลำนี้ อย่างยากที่จะหลีกเลี่งได้..

แต่นับว่าโชคร้ายที่หนึ่งในเหยื่อเป็นฉีเล่ย!

และที่เขาไม่ต้องการแจ้งตำรวจเรื่องนี้ตั้งแต่แรก ก็เพราะรอคอยเวลานี้ต่างหากเล่า..

หากเขาปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างมาก พวกมันก็ถูกจับกุมตัวไปสอบสวน จากนั้นจึงจะดำเนินคดีกับพวกมันต่อไป ซึ่งขั้นตอนต่างๆ จะดำเนินไปค่อนข้างล่าช้า..

แล้วพวกมันจะได้รับโทษตายเมื่อไหร่ ก็ไม่มีใครรู้ได้?

ไม่.. ฉีเล่ยไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น เพราะนั่นเป็นโทษที่สบายเกินไปสำหรับพวกมัน!

สำหรับการกำจัดคนที่มีจิตใจชั่วร้ายโหดเหี้ยมแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องรบกวนยมบาลเลยแม้แต่น้อย ฉีเล่ยจะตัดสินโทษของพวกมันอย่างสาสมเอง..

ฉีเล่ยย่องออกไปนอกห้องเก็บของอย่างเงียบๆ และค่อยๆเดินไปตามทางเดินซึ่งอยู่ตรงกลาง ส่วนสองข้างทางนั้นเป็นห้องซึ่งมีอยู่ทั้งหมดสามห้องด้วยกัน

ห้องครัวนั้นเป็นห้องที่สอง และอยู่ทางด้านซ้ายมือของเขา และเวลานี้ทั้งหกคนก็ดูเหมือนจะกินบะหมี่กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกมันจึงได้นั่งปรึกษากันว่า จะจัดการกับเฉินอวี้หลัวอย่างไรดี?

เวลานี้ ฉีเล่ยกำลังยืนพิงผนังด้านนอกอยู่ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก และอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครสนใจนี้ ค่อยๆย่องไปยืนแอบอยู่อีกฝั่งของห้องครัว

ฉีเล่ยดูประหนึ่งเสือที่เฝ้ารอเหยื่ออย่างสงบนิ่ง..

ในที่สุด คนแรกที่ลุกขึ้นยืนก็คือหลิวไห่หยาง ปากของเขาคาบไม้จิ้มฟันไว้ ในขณะที่มือทั้งสองข้างก็ได้ปลดขอกางเกงออก และกำลังเดินไปทางประตูห้องครัว พร้อมกับพ่นไม้จิ้มฟันที่คาบอยู่ออกจากปาก

สีหน้าของหลิวไห่หยางเวลานี้เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัว และสะใจอย่างมาก เมื่อคิดว่า หลังจากนี้ เขาจะได้ทำการทรมานเฉินอวี้หลัวต่อหน้าฉีเล่ย และเพียงแค่คิด เขาก็รู้สึกมีความสุขอย่างมากแล้ว

หลังจากนั้น ที่เหลืออีกห้าคนก็ได้ลุกขึ้นยืน และเดินตามหลังหลิวไห่หยางไปทันที ทั้งหมดเดินไปตามทางเดินมุ่งหน้าไปยังห้องเก็บของ แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่า อีกมุมหนึ่งของห้องครัวนั้น ได้มีร่างของเทพเจ้าแห่งความตายซ่อนอยู่..

หลังจากที่ทั้งหมดเดินออกไปจากห้องครัวแล้ว ฉีเล่ยที่หลบซ่อนตัวอยู่ ก็ได้แอบเข้าไปในห้องครัว และเห็นกาต้มน้ำที่วางอยู่บนเตา

บนเรือลำนี้ไม่มีไฟฟ้า ต้องใช้เทียนไขให้ความสว่าง และเวลานี้ บนโต๊ะอาหารก็มีเทียนวางอยู่สองสามเล่ม ที่พวกมันทั้งหกคนได้เป่าดับก่อนที่จะเดินออกไปจากห้อง

เพราะฉะนั้น แสงไฟเดียวที่มีอยู่ก็คือ ไฟจากเตาถ่านที่มีกาน้ำร้อนซึ่งกำลังเดือด และกำลังส่งเสียงฟู่ๆ อยู่เท่านั้น

ฉีเล่ยไม่รอช้า เขารีบเอื้อมมือไปหิ้วกาต้มน้ำ แล้ววิ่งออกไปจากห้องครัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะค่อยๆ ย่องตามหลังกลุ่มโจรทั้งหมดไปอย่างเงียบๆ

และยังไม่ทันที่จะเดินไปถึงห้องเก็บของด้วยซ้ำไป ฉีเล่ยก็จัดการเปิดฝากาน้ำร้อนในมือ พร้อมกับยกขึ้นเทรดศรีษะของโจรที่อยู่ด้านหลังสุดทันที

“อ๊าก!!”

หลังจากที่ถูกน้ำร้อนเดือดราดเข้าไป โจรที่อยู่ด้านหลังสุดก็ถึงกับกรีดร้องอกมา พร้อมกับกระโดดโลดเต้นด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงกลิ้งไปมากับพื้น เวลานี้ ใบหน้าของมันได้เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ผิวหนังบริเวณหน้าผากที่ถูกน้ำร้อนลวกนั้นกลายเป็นตุ่มพอง

เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากด้านหลัง ด้วยสัญชาติญาณ ทั้งห้าคนที่อยู่ด้านหน้า ก็หันหลังกลับมามองทันที และสิ่งที่พวกมันพบเห็นก็คือมีดสั้นที่คมกริบ!

และทันทีที่สองคนด้านหลังสุดซึ่งเดินเคียงข้างกัน หันหลังกลับมาพร้อมกันนั้น ก็ถูกมีดคมในมือของฉีเล่ยปาดเข้าที่ลำคออย่างรวดเร็ว มีดสั้นในมือของชายหนุ่มพุ่งปาดเข้าที่ลำคอของโจรทั้งสองคนในคราวเดียว

หลังจากที่โจรทั้งสองคนทรุดลงไปกับพื้นพร้อมกัน ก็ได้เผยให้เห็นโจรอีกสองคนที่อยู่ด้านหน้า แต่พวกมันทั้งสองคนรู้ตัวแล้ว จึงได้ตอบโต้ฉีเล่ยกลับไปอย่างรวดเร็ว คนหนึ่งพุ่งเข้าไปหาฉีเล่ยเพื่อจับตัว ส่วนอีกคนก็กำลังคว้ามีดที่เหน็บอยู่ข้างเอว

ฉีเล่ยเองก็ตอบโต้กลับไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทันทีที่โจรผู้นั้นพุ่งเข้ามาหา เขาก็ได้ยกเท้าข้างหนึ่งเตะเข้าที่กลางเป้าของมันอย่างสุดกำลังทันที สิ้นเสียงดังปัง.. โจรผู้นั้นก็ถึงกับทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น จากนั้น เลือดสีแดงสดก็ได้หยอดออกมาจากเป้ากางเกงของมัน

ส่วนอีกคนที่เหลือนั้น ก่อนที่มันจะทันได้ดึงมีดออกมาจากข้างเอว ฉีเล่ยก็ได้พุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และปลายมีดในมือของเขา ก็ได้ปักเข้าที่หน้าอกของมันในทันที ฉีเล่ยดันร่างของมันเข้าไปติดกับกำแพง พร้อมกับดันมีดสั้นในมือปักแน่นลงไปบนหน้าอกลึกขึ้น และในที่สุด มันก็ทรุดลงไปกองแน่นิ่งอยู่กับพื้นทางเดิน..

ร่างที่พิงกำแพงอยู่นั้น ค่อยๆทรุดลงอย่างช้าๆ พร้อมกับเลือดสีแดงที่ไหลอาบไปทั่วร่าง ก่อนจะสิ้นใจตายในที่สุด

ในจำนวนโจรที่เหลือทั้งห้าคนนั้น มีเพียงสองคนที่ยังมีลมหายใจอยู่ หนึ่งในนั้นคือคนที่ถูกน้ำร้อนลวก ส่วนอีกคนคือคนที่ถูกฉีเล่ยเตะผ่าหมากเข้า และเวลานี้ ทั้งสองคนก็กำลังนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น พร้อมกับร้องครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวด

ฉีเล่ยไม่สนใจแม้แต่จะปรายตามองพวกมันอีก เขายกมือขึ้นเช็ดโลหิตสีแดงที่เปื้อนใบหน้าออก พร้อมกับหันไปจ้องมองหลิวไห่หยางด้วยแววตาดุดัน พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกชวนขนหัวลุก

“เอาล่ะ! เหลือแกเพียงคนเดียวแล้ว ฉันจะให้แกเลือกว่าจะตายแบบไหน? จับใส่กรงถ่วงน้ำเหมือนหมูดี.. หรือจะค่อยๆแล่เนื้อออกมาทีละชิ้นดีนะ.. มีอีกหลายวิธีที่ฉันจะเล่นสนุกกับแกก่อนตาย โดยที่ไม่ว่าแกจะกรีดร้องเสียงดังแค่ไหนก็ไม่มีใครได้ยิน!”

“เลือกสิ!”

ฉีเล่ยย้อนคำพูดที่หลิวไห่หยางเคยพูดกับตนเองก่อนหน้านี้..

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset