ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 20 ใจแกร่งดั่งพยัคฆ์ (5)

ตอนที่ 20 ใจแกร่งดั่งพยัคฆ์ (5)

 

ภายในเรือนั้นไม่มีแสงไฟเลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างจึงค่อนข้างเงียบสงัด แสงสว่างเดียวที่มีอยู่ในเวลานี้ก็คือ แสงไฟจากเตาที่อยู่ภายในห้องครัว แต่นั่นก็เพียงแค่ริบหรี่ ไม่ได้ช่วยทำให้ทัศนียภาพในการมองเห็นชัดเจนขึ้นเลยแม้แต่น้อย

 

เวลานี้ ทั้งโลหิตที่ไหลนอง เสียงร้องคร่ำครวญด้วยด้วยความเจ็บปวด เสียงดิ้นรนขลุกขลักอยู่กับพื้นของโจรทั้งสอง ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ในขณะที่สายลมยังคงพัดผ่านแม่น้ำ ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมไหว ส่งผลให้เรือลำนั้นโคลงเคลงไปมา จนได้ยินเสียงดังเอี๊ยดๆขึ้นไม่หยุด

 

เหงื่อเม็ดโตเริ่มผุดขึ้นตามหน้าผาก ก่อนจะไหลลงสู่ข้างแก้ม และริมฝีปากของหลิวไห่หยาง จนเขาสัมผัสได้ถึงรสเค็มของมัน ส่วนเหงื่ออีกหยดก็ไหลเรื่อยลงไปตามสันจมูก ก่อนจะหยดลงพื้นดังติ๋งๆ

 

หลิวไห่หยางกลืนน้ำลายเข้าไปอึกใหญ่ และเวลานี้ มือที่ถือมีดสั้นคมกริบนั้น ก็กำลังสั่นสะท้าน ราวกับว่ามันหนักมากจนเขาไม่สามารถฝืนรับน้ำหนักของมันได้อีก

 

หลิวไห่หยางยืนถือมีดสั้นไว้ในมือ ด้วยร่างกายที่สั่นสะท้านเพราะความหวาดกลัว!

 

เวลานี้ หลิวไห่หยางอยู่ห่างจากฉีเล่ยไปเพียงแค่สองเมตรเท่านั้น และชายหนุ่มก็ไม่ได้มีอาวุธอยู่ในมืออีกแล้ว เพราะมีดสั้นของเขายังคงปักอยู่บนอกของโจรที่สิ้นใจตายไปก่อนหน้า

 

เวลานี้ ฉีเล่ยมีเพียงแค่มือเปล่า แต่สีหน้าของหลิวไห่หยางที่จ้องมองมาทางฉีเล่ยนั้น กลับหวาดกลัวประหนึ่งว่า เขามีอาวุธร้ายแรงอยู่ในมือ

 

“มะ.. ไม่ เป็นไปไม่ได้!”

 

“หึ! ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้!”

 

“นี่แก.. แกคนเดียวจะสามารถฆ่าคนทั้งหมดตายได้ยังไง? แกมันก็แค่ไอ้เศษสวะคนหนึ่งเท่านั้นนี่!”

 

“แต่แกเองก็ทำให้ฉันประหลาดใจไม่น้อยเหมือนกัน! ฉันคิดไม่ถึงว่า คนเป็นหมออย่างแก จะกล้าลักพาตัวภรรยาฉัน เพื่อมาข่มขู่กรรโชกฉันแบบนี้ แกทำให้ฉันทึ่งมากจริงๆ!”

 

ระหว่างที่ฉีเล่ยพูดนั้น เขาก็ได้ยกเท้าขึ้น ก่อนจะเหยียบลงไปบนศรีษะของโจรที่ถูกน้ำร้อนลวก และกำลังดิ้นทุรนทุกรายอยู่ หลังจากนั้น เสียงดังกร๊อบคล้ายกะโหลกศรีษะแตกดังขึ้น..

 

จากนั้น เท้าข้างเดียวกันของฉีเล่ยก็ได้ยกขึ้นในทันที พร้อมกับตวัดเป็นเส้นโค้งอย่างสวยงาม ปลายเท้าข้างนั้นกระแทกเข้ากับลำคอของโจรที่นั่งคุกเข่า และกำลังร้องครวญคราง พร้อมด้วยสองมือที่กุมเป้ากางเกงซึ่งมีเลือดสีแดงไหลออกมาเต็มไปหมด คอของมันหักในทันที พร้อมกับหมุนเป็นไปด้านหลัง ดวงตาที่เบิกโพลงทั้งสองข้าง จ้องมองหลิวไห่หยางแน่นิ่ง..

 

“ฉัน.. ฉันผิดไปแล้ว! ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะนะ! ฉันกลัวแล้ว!”

 

“โอ้! นี่แกทำฉันผิดหวังมากเลยนะ! ทำไมถึงยอมแพ้ง่ายๆแบบนี้ล่ะ? รู้มั๊ยว่า ถ้าพวกเราสองคนมาสู้กันตัวต่อตัว ผลลัพธ์อาจจะไม่ใช่แบบนี้ก็ได้!”

 

ฉีเล่ยค่อยๆย่างกรายเข้าไปหาหลิวไห่หยางทีละก้าว.. ทีละก้าว..

 

“เห็นมั๊ยว่า ตอนนี้แกมีอาวุธ แต่ฉันไม่มี!”

 

“…”

 

หลิวไห่หยางได้แต่นิ่งเงียบไป เขาหวาดกลัวจนพูดอะไรไม่ออก และตั้งแต่เกิดมา เขายังไม่เคยรู้สึกกดดันมากมายเหมือนเช่นคืนนี้มาก่อนเลย..

 

แต่ละก้าวที่อีกฝ่ายย่างกรายเข้ามานั้น หลิวไห่หยางรู้สึกราวกับว่า เทพเจ้าแห่งความตายที่มีเคียวเป็นอาวุธ กำลังย่างกรายเข้ามาเอาชีวิตตนเองอย่างช้าๆ เวลานี้ หลิวไห่หยางเริ่มนึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป และเพิ่งสำนึกได้ว่า ไม่ควรที่จะไปหาเรื่องผู้ชายคนนี้ตั้งแต่แรก..

 

แต่มาคิดได้ในเวลานี้ ก็ดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว!

 

หลิวไห่หยางค่อยๆ ก้าวถอยหลังไปอย่างช้าๆ เขารู้ดีว่า การทำเช่นนั้นเพียงแค่ช่วยชะลอเวลาแห่งความตายออกไปได้บ้างเท่านั้น แต่ไม่อาจทำให้ตนเองมีชีวิตรอดไปได้

 

“ได้.. ได้โปรด.. ปล่อยฉันไปจะได้มั๊ย?”

 

“ไม่.. ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นผลจากการกระทำของตัวแกเอง!”

 

ฉีเล่ยแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ก่อนจะพูดต่อว่า “คนบางคนเปรียบเหมือนสุนัข คนบางคนเปรียบเหมือนแมว สุนัขมีความจำที่ดี หากมันได้รับบทเรียนสักครั้ง มันจะจดจำไปตลอดชีวิต และเมื่อมันได้กลับมาเจอคนที่เคยให้บทเรียนกับมัน มันจะรีบหมอบลงกับพื้น เพื่อร้องขอความเมตตาทันที ตรงข้ามกับแมว.. ใครที่ทำให้มันโกรธ มันจะคอยหาโอกาสข่วนกลับคืนทีหลัง!”

 

“และสำหรับคนอย่างแก ก็ไม่ต่างจากแมว เพราะฉะนั้น ฉันไม่สามารถปล่อยแกไปได้จริง!”

 

หลิวไห่หยางถอยหลังไป จนเวลานี้แผ่นหลังของเขาพิงอยู่กับประตูบานหนึ่ง ซึ่งเป็นประตูห้องเก็บของนั่นเอง และเขาเพิ่งจะนึกได้ว่า เฉินอวี้หลัวยังคงอยู่ในห้องนี้

 

ความหวังพลันสว่างวาบขึ้นมาในใจของเขาทันที!

 

“ฉีเล่ย! แล้วแกจะต้องเสียใจ!”

 

“เรื่องนั้นแกไม่ต้องห่วง เพราะฉันไม่เคยเสียใจให้กับเรื่องที่ไร้สาระ!”

 

“แกอย่าลืมว่าแกฆ่าคนตายไปตั้งมากมาย ต่อให้แกจะหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว ตำรวจก็จะต้องตามไล่ล่าหาตัวแก!”

 

“อ่อ! เรื่องนี้ฉันต้องขอบใจแกต่างหาก ที่เลือกสถานที่ซ่อนตัวได้มิดชิดขนาดนี้! ตำรวจไม่มีทางหาพบแน่ๆ ก่อนหน้านี้แกก็เป็นคนบอกฉันเองนี่ แกลืมแล้วหรือยังไง?”

 

หลิวไห่หยางถึงกับนิ่งเงียบไป และหนึ่งในเหตุผลที่เขาตัดสินใจที่จะแก้แค้น ก็เพราะสถานที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อม และความลึกลับของมัน ล้วนแล้วแต่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะลักพาตัวใครสักคนมาซ่อนไว้ โดยที่จะมีโอกาสถูกค้นพบได้ยากมาก

 

“ได้! ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้แกได้ลิ้มรสของความเสียใจดูบ้าง!”

 

หลังจากพูดจบ หลิวไห่หยางก็หันหลังกลับ และผลักประตูเข้าไปในห้องเก็บของทันที แม้ว่ามีดในมือของเขาจะไม่สามารถจัดการกับฉีเล่ยได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะจัดการกับผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง และหากเขาสามารถจับหญิงสาวเป็นตัวประกันได้ เขาก็จะพลิกกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบทันที

 

ต่อให้ฉีเล่ยจะรวดเร็วมากเพียงใด ก็คงไม่สามารถช่วยหญิงสาวให้พ้นจากคมมีดในมือของเขาได้แน่!

 

ปัง!

 

ประตูห้องเก็บของถูกผลักให้เปิดออกอย่างแรง!

 

ภายในห้องเก็บของมีแต่ความมืดมิด ก่อนหน้าที่หลิวไห่หยางจะออกไปนั้น โจรอีกคนที่เขาสั่งให้เฝ้าคนทั้งคู่ ได้จุดเทียนให้ภายในห้องสว่างไสว แต่เวลานี้ เทียนทั้งหมดถูกฉีเล่ยดับทิ้งก่อนที่เขาจะออกไป

 

หลังจากที่วิ่งเข้าไปในห้องได้ หลิวไห่หยางก็รีบปรับสายตาให้คุ้นชินกับความมืดโดยเร็ว จากนั้น เขาก็หันมองไปรอบๆ และสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือ ร่างไร้วิญญาณที่ศรีษะเกือบขาดออกจากกัน และเฉินอวี้หลัวที่นั่งยองๆอยู่ข้างกำแพง

 

หลิวไห่หยางพุ่งเข้าไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว เขาตั้งใจไว้ว่า จะต้องเข้าไปใกล้ร่างของหญิงสาวให้ได้โดยเร็วที่สุด พร้อมกับใช้ปลายมีดในมือจี้เธอไว้เป็นตัวประกัน

 

สามเมตร..

 

สองเมตร..

 

หนึ่งเมตร..

 

และเหลืออีกเพียงแค่ครึ่งเมตร หลิวไห่หยางก็เกือบจะเข้าถึงตัวเฉินอวี้หลัวแล้ว แต่จู่ๆ เขาก็หยุดชะงักไปเฉยๆ

 

เวลานี้ หลิวไห่หยางรเจ็บปวดที่กะโหลกศรีษะอย่างมาก เขารู้สึกราวกับว่า กำลังถูกใครบางคนจิกเส้นผมด้านหลังของตนเองไว้ พร้อมกับกำมันไว้แน่น จากนั้นเสียงของฉีเล่ยก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

 

“คุณหมอ! ไม่ใช่ดาราสักหน่อย แต่กลับไว้ผมยาวแบบนี้ทำไมกัน?”

 

มือของฉีเล่ยข้างที่กำเส้นผมของหลิวไห่หยางไว้นั้น กระตุกไปด้านหลังอย่างรุนแรง ทำให้หลิวไห่หยางรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก จนไม่กล้าที่จะแข็งขืน และต้องถอยหลังตามไปในที่สุด

 

แต่ในระหว่างนั้น เขาก็ได้ตวัดมีดสั้นในมือของตนเอง แทงเข้าไปด้านหลังทันที!

 

แต่ฉีเล่ยไม่เปิดโอกาสให้หลิวไห่หยางเล่นงานตนเองได้ มืออีกข้างที่เหลือกางออกทันที พร้อมกับคว้าเข้าไปที่ข้อมือของหลิวไห่หยาง และออกแรงบีบอย่างสุดกำลัง ทำให้หลิวไห่หยางถึงกับข้อมือชา และเริ่มเจ็บปวดจนต้องปล่อยมีดในมือให้หลุดไป

 

แต่ฉีเล่ยไม่ปล่อยให้มีดสั้นหล่นกระแทกกับพื้น เขาใช้ปลายเท้าเตะเข้าที่มีดเล่มนั้นให้ลอยขึ้นกลางอากาศทันที ก่อนจะปล่อยข้อมือของหลิวไห่หยาง และยื่นออกไปรับมีดเล่มนั้นไว้ได้อย่างแม่นยำ

 

และเวลานี้ มีดเล่มนั้นก็ได้ตกอยู่ในกำมือของเขาแล้ว!

 

ฉีเล่ยไม่รอช้า เขาจัดการจ้วงมีดเล่มนั้นเข้าไปที่แผ่นหลังของหลิวไห่หยางดังทันที!

 

ฉึก!

 

หลังจากที่ปลายแหลมของมีดปักเข้าที่แผ่นหลังของหลิวไห่หยาง ฉีเล่ยก็ดึงมันออกมา และแทงซ้ำเข้าไปอีกครั้ง

 

ฉึก!

 

เขาดึงมีดออกมา และแทงเข้าไปอีกเป็นครั้งที่สาม!

 

ฉึก!

 

หลังจากกระหน่ำแทงร่างของหลิวไห่หยางอยู่หลายครั้ง จนในที่สุดร่างของเขาก็ทรุดลงไปกองกับพื้น และหายใจกระหืดกระหอบรุนแรง

 

“แกไม่ต้องห่วง ฉันยังไม่ให้แกตายง่ายแน่!”

 

ฉีเล่ยร้องบอก พร้อมกับใช้ปลายมีดกรีดไปบนร่างกายของหลิวไห่หยาง

 

“ฉันเองก็พอมีความรู้เรื่องกายวิภาคในแบบฉบับของหมอแผนปัจจุบันอยู่บ้าง เอาล่ะ.. ฉันจะกรีดหน้าท้องออกมาดูอวัยวะภายในของแก แต่แกไม่ต้องห่วงหรอกนะ เพราะแกจะยังไม่ตาย แต่จะเจ็บปวดอย่างที่สุดเชียวล่ะ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้!”

 

เวลานี้ หลิวไห่หยางที่นอนจมกองเลือดอยู่กับพื้น ได้แต่ดิ้นรนไปมาด้วยความเจ็บปวด และไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เลยแม้แต่คำเดียว..

 

ฉีเล่ยไม่สนใจหลิวไห่หยางอีก เขาเดินตรงไปหาเฉินอวี้หลัว และช่วยพยุงร่างของหญิงสาวให้ลุกเดินออกไปจากห้องเก็บของทันที

 

ห้องที่อยู่ถัดจากห้องเก็บของไปทางขวามือนั้นคือห้องน้ำ แม้ภายในเรืองจะไม่มีน้ำประปา แต่ก็มีถังน้ำพลาสติกขนาดใหญ่ตั้งอยู่หลายถัง และมีกะละมังสองใบวางอยู่ที่พื้น

 

ฉีเล่ยเดินเข้าไปด้านใน พร้อมกับจัดแจงถอดเสื้อผ้าที่สวมใส่ออก จากนั้น จึงตักน้ำในอ่างขึ้นมาอาบ เพื่อทำความสะอาดคราบเลือดตามตัวออก

 

หลังจากล้างคราบเลือดออกจนหมดแล้ว ฉีเล่ยก็ได้เดินไปที่ห้องนอนของพวกโจร พร้อมกับค้นหาเสื้อผ้าชุดใหม่มาสวมใส่ และเมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้เดินกลับมาหาภรรยา พร้อมกับพูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

 

“อวีหลัว พวกเรากลับบ้านกันได้แล้ว!”

 

“อืมม..”

 

เฉินอวี้หลัวตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า แม้จะเหนื่อยล้าอ่อนแรงมากเพียงใด หญิงสาวก็พยายามฝืนยิ้มให้กับสามีของเธอ พร้อมกับพยักหน้าเล็กหงึกๆ

 

…..…

 

ตอนนี้เป็นเวลาตีสองพอดี แม้จะเข้าสู่เช้าวันใหม่ แต่ท้องฟ้าในบริเวณนั้นยังคงมืดสนิท มีเพียงแสงจันทร์สลัวๆ ที่สาดส่องกระทบผิวน้ำเท่านั้น

 

แต่ในระหว่างทางที่จะเดินออกจากเรือนั้น ฉีเล่ยไปพบถังน้ำมันเข้าพอดี เขาจึงจัดการราดถังน้ำมันไปทั่วทุกห้องบนเรือลำนั้น

 

แต่เมื่อหลิวไห่หยางที่กำลังนอนหายใจรวยริน เห็นฉีเล่ยทำการเทน้ำมันไปรอบเช่นนี้ เขาก็ถึงกับรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีอยู่ ร้องขอความเมตตาจากฉีเล่ย

 

“อย่า.. ได้โปรด.. ฉันยังพอที่จะมีชีวิตรอดได้ ได้โปรดพาฉันไปโรงพยาบาลที หลังจากนั้น ฉันจะยอมติดคุก..”

 

ฉีเล่ยเอียงคอเล็กน้อยทำสีหน้าท่าทางครุ่นคิด ก่อนจะตอบกลับไปว่า..

 

“ก็จริงนะ! แต่ดูเหมือนจะไม่จำเป็น..”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset