ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 26 นี่มันเกิดอะไรขึ้น

 

ตอนที่ 26 นี่มันเกิดอะไรขึ้น

 

จ้าวโจวเฉินยกมือขึ้นชี้หน้าฉีเลย พร้อมกับร้องตะโกนถาม ด้วยความโมโห “นี่เธอเป็นใคร? เข้ามาในห้องนี้ได้ยังไงกัน?”

 

ความจริงแล้ว ฉีเล่ยเองก็ไม่ต้องการฉีกหน้าทีมแพทย์ทั้งหม ดที่อยู่ในห้องเวลานี้ แต่เขาไม่สามารถอดรนทนต่อไปได้อีก เพ ราะจรรยาบรรณแพทย์ที่บรรพชนสกุลเฉินถ่ายทอดไว้ในตัว เขานั้น ทําให้ฉีเล่ยเป็นห่วงชีวิตคนไข้มากกว่าสิ่งใด

 

ขนาดคนธรรมดาทั่วไปยังรักหน้าตา และศักดิ์ศรีของตัวเอง แล้วมีหรือที่ภรรยาของท่านผู้ว่าการประจํามณฑลจะไม่รัก หน้าตาตัวเอง

 

ในความรู้สึกของหลิวเพิ่งเจิ้น หากต้องรักษาด้วยวิธีการเช่น นี้ เธอยอมตายเสียดีกว่า!

 

ฉีเล่ยก้าวเดินไปด้านหน้าสองก้าว พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไม่ ทราบว่าผมขอแสดงความคิดเห็นบ้างจะได้มั้ยครับ?”

 

ในวินาทีที่ฉีเล่ยเอ่ยปากพูดประโยคแรกออกมาก่อนหน้านี้ จางฝถึงกับยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองอย่างแรง เขาเพิ่งจะ นึกขึ้นมาได้ว่า ยังไม่ได้แนะนําฉีเล่ยให้กับแพทย์ในทีมได้รู้จัก ว่า ชายหนุ่มผู้นี้ถือจดหมายสําคัญมาหนึ่งฉบับ ซึ่งในจุด หมายฉบับนั้นได้ระบุชัดเจนว่า ให้เขามาช่วยดูอาการของหลิว เพิ่งเจิ้น

 

เป็นเพราะฝูเฉิงมัวแต่วุ่นวายอยู่กับการมาของหลี่ฮั่วเฉิน และทุกคนต่างก็ให้ความสนอกสนใจแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จากปักกิ่ง จนทําให้เขาลืมเรื่องของฉีเลยไปเสียสนิท! 

 

เมื่อได้สติ ฟูเฉิงจึงรีบลุกขึ้นขออภัยทุกคน พร้อมกับพูดขี้ นว่า “ผมขออภัยด้วยครับทุกท่าน ผมลืมแนะนําไปเสียสนิท เลย! นี่เป็นแพทย์ฝึกหัดคนใหม่ และเพิ่งมาทํางานที่โรงพยา บาลเป็นวันแรก เขาถือจดหมายฝากฝังจาก…”

 

แต่จ้าวโจวเฉินกลับไม่ปล่อยให้จางผู้พูดจบ และเมื่อได้ยิน คําว่าแพทย์ฝึกหัด เขาก็ร้องตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความ โมโห พร้อมกับยกมือขึ้นชี้หน้าฉีเลย

 

“เป็นแค่แพทย์ฝึกหัด แต่กลับกล้าที่จะออกความเห็น ใครอ นุญาตให้เธอพูด? ที่นี่ไม่ใช่สถานที่สําหรับเธอ ออกไปได้ให้พ้น หน้าฉันได้แล้ว!”

 

แพทย์คนอื่นๆในทีมต่างก็หันไปจ้องมองฉีเล่ยเช่นกัน แล้ว เสียงของแพทย์ในทีมคนหนึ่งก็ดังขึ้น

 

“พ่อหนุ่ม! ที่นี่มีแต่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เธอยังกล้า ที่จะแสดงความเห็นอีกเหรอ? เธอคิดว่าเธอคู่อย่างนั้นเหรอ?”

 

จากนั้น แพทย์คนอื่นๆ ก็เริ่มที่จะพูดจาดูถูกฉีเล่ยขึ้นที่ละคน..

 

“ช่างไม่รู้จักที่ต่ําที่สูงจริงๆ! นี่เธอถึงกับกล้าคลาง แคลงสงสัยในวิธีการรักษาของท่านหมอหลีเชียวเหรอ? เธอคง ไม่รู้สินะว่า ท่านหมอหลี่เป็นแพทย์มือหนึ่ง ที่เชี่ยวชาญด้าน โรคทางเดินอาหารมากที่สุด?”

 

“ฉันชักจะสงสัยแล้วสิว่า ถ้าเธอได้เห็นคนไข้เคสนี้ เธอยัง จะกล้าพูดจาไร้สาระแบบนี้อยู่อีกหรือเปล่า?”

 

“พูดออกมาได้ว่า ถ้าหญ้าตายอาจทิ้งปัญหาให้กับดิน! เคย มีผลวิจัยการรักษาด้วยการปลูกถ่ายจุลินทรีย์มาแล้วว่า ไม่ มีการทิ้งปัญหาไว้ภายในลําไส้ของผู้ป่วย แล้วปัญหาที่เธอว่า มันคืออะไร?”

 

“ขนาดแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างพวกเรา ยังไม่สา มารถระบุปัญหาที่ว่าได้ แต่เธอกลับสามารถทําได้ นี่ไม่เท่ากับ ว่าแพทย์เฉพาะทางอย่างพวกเรา มีความรู้ความสามารถด้อ ยกว่าแพทย์ฝึกหัดอย่างเธอน่ะสิ!”

 

บอดี้การ์ดของไต่คนถึงกับตกใจ และรีบวิ่งเข้ามาภาย ในห้อง ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปหาฉีเลยอย่างระแวดระวัง

 

“ปล่อยให้เขาพูด! ยิ่งเกิดการถกเถียงกันมากเท่าไหร่ ก็จะ ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อการรักษาคนไข้มากขึ้น!”

 

หลี่ฮั่วเฉินร้องตะโกนบอกไป แม้ท่าทางภายนอกของเขาที่ แสดงออกมานั้น จะบ่งบอกว่ายังคงรักษาความสงบนิ่งไว้ได้ แต่ภายในใจนั้น กลับรู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจเป็นอย่างมาก! 

 

นั่นเพราะก่อนหน้านี้ เขาก็เพิ่งจะได้ยินเสียงตําหนิไม่พอใจ ของคนไข้ ที่ร้องตะโกนออกมาจากห้อง หลังจากนั้น ชายหนุ่ม คนนี้ยังกล้ามีคําถามกับวิธีการรักษาของเขาอีก อีกทั้งยังเป็น เพียงแค่แพทย์ฝึกหัดด้วย นี่นับเป็นเรื่องที่หลี่ฮั่วเฉินเองก็ไม่ เคยพบเจอมาก่อนเช่นกัน!

 

จากนั้น หลี่ฮั่วเฉินก็พูดต่อด้วยน้ําเสียงที่ไม่พอใจนัก “พ่อ หนุ่ม ความกล้าของเธอนับว่าน่าชื่นชมไม่น้อย! ปกติ ขนาด หมอที่จบระดับปริญญาเอก เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน พวกเขาก็มีแต่ คอยพยักหน้าเห็นด้วยกับฉันทุกคน ดูท่าหลังจากนี้ ฉันคงจะ ต้องมาหาความรู้เพิ่มเติมที่โรงพยาบาลประจํามณฑลแล้วสิ นะ!”

 

จ้าวโจวเฉินได้ฟังคําพูดของท่านหมอหลี่ ใบ หน้าของเขาถึงกับแดงกําด้วยความอาย และโกรธผสมกัน เพ ราะนี่ไม่ใช่คําชม แต่มันคือการตําหนิต่างหาก และเป็นการทํา หนิเขาซึ่งเป็นผู้อํานวยการของโรงพยาบาลแห่งนี้ว่า ไม่รู้จักอบ รมผู้ใต้บังคับบัญชาให้รู้จักมารยาท หรือพูดชัดๆก็คือ ไร้กฏ ระเบียบนั้นเอง!

 

“ท่านหมอหลี่ครับ กรุณาอย่าไปถือคําพูดของแพทย์ฝึกหัด เป็นจริงเป็นจังไปเลยครับ!”

 

หลังจากที่เห็นว่าหลี่ฮั่วเฉินมีสีหน้าท่าทางไม่พอใจ จ้าวโจว เฉินก็รีบพูดขึ้นทันที จากนั้น เขาก็หันไปทางจาง พร้อมกับต วาดใส่หน้า

 

“คุณหมอจาง! คุณยังจะยืนนิ่งเฉยอยู่ทําไมกัน? ยังไม่รีบ เอาตัวเขาออกไปจากที่นี่อีก! คนอะไรไม่รู้จักมารยาท แล้ว ก็กฎระเบียบ!”

“ส่วนคุณ.. ไม่ต้องเป็นแล้วหัวหน้าแผนก แล้วจากนี้ไป ก็ให้ ไปประจําอยู่ที่ห้องฉุกเฉินแทน ห้ามขึ้นมาที่นี่อีก!”

 

หลังจากที่ฉีเลยได้ยินเช่นนั้น เขาก็ถึงกับโมโหขึ้นมาทันที!

 

เหตุผลที่ชายหนุ่มยอมมารักษาให้กับหลิวเชิงเจิ้น ก็เพ ราะคําร้องขอของอาวุโสต่ง และหากไม่ใช่เพราะอาวุโสต่ง เขา เองก็ไม่คิดที่จะเหยียบเข้ามาในโรงพยาบาลแห่งนี้เหมือนกัน!

 

การที่ฉีเลยถูกแพทย์คนอื่นๆพูดจาเยาะเย้ยถากถางนั้น เขา ไม่ได้รู้สึกโกรธเลยแม้แต่น้อย แต่นี่กลับส่งผลถึงหน้าที่การ งานของเฉิง ซึ่งพยายามช่วยเขาอย่างเต็มที่ และเขาก็นับเป็น คนที่มีความจริงใจมากคนหนึ่ง!

 

แต่ความจริงนั้น เรื่องเข้าใจผิดทั้งหมดในวันนี้ คงต้องโทษ ต่งซีหยุนที่ไม่บอกกับไต่คุนไปตรงๆ อีกทั้งไต่คุนเองก็ไม่เคยพ บฉีเลียมาก่อน ทําให้เขาเข้าใจว่า แพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ต่งซีหยุน แนะนํามานั้น จะต้องมีอายุมากเช่นเดียวกับหลี่ฮั่วเฉิน 

 

แต่ฉีเล่ยก็คร้านที่จะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดในเวลานี้ เพ ราะจะเป็นการเสียเวลาโดยใช่เหตุ เขายกมือขึ้นผลักจางผู้ที่ เข้ามาใกล้อย่างเบามือ ก่อนจะชี้ไปทางหลี่ฮั่วเฉินพร้ อมกับพูดขึ้นว่า

 

“หึ! ทําไมดินถึงจะมีปัญหาไม่ได้? ถ้าพวกคุณทุกคนเก่งจริง ทําไมป่านนี้ยังหาวิธีรักษาคนไข้ให้หายไม่ได้? แล้วทําไมเขาต้อ งเอามือข้างขวาวางไว้ข้างเอวตลอดเวลาด้วย?” 

 

เวลานี้ มือข้างขวาของหลี่ฮั่วเฉินยังคงวางไว้ข้างเอวเช่นเคย และเมื่อได้ฟังคําพูดของฉีเล่ย มือข้างขวาของเขาก็ถึงกับสั่น เพิ่มขึ้นมาทันที พร้อมกับยืนจ้องมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าตกตะ

 

ไม่มีใครในห้องได้ทันเห็นสีหน้าตกตะลึงของท่านหมอหลี่ เพราะหมอคนอื่นๆที่อยู่ในห้องมั่วแต่โกรธฉีเล่ย และคิดว่า แพทย์ฝึกหัดคนนี้ช่างไร้มารยาทสิ้นดี!

 

และตอนนี้ จ้าวโจวเฉินก็โกรธจนตัวสั่น เขากระทืบเท้า ลงกับพื้นด้วยความโมโห พร้อมกับตวาดฉีเล่ยเสียงดัง! 

 

“ไร้มารยาที่สุด! เธอรีบออกไปจากห้องเดี๋ยวนี้ ก่อนที่ฉัน จะให้คนมาลากเธอออกไป!”

 

“นี่คุณทําอะไร? คุณควรจะให้โอกาสคนรุ่นใหม่ออกความ คิดเห็นสิ!”

 

ช่างน่าแปลก! จู่ๆ หลี่ฮั่วเฉินก็ร้องห้ามผู้อํานวยโจว ก่อนจะ หันไปกวักมือเรียกฉีเลย

 

“เอาล่ะพ่อหนุ่ม! อธิบายให้ฉันเข้าใจที่ว่า ที่เธอพูดนั้นมัน หมายความว่ายังไง?”

 

“นี่มันอะไรกัน?!?

 

ทีมแพทย์ทั้งหมดที่อยู่ในห้อง ต่างก็ถึงกับอ้าปากค้าง พร้ อมกับหันมองหน้ากันไปมาด้วยความตกตะลึง!

 

“นี่ฉันหูแว่ว แล้วก็ตาฝาดไปหรือเปล่า?

 

“แพทย์ฝึกหัดคนนี้ถึงกับกล้าชี้หน้าท่านหมอหลี่ แต่ท่านหม อหลี่กลับไม่โกรธ มิหนําซ้ํายังดูเหมือนจะเมตตาขึ้นมาแทน ด้วย..”

 

“นี่มันแปลกประหลาดเกินไป!”

 

สายตาของแพทย์ทุกคนในห้อง ต่างก็เหลือบมองไปที่เอว ของท่านหมอหล่ําอย่างลืมตัว นั่นเพราะคําพูดประโยคสุดท้าย ของฉีเลย ที่ทําให้หลี่ฮั่วเฉินมีท่าทีที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็น หลังมือแบบนี้!

 

แต่ก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติ และดูเหมือนจะมีเพียงแค่หลี่ฮั่วเฉิน เท่านั้น ที่เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในคําพูดของฉีเล่ย… 

 

ไม่มีใครรู้ว่า เวลานี้ หลี่ฮั่วเฉินได้สูญเสียไตข้างขวาไปแล้ว ซึ่งสาเหตุที่เกิดจากการวินิจฉัยที่ผิดพลาดนั่นเอง! 

 

เรื่องนี้นับเป็นความอับอายของหลี่ฮั่วเฉินอย่างมาก ฉะนั้น นอกเหนือจากตัวเขาเอง และทีมแพทย์ที่ทําการผ่าตัดแล้ว ก็ ไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีกเลย แม้แต่ภรรยาของเขาก็ไม่รู้เรื่องนี้เช่น กัน!

 

หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นผ่านไป หลี่ฮั่วเฉินก็มั่นใจว่า นอก จากแพทย์ที่เกี่ยวข้องแล้ว ไม่มีใครที่รู้เรื่องนี้อีกอย่างแน่นอน แต่ในวันหนึ่งที่เขาได้ไปพบอาวุโสเหวินเชาตัน อาวุโสผู้นี้กลับ เพียงแค่เหลือบมองที่เอวของเขา พร้อมกับส่ายหน้าไปมา ก่อนจะพูดเปรยๆขึ้นว่า

 

“ฉันเห็นแล้ว! ทําไมถึงได้โง่เขลาเช่นนั้น?”

 

จากนั้น อาวุโสเหวินก็ได้เขียนใบสั่งยาให้กับเขา และนับตั้ง แต่นั้นมา หลี่ฮั่วเฉินก็ใช้ใบสั่งยานั้นรักษาโรคของตนเองจนหาย!

 

ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่ได้ยินคําพูดของฉีเล่ย หลี่ฮั่วเฉินจึงได้ตก ใจเป็นอย่างมาก และไม่คิดอีกเลยว่า อีกฝ่ายจะเป็นเพียง แค่แพทย์ฝึกหัดจริงๆ

 

นั่นเพราะ การที่ฉีเล่ยสามารถมองเห็นอาการเจ็บป่วยที่ ซ่อนอยู่ในร่างกายของเขา จากการมองเพียงแค่ปราดเดียว เท่านั้น ย่อมบ่งบอกแล้วว่า ความสามารถทางการแพทย์แผน จีนของชายหนุ่มผู้นี้ เทียบเท่ากับแพทย์แผนจีนที่เก่งระดับ ประเทศเลยที่เดียว!

 

เมื่อเห็นว่าตนเองมีโอกาสที่จะได้อธิบาย ฉีเล่ยก็ถึงกับแอบ ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่ในระหว่างนั้นก็อดคิด ไม่ได้ว่า แพทย์ที่มีตําแหน่งสูงต้องการหน้าตา แพทย์ผู้ เชี่ยวชาญมีฝีมือต้องการศักดิ์ศรี แต่ชีวิต และความเป็นความ ตายของคนไข้ กลับไม่สําคัญเท่า!

 

ฉีเล่ยก้าวเข้าไปยืนต่อหน้าฉีฮั่วเฉิน พร้อมกับอธิบายขึ้นว่า “จริงอยู่ที่ผลวิจัยบอกว่า การปลูกถ่ายจุลินทรีย์เป็นวิธีที่ช่วย รักษาโรคนี้ได้”

 

“แต่ที่ผ่านมา.. ทุกท่านเห็นเพียงแค่ว่าหญ้าบนดินตาย จึง ต้องการปลูกถ่ายหญ้าใหม่เข้าไป แต่มีใครคิดบ้างมั้ยว่า เพราะ อะไรหญ้าถึงได้ตาย? และถ้าปลูกถ่ายไปแล้วเกิดภัยแล้งขึ้นล่ะ โอกาสที่หญ้าใหม่จะอยู่รอดได้อย่างนั้นเหรอ?”

 

หลังจากที่ได้ยินคําถามจากปากฉีเล่ย หลี่ฮั่วเฉินก็ถึงกับ ตอบไม่ได้..

 

ฝากนิยายของทีมงานด้วยนะคะ

 

เรื่อง : ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

 

จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุล เฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากข ยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะ ทางการแพทย์ที่ล้ําเลิศยิ่ง

 

“เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผม ได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..”

“หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..”

 

เวลานี้ ผมเป็นอิสระแล้ว!”

 

เรื่อง : ลูกเขยยอดนักฆ่า

 

เขาคือนักฆ่าอันดับหนึ่งในโลกของวงการทหารรับจ้าง ฉา ยาของเขาคือ “นักฆ่าอาซูร่า”

 

ศัตรูได้ยินเพียงแค่ชื่อของเขา ก็ถึงกับหวาดกลัวจนหัวหด!!

 

เขามีทักษะทางด้านการแพทย์ที่น่าอัศจรรย์ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งวิชา “เก้าเข็มเปิดนภา” ทักษะทางการแพทย์ที่ล้ําเลิ ศอย่างไร้ที่ติของเขานี้ ได้ช่วยชีวิตของผู้คนในสนามต่อสู้ไว้ได้ มากมายอย่างนักไม่ถ้วน

 

และด้วยความบังเอิญ เขาได้กลายมาเป็นลูกเขยของตระ กูลที่มั่งคั่งตระกูลหนึ่ง

 

หลายคนอาจคิดว่าการเป็นลูกเขยในตระกูลที่ร่ํารวยมั่งคั่ง เช่นนี้ คงจะต้องทนอยู่อย่างอัปยศอดสู และถูกเหยียดหยามสินะ?

 

แต่มิใช่หลินหนาน! เขาคือลูกเขยที่พ่อตารักยิ่ง และกลาย เป็นลูกเขยผู้ยิ่งใหญ่ของเมืองนี้

 

เรื่อง : จักรพรรดิ์เทพมังกร

 

ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป.. ทําให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อม ทรามอย่างที่สุด

 

จากนั้น หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้น ทีละขั้น และไต่ลําดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset