ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 34 คลื่นถาโถม (1)

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 34 คลื่นถาโถม (1)

 

รุ่งเช้าของวันใหม่ ฉีเล่ยไปโรงพยาบาลทหารเพื่อดูอาการของหลิวเฟิงเจิ้น และเมื่อเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยพิเศษ จึงได้พบว่าจ้าวโจวเฉินกําลังตรวจอาการของเธออยู่พอดี

 

หลังจากจ้าวโจวเฉินตรวจอาการของหลิวเฟิงเจิ้นแล้ว นี่เลยจึงเข้าไปทําการตรวจชีพจรให้..

 

“อาการป่วยหายดีแล้วครับ ไม่จําเป็นต้องทานยาอีกแล้ว ที่เหลือก็มีเพียงแค่นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเท่านั้น แต่ว่า ทําไมอาการดีขึ้น แต่สีหน้ากลับดูแย่ลงกว่าเมื่อวาน? หรือเป็นเพราะเมื่อคืนพักผ่อนไม่เพียงพอ? การพักผ่อนจําเป็นมากนะครับ…”

 

หลิวเฟิงเจิ้นส่งจานแอปเปิ้ลให้ฉีเล่ย พร้อมตอบกลับไปว่า “เฮ้อ.. ฉันเองก็อยากจะนอนพักผ่อน แต่เมื่อเช้านี้สิ มีคนมาเยี่ยมตั้งเจ็ดแปดคน! คนพวกนี้ก็ช่างหาเหตุผลจริงๆ เวลาเราป่วยก็อยากจะมาแสดงความยินดีหลังฟื้นตัว หรือเมื่ออาการดีขึ้น”

 

ฉีเล่ยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบกลับไปว่า “คิดไม่ถึงจริงๆนะครับว่า การได้เป็นหัวหน้ามีตําแหน่งใหญ่โต ก็จะมีเรื่องให้ต้องกังวลใจด้วย…”

 

หลิวเฟิงเฉินได้ฟังก็พูดเสียงดังขึ้นมาทันที “มีสิ! ไว้วันข้างหน้าที่เธอได้เป็นหัวหน้าคนบ้าง แล้วเธอก็จะเข้าใจเองล่ะคุณหมอฉี!”

 

ฉีเล่ยยกมือขึ้นโบกไปมา พร้อมตอบกลับไปทันที “ผมเป็นแค่หมอตัวเล็กๆ จะมีโอกาสเป็นหัวหน้าใหญ่โตได้ยังไงล่ะครับ?”

 

หลิวเฟิงเจิ้นเปลี่ยนเรื่องคุยทันที เธอหันไปถามฉีเล่ยว่า “นี่หมอฉี ในเมื่อฉันเองก็หายปวยดีแล้ว ฉันอยากจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านมากกว่า เธอคิดว่ายังไง?”

 

จ้าวโจวเฉินที่ยืนอยู่รีบคัดค้านขึ้นมาด้วยน้ําเสียงกระวนกระวายใจ “ไม่ได้นะครับคุณนายหลิว! ที่โรงพยาบาลมีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมเพรียง อาการของคุณดีขึ้นแล้วก็จริง แต่เพื่อความปลอดภัย น่าจะต้องอยู่ดูอาการต่ออีกสักสองสามวัน แล้วผมจะสั่งห้ามเยี่ยม เพื่อไม่ให้มีใครเข้ามารบกวนการพักผ่อนของคุณได้อีก….”

 

หลังจากพูดจบ ผู้อํานวยการจ้าวก็หันไปมองฉีเล่ย พร้อมกับขยิบตาสองสามครั้งเป็นการส่งสัญญาณให้ และเขาก็คาดหวังว่าฉีเล่ยจะพูดเช่นเดียวกัน

 

“กลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านก็ดีเหมือนกันนะครับ…”

 

ฉีเล่ยตอบกลับหลิวเฟิงเจิ้น คล้ายกับว่ามองไม่เห็นการขยิบตาส่งสัญญาณของจ้าวโจวเฉินพร้อมกับพูดต่อว่า

 

“การกลับไปพักฟื้นที่บ้านจะ ช่วยให้จิตใจของผู้ป่วยผ่อนคลายมากขึ้น และมีความสุขมากกว่าที่จะอยู่ในโรงพยาบาล แต่ถ้าจะให้ดี ผมคิดว่าควรจะให้ผู้อํานวยการจ้าวช่วยจัดหาพยาบาล ไปคอยดูแลระหว่างที่พักฟื้นอยู่ที่บ้านด้วย..”

 

สีหน้าของหลิวเฟิงเจิ้นบ่งบอกว่าพอใจกับ คําตอบของฉีเล่ยเป็นอย่างมาก และได้แต่คิดอยู่ในใจว่า ฉีเล่ยยังคงเป็นหมอที่ดีที่สุดในสายตาของเธอ แต่ปากก็พูดออกไปว่า

 

“นั่นน่ะสิคุณหมอฉี กลับไปพักฟื้นที่บ้านฉันต้องแข็งแรงขึ้นเร็วกว่านี้แน่! แต่ไม่รู้ทําไมจ้าวโจวเฉินจะให้ฉันอยู่แต่ในโรงพยาบาลท่าเดียว นี่เขาทําเพื่อฉัน หรือว่าตัวเองกัน แน่? วันๆมองไปรอบตัวก็เจอแต่ผนังห้องสี่เหลี่ยม ได้แต่กลิ่นยาโชยเข้ามาในห้องตลอดทั้งวัน บอกตามตรง ต่อให้คนดีๆไม่ปวยเป็นอะไร ต้องมานอนอยู่แบบนี้ทั้งวันทั้งคืน ก็ต้องป่วยเข้าจริงๆแน่!”

 

“ในเมื่อคุณหมอฉีบอกว่ากลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้ เธอก็ไปจัดการได้เลย!”

 

หลิวเฟิงเจิ้นหันไปสั่งเลขานุการส่วนตัว ให้ไปจัดการทําเรื่องออกจากโรงพยาบาลทันที โดยไม่สนใจคําพูดของจ้าวโจวเฉินอีก ทําให้จ้าวโจวเฉินเข้าใจได้ทันทีว่า หลิวเฟิงเจิ้นนั้นไม่คิดที่จะฟังคําแนะนําของตนเองตั้งแต่แรกแล้ว

 

เขาหันไปมองฉีเล่ยด้วยแววตาที่ลุกเป็นไฟ และได้แต่กรุ่นด่าอยู่ในใจ “หึ! ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้ มันเลวร้ายยิ่งกว่า จางฟูที่ฉลาดแกมโกงเสียอีก! ฉันอุตส่าห์เป็นฝ่ายยอมอ่อนข้อให้ แต่แกกลับปฏิเสธไม่ยอมรับไมตรีของฉันเชียวเหรอ?”

 

ครึ่งชั่วโมงต่อมา เลขาส่วนตัวของหลิวเฟิงเจิ้นก็ได้จัดการทุกอย่างเรียบร้อย เวลานี้รถพยาบาลได้ถูกจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว เพื่อทําการส่งตัวหลิวเฟิงเจิ้นกลับบ้าน

 

แพทย์หัวหน้าแผนกสองสามคนที่ล้อมเตียงเคลื่อนย้าย ผู้ป่วยของหลิวเฟิงเจิ้นไว้ ช่วยกันขยับไปมาหน้าหลัง ก่อนที่จะช่วยกันเข็นออกไปจากห้องพักอย่างช้าๆ ในระหว่างที่เข็นเตียงเคลื่อนย้ายไปที่ลิฟท์นั้น ปากก็ร้องตะโกนเสียงดังไปตลอดทาง

 

“หลีกทางด้วย! กรุณาอย่าขวางทาง!”

 

ฉีเล่ยถูกกันให้ไปอยู่ด้านหลังสุด และไม่มีใครเปิดโอกาสให้เขาได้ช่วยเลยแม้แต่น้อย..

 

หลังจากที่ส่งหลิวเฟิงเจิ้นขึ้นรถพยาบาลเรียบร้อยแล้ว เลขานุการส่วนตัวของหลิวเฟิงเจิ้นก็ได้หยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมายื่นให้กับฉีเล่ย พร้อมกับพูดขึ้นว่า

 

“คุณหมอฉีคะ นี่เป็นจดหมายที่หัวหน้าหลิวสั่งการให้ฉันจัดการ และนํามาให้คุณค่ะ คุณหมอฉีนําจดหมายนี้ไปให้เจ้าหน้าที่ในกรมอนามัย ระหว่างที่ไปรายงานตัวนะคะ!”

 

หลังจากพูดจบ เธอก็รีบวิ่งขึ้นรถพยาบาลไปทันที ฉีเล่ยไม่มีโอกาสแม้แต่จะขอบคุณด้วยซ้ํา

 

เวลานี้ หัวหน้าแพทย์แผนกคนอื่นๆที่ยืนอยู่รอบๆต่างก็จ้องมองฉีเล่ยด้วยสีหน้าแววตาอิจฉา!

 

สังคมทุกวันนี้ ต่อให้คนเป็นหมื่นบอกคุณว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้! แต่หากผู้ที่เป็นหัวหน้าบอกคําเดียวว่าเป็นไปได้ คําพูดของคนอื่นก็ไม่มีความหมายอะไรอีก และเวลานี้ แพทย์ฝึกงานคนหนึ่งก็กําลังจะได้เข้าไปเป็นถึงแพทย์พิเศษของกรมอนามัยเลยทีเดียว!

 

ในช่วงบ่าย กวนไห่ผิงก็ได้โทรหาฉีเล่ย และเมื่อรู้ว่าเขาอยู่ที่โรงพยาบาล ก็รีบรุดมาหาชายหนุ่มทันที ฉีเล่ยจึงได้ขอยืมห้องคนไข้ที่ว่างอยู่ ทําการฝังเข็มให้กับกวนไฟผิง

 

หลังจากที่ฝังเข็มเสร็จเรียบร้อยแล้ว และได้ข่าวจากฉีเล่ยว่า เขาจะต้องไปรายงานตัวที่กรมอนามัยบ่ายนี้ในฐานะแพทย์พิเศษ กวนไห่ผิงจึงเสนอตัวเลี้ยงฉลองให้กับ ชายหนุ่ม เพราะถึงอย่างไรเสีย ฉีเล่ยก็เป็นผู้ที่ดึงเขาให้ออกจากความมืดแห่งชีวิต

 

หลังจากที่ทั้งคู่นั่งรับประทานอาหารเที่ยงด้วยกันเสร็จแล้ว กวนไห่ผิงจึงได้จากไป ส่วนนี้เลยก็มุ่งหน้าไปรายงานตัวที่กรมอนามัย

 

กรมอนามัยประจํามณฑลหนานเจียงนั้น ตั้งอยู่ในเขตที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของเมืองหนานหยาง เป็นอาคารสมัยใหม่ที่สามารถมองเห็นได้แต่ไกล อาคารแห่งนี้ให้ความรู้สึกสง่างาม เคร่งขรึม และโอ่อ่า

 

เมื่อฉีเล่ยเดินลงจากรถแท็กซี่ และยืนมองลอดประตู เข้าไปด้านใน จึงได้เห็นว่า ลานกว้างด้านหน้าตึกนั้นเป็นลานจอดรถ และเวลานี้ก็มีรถจอดเรียงรายอยู่มากมาย

 

หน่วยงานที่นี่เลยจะต้องเข้าไปรายงานตัวนั้นคือสํานักงานสุขภาพ และชายหนุ่มจะต้องเข้าไปรายงานตัวที่แผนกทะเบียนของสํานักงานก่อน

 

และแน่นอนว่า เมื่อเป็นคําสั่งโดยตรงจากระดับผู้บริหารของกรมที่สั่งลงมา ต่อให้เป็นงานเล็กน้อย ผู้ใต้บังคับบัญชาย่อมถือปฏิบัติประหนึ่งงานใหญ่โต

 

ฉีเล่ยเงยหน้าขึ้นมองอาคารสูงสง่างามแห่งนี้ ก่อนจะก้าวเท้าเดินตรงเข้าไปที่หน้าประตู แต่ทันทีที่ชายหนุ่มก้าวเดินเข้าไป จู่ๆก็มีเสียงร้องตะโกนออกมาเสียงดัง

 

“นี่คุณ! ผมหมายถึงคุณนั่นล่ะ หยุดก่อน! ไม่อ่านป้ายเหรอครับ กรุณาลงทะเบียนก่อนเข้า!”

 

ระหว่างที่พูด เจ้าหน้าที่คนนั้นก็ได้ยกมือขึ้นเคาะป้ายอลูมิเนียม ที่เขียนไว้ชัดเจนว่า กรุณาลงทะเบียนก่อนเข้า

 

ฉีเล่ยมัวแต่เดินใจลอย จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นจริงๆ เขาได้แต่หัวเราะแก้เก้อ พร้อมกับพูดขอโทษออกไป

 

“ขอโทษทีครับ พอดีผมมัวแต่คิดอะไรเพลินไปหน่อย!”

 

“ตัวหนังสือใหญ่เท่าช้างกลับมองไม่เห็น นี่คุณมัวแต่เอาตาไปมองอะไรอยู่?”

 

เจ้าหน้าที่คนนั้นยังคงร้องตะโกนเหน็บฉีเล่ยเสียงดัง และยังคงตะโกนสั่งเขา ด้วยสีหน้าและน้ําเสียงหยิ่งจองหอง

 

“แล้วยังจะยืนซื่อบื้อเป็นตอไม้อยู่อีกทําไมกัน? ยังไม่รีบๆลงทะเบียนอีก ลงเสร็จแล้วก็จะได้เข้าไปข้างในซะที อย่ามายืนเกะกะอยู่ตรงนี้!”

 

ฉีเล่ยได้แต่นึกโมโหอยู่ในใจ “ก็แค่ลงทะเบียน ทําไมต้องตวาดกันขนาดนี้ด้วย? นี่ฉันมาทําอะไรที่นี่? แล้วทําไมฉันต้องมาที่นี่ด้วย? แค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ยังจองหองซะขนาดนี้!”

 

ในระหว่างนั้น รถออดี้สีดําที่เพิ่งขับมาถึงหน้าประตูทางเข้า ก็ได้กดแตรใส่เสียงดัง

 

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรีบหันหน้าไปมองทันที แล้วใบหน้าบูดบึ้งไม่รับแขก ก็พลันเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มแจ่มใส ราวกับว่ากําลังยืนอยู่กลางทุ่งดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิเลยทีเดียว เขารีบวิ่งไปเปิดไม้กั้น และโค้งคํานับให้กับคนในรถด้วยท่าทางเคารพนบนอบอย่างมาก

 

หลังจากนั้น คนขับรถออดี้สีดําก็เหยียบคันเร่งพารถพุ่งเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจแม้แต่จะปรายตามองเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่กําลังยืนทําความเคารพอยู่ด้วยซ้ํา

 

แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยังคงยืนตรง พร้อมกับส่งยิ้มกว้างอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งรถแล่นผ่านไปแล้ว จึงมีเสียงแตรดังขึ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่คนนั้นเข้าใจว่าเป็นการทักทายจากคนขับรถคันนั้น

 

แต่สําหรับฉีเล่ยแล้ว เขารู้สึกว่าคนขับรถคันนั้นกําลังกดแตรด่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต่างหาก เพราะไม่พอใจที่เขายืนขวางทางเข้าอยู่ได้

 

หลังจากที่รถออดี้สีดําแล่นเข้าไปด้านในแล้ว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจึงได้หันมาทางฉีเล่ย แล้วพูดกับเขาด้วยน้ําเสียงและท่าทางก้าวร้าวเหมือนเดิม

 

“ยังจะยืนเฉยทําไมอีก? ยังไม่รีบๆลงทะเบียนให้เสร็จ จะได้เข้าไปข้างในซะที มายืนขวางหูขวางตาอยู่ได้!”

 

เรื่อง : ลูกเขยยอดนักฆ่า

 

เขาคือนักฆ่าอันดับหนึ่งในโลกของวงการทหารรับจ้าง ฉายาของเขาคือ นักฆ่าอาซูร่า”

 

ศัตรูได้ยินเพียงแค่ชื่อของเขา ก็ถึงกับหวาดกลัวจนหัวหด!!

 

เขามีทักษะทางด้านการแพทย์ที่น่าอัศจรรย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชา “เก้าเข็มเปิดนภา” ทักษะทางการแพทย์ ที่ล้ําเลิศอย่างไร้ที่ติของเขานี้ ได้ช่วยชีวิตของผู้คนในสนามต่อสู้ไว้ได้มากมายอย่างนักไม่ถ้วน

 

และด้วยความบังเอิญ เขาได้กลายมาเป็นลูกเขยของตระกูลที่มั่งคั่งตระกูลหนึ่ง

 

หลายคนอาจคิดว่าการเป็นลูกเขยในตระกูลที่ร่ํารวยมั่งคั่งเช่นนี้ คงจะต้องทนอยู่อย่างอัปยศอดสู และถูกเหยียดหยามสินะ?

 

แต่มิใช่หลินหนาน!! เขาคือลูกเขยที่พ่อตารักยิ่ง และกลายเป็นลูกเขยผู้ยิ่งใหญ่ของเมืองนี้

 

เรื่อง : จักรพรรดิ์เทพมังกร

 

ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป ทําให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด

 

จากนั้น.. หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเอง ทีละขั้น ทีละขั้น และไต่ลําดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร..

 

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset