ตอนที่ 42 โทษรุนแรง
ภายในอาคารของกรมอนามัย..
หลังจากที่โจวเหอได้ทราบข่าวว่าทั้งหมดกําลังจะเดินทางมาที่นี่เขาก็รีบวิ่งลงจากบันไดมารอต้อนรับทุกคนด้วยตัวเอง
รถจากสํานักงานรักษาความมั่นคงของเนี่ยจิงวิ่งเปิดทางให้กับรถของหวังเทียนหังขับตามมา และครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้เปิดประตูรอ รับไว้แล้วรถทั้งสองคันจึงสามารถขับผ่านเข้าไปได้อย่างสะดวกง่ายดาย
“เลขาหวัง ผมรู้สึกอับอายขายหน้าจริงๆ ที่ทําให้คุณต้องวุ่นวายและต้องลงมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง!”
และสิ่งแรกที่โจวเหอทําเมื่อเผชิญหน้ากับหวังเทียนหังก็คือขอโทษและยอมรับผิดแต่โดยดี!
หลิวเฟิงเจิ้นเป็นถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมอนามัยและมีหน้าที่ดูแลการทํางานของสํานักงานสุขภาพโดยตรง
แต่เนื่องจากเวลานี้ หลิวเฟิงเจิ้นอยู่ระหว่างเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลในช่วงเวลาที่สํานักงานสุขภาพเกิดเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้โจวเหอในฐานะที่เป็นผู้บริหารอันดับรองลงมา และไม่เคยก้าวก่ายการทํางานของสํานักงานสุขภาพมาก่อน จึงจําเป็นต้องเข้ามาดูแลรับผิดชอบเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้แทน
หวังเทียนทั้งส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สํานักงานสุขภาพให้ความสําคัญกับแพทย์พิเศษอย่างมาก แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป็นเรื่องเลวร้ายเกินที่ยอมรับได้จริงๆ นอกจากผู้ที่เกี่ยวข้องจะเพิกเฉยต่อจดหมายฉบับนั้นแล้วยังทุบตีทําร้ายแพทย์พิเศษที่มารายงานตัวอีกด้วย..”
“เรื่องนี้คงจะไปถึงหูของผู้บริหารระดับสูงแล้ว หวังว่าคุณจะจัดการกับผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง!”
ความจริงหวังเทียนหังก็ยังไม่รู้ว่า เรื่องนี้ลอยไปเข้าหูผู้บริหารระดับสูงคนไหนแล้วบ้าง เขาเพียงแค่ยกขึ้นมาอ้างเท่านั้นเอง และ ทันทีที่โจวเหอได้ยินเขาก็ไม่กล้านิ่งนอนใจ รีบกระโจนเข้ากับดัก อย่างรวดเร็วและระล้ําระลักบอกกับหวังเทียนทั้งไปว่า
“ทางเราได้ประชุมปรึกษาหารือกันแล้วครับ พวกเรามีมติให้ลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างหนัก! แต่ตอนนี้เชิญเลขาหวังเข้าไปนั่งข้างในก่อนจะดีกว่า เชิญครับๆ”
เนี่ยจิงพอจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขาจึงคร้านที่จะเข้าไปวุ่นวายในเรื่องนี้อีก และได้หันไปบอกกับหวังเทียนฟังว่า
“เลขาหวัง ผมยังมีงานคั่งค้างที่ต้องกลับไปสะสาง ผมขอตัวกลันก่อน!”
หลังจากนั้น เขาก็หันไปทางฉีเล่ยพร้อมกับยื่นนามบัตรให้ก่อนจะพูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“คุณหมอฉี วันหน้าถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น โทรหาผมได้ตลอดเวลานะครับ!”
ในระหว่างที่ทุกคนกําลังตื่นตระหนก แต่เนี่ยจิงกลับใช้โอกาสนี้กมิตรกับแพทย์พิเศษได้อย่างแนบเนียน
นี่เลยยื่นนามบัตรของตนเองให้กับเนี่ยจิงเช่นกัน พร้อมตอบกลับไปว่า “ขอบคุณมากสําหรับความช่วยเหลือในวันนี้ ไม่อย่างนั้นวันนี้ผมคงวุ่นวายกว่านี้มาก ไว้วันหน้าหากมีโอกาส ผมจะตอบแทนนะครับ!”
“เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องเกรงใจครับคุณหมอฉี! ผมคงต้องขอตัวก่อนแล้ว”
เนี่ยจิงร้องตอบพร้อมกับโบกไม้โบกมือไปมา ก่อนจะหันหลังเดินจากไป และได้แต่คิดในใจว่า หากอีกฝ่ายซาบซึ้งกับการช่วยเหลื อครั้งนี้ของตนนับว่าการเดินทางมาด้วยตัวเองไม่เสียเปล่าจริงๆ
โจวเหอรู้ว่าฉีเล่ยเป็นแพทย์ฝึกหักที่ให้การรักษาหลิวเฟิงเจิ้นแต่ไม่รู้ว่าเขารู้จักกับเนี่ยจิงด้วย รีบหันไปพูดกับฉีเลยด้วยท่าทางนอบน้อม
“คุณหมอฉีครับ ผมขอเป็นตัวเจ้าแทนหน้าที่ทั้งหมดขอโทษคุณสําหรับเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้น!”
“ไม่เป็นไร! ผมคงจะไม่กล้ารับคําขอโทษของผู้อํานวยการโจว!”
นี่เล่ยโบกไม้โบกมือ พร้อมตอบกลับด้วยน้ําเสียงประชดประชั้นทันที “กระทั่งเอกสารราชการ เจ้าหน้าที่ของคุณยังไม่เชื่อเลย อย่ามาสนใจกับเรื่องที่ผมถูกทุบตีนิดๆหน่อยๆเลยครับอีกอย่างผมเองก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร!”
โจวเหอรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก แม้ปากจะบอกว่าไม่เป็นไรแต่คําพูดทั้งหมดกลับย้ําว่าเขาทําหน้าที่ได้บกพร่องมาก..
“เป็นแค่หมอฝึกหัด ถึงกับกล้าฉีกหน้าฉันต่อหน้าทุกคนแบบนี้เชียวเรอะ?”
แต่เพราะหวังเทียนหังอยู่ด้วย เขาจึงไม่กล้าแสดงความโกรธและความไม่พอใจออกมาให้เห็น และตอบกลับไปด้วยน้ําเสียงอ่อนโยน
“คุณหมอฉีช่างเป็นคนดีมีเมตตามากจริงๆ นี่ถ้าเป็นผม ผมคงต้องการคําอธิบายดีๆบ้าง…”
ภายในห้องประชุม เวลานี้โจวเหอได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ระดับกลางทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง
“สํานักงานสุขภาพ มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบสุขภาพของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในมณฑล และเป้าหมายของเราคือสุขภาพที่แข็งแรงของเจ้าหน้าที่ระดับสูงซึ่งหากไม่มีแพทย์พิเศษงานของเราก็ยากที่จะบรรลุจุดประสงค์ได้”
ภายในห้องประชุมขนาดใหญ่เวลานี้ เจ้าหน้าที่ภายในกรมกว่าร้อยคนกําลังนั่งฟังโจวเหอกล่าวเปิดการประชุมด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดส่วนโจวเหอนั้นเมื่อหันไปเห็นหวังเทียนทั้งที่นั่งถอนหายใจออกมาจึงจําเป็นต้องวกเข้าเรื่องสําคัญทันที
“แต่วันนี้ ”
ทันทีที่ได้ยินคําพูดประโยคสั้นนี้ ทุกคนในห้องประชุมโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลู่ฉีเว่ยซึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้แถวสองนั้นเวลานี้ฝ่ามือทั้งสองของเขาจับต้นขาตนเองไว้แน่นเพราะสั่นสะท้านจนไม่สา มารถควบคุมได้ ใบหน้าซีดขาว ริมฝีปากเขียวคล้ําและแทบหายใจ ไม่ออก..
เวลานี้ หลู่ฉีเว่ยได้แต่คิดว่า หากเขาถูกไล่ออก หรือถูกโยกย้ายให้ไปนั่งในตําแหน่งที่ไม่มีอํานาจ ก็ยังนับว่าเป็นจุดจบที่น่ายินดีเสียกว่า
แต่เพราะเหตุการณ์ในวันนี้ ทําให้มีการสอบสวนเรื่องของเขาจนพบว่าเขาเคยทุจริตรับเงินนับร้อยล้านจากบริษัทยาแห่งหนึ่ง!
และด้วยเหตุการณ์ในวันนี้ เนื่องจากหลู่ฉีเว่ยได้ใช้อํานาจสั่งการให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ทุบตีทําร้ายร่างกายผู้อื่นภายในสถานที่ราชการทั้งเขาและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งชุดจึงได้ถูกไล่ออกและถูกนําตัวไปสอบสวนทางวินัยที่สํานักงานรักษาความมั่นคง
หลังจากที่ได้ฟังคําสั่งที่ออกมา หลู่ฉีเว่ยก็ถึงกับเกร็งไปทั้งร่างจนไม่สามารถหายใจได้ และเวลานี้ภายในห้องประชุมก็กําลังโกลาหลวุ่นวายไปหมด หลายคนช่วยกันพยุงร่างที่เป็นลมหมดสติของหลู่ฉีเว่ยไปนอนราบกับพื้น พร้อมกับช่วยกันพัดวี
จนกระทั่งผ่านไปหลายนาที หลู่ฉีเว่ยก็ค่อยๆลืมตาขึ้นพร้อมกับร้องคร่ําครวญไม่หยุด
ความจริงแล้ว ฉีเลยไม่คิดว่าเรื่องราวจะบานปลายใหญ่โตจนถึงขั้นถูกไล่ออกแต่หลังจากได้ยินว่า หลู่ฉีเว่ยรับเงินใต้โต๊ะจากบริษทยา เพื่อช่วยดําเนินการภายในให้บริษัทยานั้น สามารถผลิตยาคุณภาพต่ําออกมาจําหน่ายได้ ฉีเล่ยก็ถึงกับโมโห และรู้สึกว่า โทษที่หลู่ฉีเว่ยได้รับนั้นยังน้อยเกินไป หากเป็นเขา เขาคงจะตัดแขนตัดขา หลู่ฉีเว่ยทิ้งไปแล้ว!
หลังจากที่โจวเหอสั่งให้คนลากตัวหลู่ฉีเว่ยออกไปแล้วเขาก็หันมาสะสางกับคนที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ครั้งนี้อีกคนซึ่งก็คือเกาว่านฮุย
แต่เกาว่านฮุยนั้นได้รับโทษที่เบากว่ามาก เพราะไม่ได้ทําความผิดร้ายแรงเหมือนกับหลู่ฉีเว่ย เขาเพียงแค่ได้รับหนังสือตักเตือนเท่านั้น..
หลังจากการประชุมสิ้นสุดลงฉีเลยก็เตรียมตัวที่จะลุกเดินออกไปแต่หวังเทียนหางรีบหันไปบอกกับชายหนุ่มว่า
“คุณหมอฉี ผมอยากจะขอเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อเป็นการไถ่โทษหวังว่าคุณหมอฉีจะให้เกียรตินะครับ!”
ฉีเลยรีบตอบกลับไปทันที “ผมจะให้เลขาหวังเป็นฝ่ายเลี้ยงได้ยังไงกัน? ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงขอบคุณ ที่คุณมาช่วยอธิบายเรื่องราวทั้งหมดได้ทันเวลา!”
หวังเทียนหยางแกล้งทําสีหน้าท่าทางขึงขังในขณะที่ตอบกลับไปว่า “อะไรกันคุณหมอฉี! ไม่ต้องมาทําเกรงใจผมเลย นั่นมันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว อีกอย่าง วันนี้เป็นวันเริ่มงานวันแรกของคุณผมในฐานะที่อายุมากกว่าขอเป็นเจ้าภาพมื้อนี้ก็แล้วกัน ถ้าปฏิเสธนี่ถือว่าไม่ให้เกียรติผมนะ!”
ฉีเลยได้แต่ถ้ําอึ้ง เพราะเขาไม่ต้องการไปกับหวังเทียนทั้งจริงๆจึงได้แต่อ้างไปว่า “ขอบคุณเลขาหวังมากครับ แต่เผอิญว่า เสร็จจานี้ผมจะต้องไปพบคุณนายหลิวที่บ้านต่อ…”
และคําตอบของฉีเล่ย ก็ทําให้หวังเทียนฟังถึงกับตาโตด้วยความตกใจขึ้นมาทันที!
“หรือว่าหมอนี่จะยังโกรธอยู่ ถึงได้ต้องรีบไปหาหัวหน้าหลิวเพื่อไปรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้กันนะ? แล้วที่ฉันสู้อุตส่าห์ทิ้งงานทิ้งการตลอดทั้งวันเพื่อมาจัดการเรื่องนี้ให้ มันไม่มีความหมายเลยหรือยังไง?”
หลังจากเห็นสีหน้าท่าทางตกอกตกใจของหวังเทียนทั้งฉีเลยก็เข้าใจได้ทันทีว่าเขากกําลังเข้าใจตนเองผิดไป จึงรีบอธิบายออกไปทันที
“เลขาหวังครับ ถึงอย่างไรเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็คงยากที่จะปิดบังคุณนายหลิวได้ หลังจากที่อาการของเธอดีขึ้น ก็ต้องกลับมาทํางานอยู่ดีอย่างน้อยเธอควรต้องรับรู้ว่า เกิดเรื่องใหญ่โตอะไรขึ้นบ้างไม่ใช่เหรอครับ?”
“การที่ให้เธอมารู้ทีหลังด้วยตัวเอง จะทําให้คุณนายหลิวยิ่งโกรธมากขึ้นจะไม่ดีกว่าเหรอครับ ถ้าผมจะไปอธิบายเรื่องนี้ให้เธอฟัง ด้วยตัวเอง และถ้าผมไม่ถือสาคุณนายหลิวก็คงจะไม่เก็บเรื่องนี้ มาใส่ใจเช่นกัน!”
คําพูดของฉีเลยมีเหตุมีผลอย่างมาก เพราะไม่ว่าอย่างไร ช้าเร็วเรื่องนี้ก็ต้องไปเข้าหูหลิวเฟิงเจิ้นอยู่ดี ย่อมเป็นการดีกว่าที่นี่เลยจะไปรายงานเรื่องนี้ให้เธอรู้ด้วยตัวเอง
หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดหวังเทียนฟังก็จับมือฉีเลยพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ตกลง! ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้คุณต้องรับปากจะให้ผมเลี้ยงข้าวนะ! ห้ามปฏิเสธ!”
“ตกลงครับ! ตกลง!” นี่เลยตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
แต่หลังจากที่รถของหวังเทียนฟังแล่นออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าของนี่เล่ยก็อันตรธานหายไปในทันที เขาก้าวเดินออกจากอาคารของกรมอนามัย จากนั้นจึงเรียกแท็กซี่ตรงไปที่บ้านหลิวเฟิงเจิ้น
บ้านหลังใหญ่โตของหลิวเฟิงเจิ้นนั้น ทิศใต้เป็นแม่น้ําและภูเขาและบริเวณนี้ก็เป็นย่านที่คนร่ํารวยส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่กัน
และกว่าที่นี่เลยจะมาถึง ก็ปาเข้าไปสองทุ่มแล้ว เวลานี้หลิวเฟิงเจิ้นที่เพิ่งรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ก็กําลังนอนเอนกายดูข่าวในทีวีอยู่บนโซฟาตัวยาว
เมื่อเห็นฉีเลยเดินเข้ามา หลิวเฟิงเจิ้นจึงได้รีบลุกขึ้นนั่งพร้อมกับยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน “อ้าวคุณหมอฉี ทําไมจู่ๆถึงแวะมาล่ะ?เข้ามาสิเข้ามานั่งก่อน”
“สวัสดีครับป้าหลิว! ผมแวะมาดูอาการป่าหลิวครับ ไม่ทราบว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”
ในระหว่างที่ร้องถามออกไปนั้น ฉีเลยก็ได้จัดการเปลี่ยนรองเท้าพร้อมกับยื่นผลไม้ในมือให้กับแม่บ้าน ก่อนจะเดินไปนั่งที่โซฟาภายในห้อง
“อาเม่ย เธอเอาผลไม้นั่นไปปลอกมาให้คุณหมอฉีทานอ่อ.. แล้วก็เตรียมของว่างมาให้ด้วย!”
หลิวเฟิงเจิ้นหันไปสั่งแม่บ้าน จากนั้นจึงหันไปตอบฉีเลย “ตอนนี้ฉันหายเป็นปกติดีแล้ว! นอนพักผ่อนอีกสักคืน พรุ่งนี้ก็น่าจะกลับไปทํางานได้แล้วล่ะ!”
“ว่าแต่เธอเถอะ วันนี้ไปรายงานตัวคงจะเหนื่อยมากแล้วทําไมยังต้องแวะมาเยี่ยมเยียนฉันอีก?”
ฉีเลยหัวเราะพร้อมตอบกลับไปว่า “ก็นี่เป็นหน้าที่ของผมนี่ครับอย่าลืมว่าป้าหลิวเป็นคนไข้ของผม การมาเยี่ยมเยียนคนไข้จึงเป็นความรับผิดชอบของผมด้วย!”
หลังจากนั้น ฉีเลยก็ได้ตรวจชีพจรให้กับหลิวเฟิงเจิ้นอีกครั้งและได้แสดงความยินดีกับเธอ ที่เวลานี้พลังเย็นซึ่งเป็นสาเหตุของการเจ็บปวยได้หายไปหมดแล้วและร่างกายของเธอก็แข็งแรงเป็นปกติ
“ป้าหลิวครับ ตอนนี้สุขภาพกลับมาแข็งแรงเป็นปกติแล้วนะครับ แต่ถ้าสามารถนอนพักผ่อนต่ออีกสักสองสามวันได้ก็จะดีมาก
เลย!”
“ไม่ล่ะ! ฉันนอนอยู่ในโรงพยาบาลมาครึ่งเดือนแล้ว ตอนนี้คงจะมีงานคั่งค้างรอให้ฉันไปสะสางมากมาย!”
หลิวเฟิงเฉินตอบกลับพร้อมหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะทําหน้าคล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ และร้องถามฉีเลยออกไปว่า
“เกือบลืมไปสนิทเลย! วันนี้ไปรายงานตัวเป็นยังไงบ้าง? ทุกอย่างราบรื่นดีใช่มั้ย? แล้วนี่คุ้นเคยกับแพทย์พิเศษในทีมบ้างหรือยังล่ะ?”
“เอ่อ..”
ฉีเลยได้แต่อึ้ง และมีสีหน้ากระอักกระอ่วน เขาทําอะไรไม่ถูกจึงได้แต่ยกมือขึ้นเกาศรีษะตัวเอง