ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 43 ลาออก

ตอนที่ 43 ลาออก

เมื่อเห็นว่าฉีเล่ยต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับมีท่าทีลังเล หลิวเฟิงเจิ้นจึงสามารรถคาดเดาได้ทันทีว่า วันนี้จะต้องมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้น ฉีเล่ยคงจะไม่มีท่าทีเช่นนี้แน่!

หลิวเฟิงเจิ้นหุบยิ้มทันที ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หมอฉี วันนี้คงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นสินะ?”

“ตำแหน่งแพทย์พิเศษของกรมอนามัย นับเป็นตำแหน่งที่ทุกคนให้ความสำคัญมาก! พวกเรามักต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมในการทำงาน เพื่อให้แพทย์พิเศษได้มีบรรยากาศในการทำงานที่ดี”

“หมอฉี.. ถ้าเธอมีปัญหาอะไร ก็บอกฉันมาตามตรง หรือมีเรื่องอะไรที่เห็นว่าทางเราควรจะต้องปรับปรุง ก็แนะนำออกมาได้เลย ฉันยินดีรับฟัง และจะนำไปทำการปรับปรุงให้ทุกอย่างดีขึ้น..”

ในเมื่อหลิวเฟิงเจิ้นถามขึ้นด้วยความจริงใจเช่นนี้ ฉีเล่ยจึงไม่ต้องการปกปิดอะไรอีก และได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้หลิวเฟิงเจิ้นฟังอย่างละเอียด รวมถึงเรื่องที่หลู่ฉีเว่ยและกวนว่านฮุยถูกลงโทษด้วย

แต่ในรายละเอียดที่เล่าไปทั้งหมดนั้น ดูเหมือนฉีเล่ยพยายามที่จะเลี่ยง ไม่พูดถึงการทำงานที่ผิดพลาดของหวังเทียนหัง

การที่ฉีเล่ยมาพบหลิวเฟิงเจิ้นในวันนี้ ก็เพื่อมาบอกกล่าวความจริงเท่านั้น ไม่ได้ต้องการมาฟ้องใครคนใดคนหนึ่ง อีกอย่าง หวังเทียนหังก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น และเขาก็ได้พยายามแก้ไขเหตุการณ์อย่างดีที่สุดแล้ว

หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากฉีเล่ย หลิวเฟิงเจิ้นก็ถึงกับโกรธมาก เธอตบโต๊ะตรงหน้าเสียงดัง พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด

“หึ! มันน่าโมโหจริงๆ คิดไม่ถึงว่าในองค์กรจะมีคนเหลวไหลแบบนี้ นั่นยังนับว่าเป็นโทษที่เบาเกินไป ไว้ฉันกลับไปทำงาน ฉันจะไปจัดการสะสางเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ฉันไม่ยอมให้เรื่องจบง่ายๆแบบนี้แน่!”

เมื่อเห็นหลิวเฟิงเจิ้นโกรธเกรี้ยวขนาดนี้ ฉีเล่ยจึงรีบร้องเตือนทันที “ท่านป้าหลิวครับ กรุณาสงบจิตสงบใจบ้างเถอะนะครับ! คุณป้าเพิ่งจะหายป่วย การโกรธมากไป จะส่งผลต่อการทำงานของตับนะครับ!”

“อีกอย่าง ผมเองก็ไม่ได้ถือสากับเรื่องที่เกิดขึ้น เพียงแต่ที่ผมมารายงานเรื่องนี้ให้ท่านป้าหลิวทราบ ก็เพราะต้องการให้คุณป้าได้รู้เรื่องราวทั้งหมด จะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อนเท่านั้นเองครับ..”

หลิวเฟิงเจิ้นถึงกับสงบนิ่งลงไปเล็กน้อย เธอปรับน้ำเสียงให้เบาลง ในขณะที่หันไปพูดกับฉีเล่ยว่า

“หมอฉี เป็นเพราะฉันดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ดีพอ ทำให้เธอต้องพบเจอเรื่องแย่ๆแบบนี้ ฉันรู้สึกผิดต่อเธอมากจริงๆ แต่ฉันรับปากว่า จะไม่ให้เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นกับเธออีกอย่างแน่นอน!”

ฉีเล่ยรับรู้ได้ว่า หลิวเฟิงเจิ้นนั้นจริงใจ และมองเขาในแง่ดีอย่างเสมอมา ไม่เช่นนั้น เธอคงจะไม่พูดคำเหล่านั้นออกมาอย่างแน่นอน และด้วยตำแหน่งที่สูงส่งของเธอ ไม่จำเป็นที่เธอจะต้องลดตัวพูดคำพวกนั้นกับเขาก็ได้

ด้วยเหตุนี้ ทำให้ฉีเล่ยรู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาที่หลิวเฟิงเจิ้นมีต่อเขาอย่างมาก แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จำเป็นต้องพูดความในใจของตนเองออกไป..

ฉีเล่ยสูดลมหายใจเข้าลึก เพื่อให้ตนเองรู้สึกผ่อนคลายมากที่สุด ก่อนจะบอกกับหลิวเฟิงเจิ้นไปว่า

“ป้าหลิวครับ ที่ผมมาวันนี้ เพราะต้องการจะมาลาออกครับ!”

“…”

หลิวเฟิงเจิ้นได้แต่นิ่งอึ้งไปด้วยความตกตะลึง และไม่เข้าใจว่า ฉีเล่ยกำลังล้อเธอเล่น หรือว่าพูดจริงจังอยู่กันแน่?

หลังจากที่เห็นหลิวเฟิงเจิ้นนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่เช่นนั้น ในที่สุดฉีเล่ยก็ได้อธิบายออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ป้าหลิวครับ กรุณาอย่าเข้าใจผมผิดไปนะครับ! เหตุผลที่ผมขอลาออก ไม่ได้เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้เลยแม้แต่น้อย ผมไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย..”

ในที่สุดหลิวเฟิงเจิ้นก็ถามขึ้นว่า  “ถ้าอย่างนั้นทำไมต้องลาออกด้วยล่ะ?”

“นั่นเพราะหลังจากใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้ว ผมกลับรู้สึกว่างานนี้ไม่เหมาะกับตัวเองเลย!”

ฉีเล่ยหยุดไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อว่า “ป้าหลิวครับ พลังงานของคนเราล้วนมีขีดจำกัด ผมต้องการอุทิศตนเพื่อรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วย แต่การเข้าไปอยู่ในองค์กรที่มีระบบมากมายแบบนี้ ผมรู้สึกว่า ต้องใช้พลังงานไปกับการปรับตัวให้เข้ากับระบบพวกนั้น ผมไม่ต้องการเสียพลังงานไปกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง..”

ฉีเล่ยนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามหลิวเฟิงเจิ้นอย่างตรงไปตรงมา “ป้าหลิวครับ คุณคิดว่าแพทย์พิเศษคนอื่นๆ จะยอมรับความรู้ความสามารถของผมงั้นเหรอครับ?”

หลิวเฟิงเจิ้นได้แต่อ้าปากค้าง เธออยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ ลำคอคล้ายตีบตันไปหมด..

นั่นเพราะ เหตุผลของฉีเล่ย ทำให้เธอไม่สามารถโต้แย้งได้จริงๆ!

…….

ฉีเล่ยก้าวเดินออกจากบ้านของหลิวเฟิงหวงด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย ตั้งแต่ศรีษะจรดเท้าเบาสบายราวกับได้วางภูเขาที่หนักอึ้งลง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้บอกเหตุผลที่แท้จริงออกไป

จริงอยู่ที่ฉีเล่ยไม่เหมาะกับองค์กรเช่นนี้ และเขาเองก็ไม่ต้องการเสียพลังงานในตัว ไปกับการปรับตัวให้เข้ากับระบบที่วุ่นวาย แต่หากจะต้องทำจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฉีเล่ยเลย

แต่ประเด็นคือ เขาไม่ต้องการทำ!

เวลานี้ฉีเล่ยมีทั้งความรู้ทางด้านการแพทย์ที่ลึกซึ้ง และมีพลังปราณภายใน ทำให้สามารถวินิจฉัย และรักษาโรคได้อย่างถูกต้อง ด้วยวิธีที่ตรงไปตรงมาไม่ซับซ้อน!

แต่หากเขาไปอยู่ในทีมแพทย์เหล่านั้น เขาก็ต้องคอยรับมือกับการรักษาที่ซับซ้อน และต้องผ่านการถกเถียงให้ปวดหัวเสียเปล่าๆ และนั่นไม่ใช่นิสัยของฉีเล่ย!

ใช่ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ จะเป็นเรื่องที่ฉีเล่ยไม่คาดฝัน ความจริงแล้ว เขาจงใจที่จะให้มันเกิดขึ้นต่างหาก!

เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไม่ต่างจากการยืมดาบฆ่าคน!

กว่าที่ฉีเล่ยจะกลับมาถึงบ้านก็ราวสามทุ่มตรง เฉินอวี้หลัวเองก็ยังไม่นอน เธอยังคงนั่งเล่นโยคะรอฉีเล่ยอยู่หน้าทีวีในห้องนั่งเล่น

เฉินอวี้หลัวเป็นผู้หญิงที่มีไลฟ์สไตล์ค่อนข้างดี เธอมักจะเข้านอนแต่หัวค่ำ และตื่นแต่เช้าตรู่ ในขณะเดียวกันก็ดูแลรักษาสุขภาพเป็นอย่างดี หมั่นออกกำลังกายหลากหลายชนิด ทั้งว่ายน้ำ และโยคะ ทำให้เธอมีรูปร่างที่ดี

เมื่อฉีเล่ยเดินเข้าไปในบ้าน ก็พบหญิงสาวกำลังเล่นโยคะท่ายากอยู่พอดี เท้าข้างหนึ่งพาดไปด้านหลัง ในขณะที่อีกข้างยกพาดไหล่..

และไม่รู้ว่าหญิงสาวเล่นโยคะอยู่นานเท่าไหร่แล้ว แต่เวลานี้ เหงื่อเม็ดโตได้ผุดขึ้นเต็มหน้าผากของเธอ ทันทีที่ฉีเล่ยเปิดประตูเข้ามา เฉินอวี้หลัวก็ร้องทักทายขึ้นทันที

“ที่รัก! กลับมาแล้วเหรอ?”

“ครับ!”

ฉีเล่ยพยักหน้า หลังจากเดินเข้าไปเปลี่ยนชุดนอนออกมา เขาก็มานั่งมองภรรยาเล่นโยคะ พร้อมกับนั่งคุยกับเธอไปด้วย

เฉินอวี้หลัวรู้ว่าวันนี้ฉีเล่ยไปรายงานตัวที่กรมอนามัย จึงได้ถามขึ้นว่า “วันนี้ไปรายงานตัวมาเป็นยังไงบ้าง? ทุกอย่างเรียบร้อยดีมั๊ย?”

“เป็นไปอย่างราบรื่น!” ฉีเล่ยหยุดหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับไปว่า “ผมลาออกเรียบร้อยแล้ว!”

“ห๊ะ?!”

เฉินอวี้หลัวร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ หญิงสาวรีบเอาขาทั้งสองข้างลงจากไหล่ทันที และกลับมานั่งคุกเข่า พร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปมองฉีเล่ยใกล้ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าเขาไม่ได้พูดล้อเล่น

แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของฉีเล่ย หญิงสาวก็ถึงกับเบ้ปากพร้อมกับถามย้ำว่า “ที่รัก! นี่นายไม่ได้ล้อเล่นใช่มั๊ย? นายลาออกแล้วจริงๆน่ะเหรอ?”

ฉีเล่ยพยักหน้า พร้อมกับย้ำหนักแน่น “ผมลาออกแล้วจริงๆ!”

เฉินอวี้หลัวรีบถามต่อทันที “ทำไมล่ะ? หรือว่าที่นั่นแย่มาก?”

“ไม่เกี่ยวกับเรื่องดีหรือไม่ดี แต่ที่นั่นไม่เหมาะกับผมต่างหาก!” ฉีเล่ยตอบกลับไป

หลังจากที่ฉีเล่ยเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เฉินอวี้หลัวฟัง หญิงสาวก็ได้แต่ทำหน้าสีหน้าที่บ่งบอกว่า เห็นอกเห็นใจฉีเล่ยมาก

หลังจากฟังจนจบ ในที่สุดเฉินอวี้หลัวก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก “ในเมื่อพวกเขาไม่ให้เกียรตินายแบบนี้ ก็ไม่ต้องไปสนใจ! นายไม่ต้องห่วง ฉันจะเลี้ยงดูนายเอง!”

ฉีเล่ยฟังแล้วถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฮ่าๆๆ ผมจะปล่อยให้ภรรยาเป็นฝ่ายเลี้ยงดูได้ยังไงกันล่ะ! ถึงผมจะไม่ได้ทำงานที่นั่น ก็คงไม่นั่งงอมืองอเท้าอยู่ที่บ้านเฉยๆแน่!”

หลังจากได้ฟังคำพูดของชายหนุ่ม เฉินอวี้หลัวจึงเสนอความคิดว่า “พวกเราเปิดคลินิกเองดีมั๊ย?”

แต่ฉีเล่ยกลับส่ายหน้าไปมา..

เฉินอวี้หลัวทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ถามฉีเล่ยว่า “ถ้าอย่างนั้น ไปทำงานที่โรงพยาบาลเดียวกับฉันมั๊ย? ด้วยความสามารถของนาย รับรองว่าผู้อำนวยการไม่ปฏิเสธแน่!”

ฉีเล่ยยังคงส่ายหน้าไปมา..

เฉินอวี้หลัวเข้าใจได้ทันที เธอจึงถามชายหนุ่มไปตรงๆ “นายอยากจะไปทำงานที่ปักกิ่งใช่มั๊ย? ถ้าอย่างนั้นนายก็ตัดสินใจได้เลย ฉันจะไปกับนายด้วย!”

ฉีเล่ยตอบกลับไปทันที “เรื่องนี้คุณตัดสินใจคนเดียวได้ยังไง? ต้องปรึกษา แล้วก็สอบถามความเห็นของคุณแม่คุณก่อน!”

“ยังจะต้องถามอะไรกันอีก?”

เฉินอวี้หลัวส่งสายตาค้อนให้สามี ก่อนจะพูดต่อว่า “เมื่อวานแม่ก็บอกชัดเจนแล้วว่า เรื่องนี้ให้นายเป็นคนตัดสินใจเอง ไม่ว่านายจะตัดสินใจยังไง แม่ก็พร้อมทำตามอยู่แล้ว!”

ฉีเล่ยพยักหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาเพียงผู้เดียว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คงไม่มีอะไรที่ชายหนุ่มจะต้องกังวลใจอีก

“ตกลง!”

ฉีเล่ยร้องออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม พร้อมกับพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่า ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว

“พรุ่งนี้ผมจะรีบติดต่ออาวุโสหลี่..”

แต่ยังไม่ทันที่ฉีเล่ยจะพูดจบประโยคดี โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น..

ฉีเล่ยก้มลงมองดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือ และพบว่าเป็นหวู่เฉิงเฟิงโทรเข้ามา

‘อาวุโสหวู่งั้นเหรอ?’

ฉีเล่ยลังเลว่าจะรับ หรือไม่รับดี เพราะหวู่เฉินเทียนเอง ก็ไม่ต้องการให้เขาติดต่อกับอาวุโสหวู่อีก และไม่ต้องการให้เขาเข้าไปยุ่งเกียวกับเรื่องภายในสกุลหวู่ด้วย

‘อาวุโสหวู่โทรมาดึกดื่นค่ำคืนแบบนี้ อาจจะมีเรื่องเร่งด่วนต้องการคุยก็ได้?’

แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ ที่หวู่เฉินเทียนเคยใช้เงินดูถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของตนเองในคืนนั้น ฉีเล่ยเองก็ไม่ต้องการที่จะรับสายผู้เฒ่าหวู่ เพราะเขาไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้ากับหวู่เฉินเทียนอีก

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฉีเล่ยจึงกดตัดสายทิ้งทันที!

แต่เพียงแค่สองสามวินาที โทรศัพท์มือถือของฉีเล่ยก็ดังขึ้นอีกครั้ง และเมื่อเห็นเบอร์ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ ฉีเล่ยก็ถึงกับต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน

การที่ฉีเล่ยกดตัดสายทิ้งไปเช่นนี้ หวู่เฉิงเฟิงน่าจะเข้าใจว่า เขาปฏิเสธที่จะไม่รับสาย และในยามดึกดื่นเช่นนี้ หากฉลาดพอ ก็ไม่ควรจะโทรกลับมาอีก

แต่เขาก็ยังคงโทรกลับมา มันหมายความว่าอย่างไรกัน?

เป็นไปได้หรือไม่ว่า มีปัญหาร้ายแรงเกิดขึ้น จนทำให้อาวุโสหวู่ถึงกับต้องยอมทำเรื่องเสียมารยาทเช่นนี้!

ฉีเล่ยคิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ก่อนจะกดรับสายในที่สุด!

หากไม่เกิดเรื่องคอขาดบาดตาย หวู่เฉิงเฟิงก็คงจะไม่ร้อนอกร้อนใจเช่นนี้แน่ ฉีเล่ยวางความขุ่นเคืองใจลง เพื่อรับฟังความต้องการของหวู่เฉิงเฟิง

“อาวุโสหวู่ มีเรื่องอะไรหรือครับ?” ฉีเล่ยถามขึ้นทันทีที่กดรับสาย

“ฉีเล่ย! ได้โปรดช่วยชีวิตลูกชายของฉันด้วย! ได้โปรดช่วยรักษาให้ลูกชายของฉันด้วย!” เสียงของอาวุโสหวู่ดังขึ้นอย่างร้อนอกร้อนใจ

“ค่อยๆพูดค่อยๆจาครับอาวุโสหวู่! เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

ฉีเล่ยกำชับให้หวู่เฉิงเฟิงควบคุมสติอารมณ์ตัวเอง ก่อนจะบอกต่อว่า “เอาล่ะครับ! ตอนนี้ลูกชายของคุณอยู่ที่ไหน?”

“อยู่ที่บ้านสกุลหวู่ ฉีเล่ย! ได้โปรดช่วยชีวิตลูกชายของฉันด้วย!” อาวุโสหวู่ร้องบอกฉีเล่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา

“เดี๋ยวผมจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ!”

หลังจากนั้น หวู่เฉิงเฟิงก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ จนฉีเล่ยต้องปลอกประโลมอยู่สักพัก หลังจากวางสายไป เขาจึงรีบหันไปบอกเฉินอวี้หลัว และเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะวิ่งออกไปจากบ้านอย่างรวดเร็ว

ฉีเล่ยเรียกแท็กซี่มุ่งหน้าไปยังบ้านสกุลหวู่ทันที แต่เพราะหวู่เฉิงเฟิงไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะบอกเล่าเรื่องเรา เขาจึงทำได้เพียงแค่เร่งเร้าให้คนขับเร่งความเร็วให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้!

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset