ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 50 ของขวัญแรกพบ

ตอนที่50 ของขวัญแรกพบ หลังขึ้นไปชั้นสองและหาห้องนอนของตัวเองพบ ฉีเล่ยก็ตรงเข้าไปในห้องน้ำ จัดการอาบน้ำชำระร่างกายทันที แต่ระหว่างที่กำลังชโลมครีมอาบน้ำลงบนร่างกาย ฉีเล่ยก็เพิ่งนึกถึงปัญหาบางอย่างขึ้นมาได้.. เขาไม่ได้นำเสื้อผ้าติดตัวมาด้วยเลยสักชุด! จะให้ใส่ชุดเดิมหลังอาบน้ำสะอาดแล้วก็คงไม่ดีนัก เพราะตอนที่ช่วยหญิงสาวบนเครื่องบินนั้น ร่างกายของเขาก็มีเหงื่อไหลโทรมจนเหม็นอับไปหมด ในกระเป๋าเดินทางของเขาเวลานี้ มีเพียงแค่ตำราแพทย์และตำราสมุนไพรเท่านั้น เขาไม่ได้นำเสื้อผ้าใส่มาด้วยเลยแม้แต่ตัวเดียว นี่เขาจะต้องนอนในสภาพห่อผ้าเช็ดตัวเล็กๆผืนเดียวจริงๆหรือ? ‘บ้าน่า! มันก็ดูมักง่ายเกินไป!’ ฉีเล่ยรีบล้างฟองสบู่เต็มตัวออก แล้วจึงรีบวิ่งออกไปเปิดตู้เสื้อผ้าภายในห้องดู เผื่อว่าจะมีเสื้อผ้าของใครทิ้งไว้ให้เขาใช้ปกปิดร่างกายได้บ้าง นับว่าโชคยังดีที่ฉีเล่ยไปเจอเสื้อคลุมอาบน้ำอยู่ในตู้เสื้อผ้าพอดี น่าเสียดายที่เสื้อคลุมอาบน้ำตัวนั้นเป็นเสื้อคลุมสำหรับผู้หญิง แต่ก็โชคดีที่เป็นไซส์ใหญ่ที่ฉีเล่ยพอจะใส่ได้ ส่วนสีนั้นเป็นสีชมพูหวานแหวว และมีลูกไม้แซมเล็กน้อย หลังจากสวมใส่แล้ว ฉีเล่ยก็เดินมายืนมองดูตัวเองหน้ากระจก เขาเข้าใจได้กระจ่างแจ้งทันทีว่า เรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของยายสาวน้อยหน้าตาเย็นชาไร้อารมณ์นั่น เธอจงใจแกล้งส่งเขามาอยู่ในห้องรับรองของผู้หญิง และเป็นเพราะผ่านการเดินทางมาตลอดทั้งวัน ร่างกายของเขาจึงเหนียวเหนอะหนะ ทำให้อยากรีบเข้าไปอาบน้ำ จนลืมสังเกตรอบๆก่อน “แล้วจะทำยังไงดีล่ะ?” เสื้อคลุมอาบน้ำตัวนี้ เขาไม่กล้าใส่ออกไปข้างนอกแน่ ไม่อย่างนั้นถ้าเรื่องนี้หลุดไปเข้าหูคนอื่นเข้า มีหวังเขาคงไม่กล้าสู้หน้าผู้คนตลอดชีวิต “แต่ถ้าไม่ใส่ จะให้เดินแก้ผ้าออกไปหรือยังไง?” ฉีเล่ยนึกอะไรขึ้นได้ จึงรีบวิ่งไปที่หน้าต่างห้องนอน เขาตั้งใจที่จะร้องตะโกนเรียกหลานสาวของอาวุโสหลี่ให้ช่วยหาเสื้อผ้าให้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่า เธอเองก็ไม่ได้อยู่ที่ลานหน้าบ้านแล้ว ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ฉีเล่ยจึงต้องจำใจหยิบผ้าเช็ดตัวผืนน้อยมาปิดส่วนสำคัญของร่างกายไว้ แล้วจึงค่อยๆย่องออกไปข้างนอกเงียบๆ และระมัดระวังไม่ให้ใครมาเห็นเข้า หลังจากออกมาจากห้อง ฉีเล่ยก็ด้อมๆมองหาห้องนอนของหลี่ฮั่วเฉิน เพื่อที่จะเข้าไปยืมเสื้อผ้าของอีกฝ่ายใส่ก่อน ฉีเล่ยย่องไปได้แค่ครึ่งทาง เสียงเอี๊ยดคล้ายประตูเปิดก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา และเมื่อเหลียวหลังมองกลับไป ก็พบใบหน้าของสาวน้อยที่กำลังจ้องมองมาด้วยดวงตาเบิกกว้าง “นี่คุณ…คิดจะทำบ้าอะไร?” หญิงสาวร้องตะโกนถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นเคย “ผมเปล่าทำอะไรนี่!” ฉีเล่ยกล่าวตอบไปด้วยสีหน้าที่ดูกระอักกระอ่วนไม่น้อย ในความเป็นจริง เมื่อผู้หญิงเจอผู้ชายแก้ผ้าล่อนจ้อน มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนน้อยปิดอยู่อย่างนี้ อีกฝ่ายหญิงควรจะต้องหน้าแดงลามไปจนถึงใบหูสิ แล้วก็ต้องยกมือสองข้างปิดหน้าปิดตา พร้อมกับแอบมองลอดนิ้วมือ ปากก็ควรต้องกรีดร้องลั่น และสบถคำด่าออกมาสักคำอย่างเช่น ‘ไอ้โรคจิต! ไอ้วิตถาร!’ ก่อนจะวิ่งหนีออกไป แต่…แต่…ปฏิกิริยาของสาวน้อยคนนี้ กลับเหนือความคาดหมายของฉีเล่ยอย่างสิ้นเชิง! เธอเพียงแค่ยืนกอดอกแน่น ท่าทีจองหองอวดดีอย่างที่สุด ดวงตากลมโตคู่สวยที่จ้องมองฉีเล่ยเขม็งนั้น ดูเย็นชาเสียยิ่งกว่าอะไร “แน่จริงก็ถอดเลยสิ! ไม่กล้าถอดรึไง?” สาวน้อยแสยะยิ้มเย็น พร้อมกับร้องตะโกนท้าทายฉีเล่ยอย่างไม่เกรงกลัว “คุณ…คุณชนะ…” ฉีเล่ยจำต้องยอมจำนนแต่โดยดี แต่ทว่าปลายเสียงกลับเจือด้วยความโมโหไม่น้อย และได้แต่กระชับจับผ้าขนหนูผืนน้อยที่ปกปิดส่วนสำคัญไว้แน่น ก่อนจะจำใจรีบวิ่งกลับเข้าห้องตัวเองไปในทันที ฉีเล่ยรู้สึกอับอายขายหน้า และสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก เขาทิ้งตัวนอนลงบนเตียงด้วยความหดหู่เศร้าสร้อย ‘แกล้งกันเกินไปแล้ว!’ “ในเมื่อออกไปไหนไม่ได้ ก็นอนมันทั้งแบบนี้ล่ะ!” หลังจากบ่นพึมพำออกมา ในที่สุดฉีเล่ยก็เผลอหลับไปในทันที และไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว จู่ๆ เสียงเคาะประตูที่ดังมาจากด้านนอก  ก็ได้ปลุกให้ฉีเล่ยตื่นขึ้นมาในสภาพสะลึมสะลือ ฉีเล่ยยังคงโมโหไม่หาย เขาร้องคำรามออกมา “แม่สาวน้อย! คิดว่าคนอย่างฉันจะไม่กล้าถอดจริงๆหรือไง!? ฉันเป็นผู้ชายทั้งแท่ง จะต้องไปกลัวอะไรกับแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง!” ยิ่งคิดฉีเล่ยก็ยิ่งแค้นสุดขีด เขาดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงนอนในสภาพร่างกายเปลือยเปล่าทันที พร้อมกับพูดขึ้นด้วยความโมโห “คราวนี้ไม่ต้องชงต้องใช้มันล่ะ ไอ้ผ้าเช็ดตัวนี่!” ฉีเล่ยตัดสินใจได้ลุกขึ้นเดินในสภาพเปลือยล่อนจ้อน มือจับประตูเปิดผางออกทันที! “คิดว่าฉันไม่กล้าถอด.…” “อะ-อาวุโสหลี่?” หลี่ฮั่วเฉินยืนมองฉีเล่ยในสภาพเปลือยล่อนจ้อนอยู่หน้าประตูห้องนอน ตาของเขาแทบถลนออกจากเบ้า เขาร้องอุทานออกมาแผ่วเบาด้วยความตกใจ พร้อมกับยกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้า จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงสามารถสงบจิตสงบใจลงได้ “ฉีเล่ย นี่เธอ…” ปัง! ฉีเล่ยรีบปิดประตูใส่หน้าอาวุโสฉี แล้ววิ่งกลับไปที่เตียงนอนคว้าผ้าเช็ดตัวผืนน้อยนั้นมาทันที และเมื่อเขาเปิดประตูออกมายืนอยู่ต่อหน้าหลี่ฮั่วเฉินอีกครั้ง ก็มีผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนน้อยพันอยู่รอบเอวแล้ว ชายหนุ่มฝืนยิ้มแห้ง พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วนว่า “อาวุโสหลี่ ผมต้องขอโทษด้วยครับ พอดีผมเพิ่งอาบน้ำเสร็จ…” “อาบน้ำ?” “ใช่ครับ หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็ออกมาเปิดตู้เสื้อผ้าดู จึงได้เห็นว่าไม่มีเสื้อผ้าสำรองเตรียมไว้เลย” ฉีเล่ยระล่ำระลักอธิบายออกไป “งั้นรึ? เป็นความประมาทเลินเล่อของฉันเองล่ะ” หลี่ฮั่วเฉินยกมือขึ้นกุม และรีบบอกฉีเล่ยไปว่า “เอาล่ะๆ เธอรออยู่นี่ก่อน เดี๋ยวฉันจะไปเอาเสื้อผ้าของฉันมาให้ เธอใส่ไปก่อนก็แล้วกัน ว่าแต่ถงซีไม่อยู่เหรอ?” “ถงซี?” “หลานสาวฉันไงล่ะ นี่เธอยังไม่ได้พบกับถงซีอีกเหรอ?” “อาวุโสหลี่ แล้วคุณคิดว่าที่ผมต้องนอนโป๊อยู่แบบนี้เป็นเพราะใครกันล่ะครับ?” ฉีเล่ยอดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ เมื่อคิดว่าที่ตนเองต้องตกมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เพราะใคร? และถ้าไม่ใช่เธอคนนั้น ก็คงเป็นผีสางกระมัง? หลี่ฮั่วเฉินทำสีหน้าหยอกเย้า พร้อมกับพูดขึ้นยิ้มๆ “ฮ่าฮ่า ในเมื่อเจอกันแล้ว ก็ถือว่ารู้จักกันแล้วนะ” “ครับ รู้จักกันแล้วครับ” ฉีเล่ยพยักหน้าตอบอย่างช่วยไม่ได้ “อืม ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปเอาเสื้อผ้ามาให้เธอก่อน ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ก็ลงไปทานข้าวกันข้างล่างด้วยกัน” หลี่ฮั่วเฉินร้องบอกฉีเล่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ทั้งรูปร่างและความสูงของฉีเล่ยนั้น ค่อนข้างใกล้เคียงกับหลี่ฮั่วเฉิน เขาจึงสามารถใส่เสื้อผ้าของอีกฝ่ายได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร เมื่อฉีเล่ยเดินลงมาชั้นล่าง เขาก็เห็นหลี่ฮั่วเฉินกับหลานสาวนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว มีสาวใช้หนึ่งคนที่ง่วนอยู่กับการจัดเตรียมอาหาร และสาเหตุที่ฉีเล่ยไม่ทันได้เจอสาวใช้คนนี้ ก็เพราะตอนที่เขามาถึงนั้น เธอออกไปซื้อของข้างนอกพอดี “ฉีเล่ยมานั่งตรงนี้สิ วันนี้พวกเราสองคนมาดื่มฉลองกันหน่อยดีไหม?” หลี่ฮั่วเฉินส่งแก้วเปล่าให้ฉีเล่ย และเมื่อชายหนุ่มตอบตกลง อีกฝ่ายก็รีบเปิดขวดไวน์รินให้ทันที ก่อนหน้านี้ ฉีเล่ยไมสามารถดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ แต่หลังจากที่ได้รับสืบทอดทักษะทางการแพทย์จากบรรพชนสกุลเฉิน ร่างกายของเขาก็เปลี่ยนไป และสามารถดื่มแอลกอฮอล์ได้เป็นปกติ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับมากมายอะไร แม้ว่าหลี่ถงซีจะนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับพวกเขาเช่นกัน แต่ทว่า สีหน้าของเธอก็ยังเย็นชาไร้อารมณ์ความรู้สึกอยู่ดี ในระหว่างนั้น ก็คอยแอบมองคนทั้งสองที่ดื่มกินอย่างเงียบๆ หญิงสาวสังเกตเห็นว่า ฉีเล่ยกับปู่ของเธอนั้นจิบไวน์ พร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แม้สีหน้าของหญิงสาวจะยังคงเรียบเฉย แต่กลับแอบประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ระหว่างนั้น หลี่ฮั่วเฉินก็ได้บอกกับฉีเล่ยว่า “แล้วเธออยากจะเริ่มทำงานเมื่อไหร่ล่ะ? ถ้าไม่รีบไม่ร้อนอะไรนัก ก็พักผ่อนสักสองสามวันให้หายเหนื่อยก่อนก็ได้ อีกอย่าง พรุ่งนี้ก็ตรงกับวันหยุดเสาร์อาทิตย์พอดี” “ครับ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ผมว่าจะไปหาซื้อเสื้อผ้ามาใส่ไปพลางๆก่อน” ฉีเล่ยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะบอกกับหลี่ฮั่วเฉินไปว่า “เฮ้อ.. ผมลืมไปสนิทเลยตอนที่จัดกระเป๋า หยิบทั้งตำราแพทย์กับตำราสมุนไพรมาใส่กระเป๋า แต่กลับลืมเสื้อผ้าซะได้! นี่ผมคงใกล้จะเป็นอัลไซเมอร์แล้วสินะครับ?” “ฉันว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมากเลย ทั้งๆที่เธอมีทักษะฝีมือทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศมากอยู่แล้ว แต่กลับไม่ลืมที่จะใฝ่หาความรู้อยู่ตลอดเวลา นี่ถ้าเปรียบกับฉันตอนยังหนุ่ม เธอชนะขาดลอยเลยล่ะ!” “อาวุโสหลี่ชมเกินไปแล้วครับ” ฉีเล่ยตอบกลับด้วยท่าทางสุภาพ และอ่อนน้อมถ่อมตน “ไม่เลย ไม่เลย ฉันพูดตามความจริงต่างหาก” หลังจากชนแก้วกันอีกสองสามรอบ จู่ๆหลี่ฮั่วเฉินก็เหลือบมองไปทางหลี่ถงซีซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม ก่อนจะหันกลับมาถามฉีเล่ยว่า “ฉีเล่ย เธอคิดว่าหลานสาวฉันเป็นยังไงบ้าง?”  “ห๊ะ?” ฉีเล่ยถึงกับร้องอุทานออกมา และได้แต่อ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก ‘เป็นยังไงที่อาวุโสหลี่ถาม มันหมายความว่ายังไงกันแน่?’ “เอ่อ…เธอก็น่ารักดีครับ” ฉีเล่ยตอบแบบขอไปที เขาไม่เข้าใจเลยว่า เหตุใดหลี่ฮั่วเฉินจะต้องถามเรื่องแบบนี้ขึ้นมาด้วย? อย่างไรเสียเขาก็ต้องตอบไปตามมารยาทอยู่ดี ไม่อย่างนั้นจะให้เขาตอบว่าอะไร? หลานสาวของคุณยืนกอดอกมองดูผมนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว พร้อมกับท้าทายให้ผมถอดมันออกอย่างนั้นหรือ? แต่ฉีเล่ยก็ไม่ได้พูดอย่างที่ใจคิดออกไป “เพียงแต่ หลานสาวของอาวุโสหลี่เป็นคนค่อนข้างเย็นชาไปหน่อยครับ” “แล้วคิดว่ายังไงบ้าง? ไม่เลวเลยใช่ไหม?” “เอ่อ…ไม่เลวเลยครับ ไม่เลวเลย คุณหลี่เธอสวยมากเลยครับ” ฉีเล่ยยังคงตอบแบบขอไปที แต่แล้วจู่ๆ ฉีเล่ยก็เริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล “ดีๆ ถ้าเธอชอบหลานสาวฉัน ฉันก็จะให้พวกเธอสองคนแต่งงานกัน” หลี่ฮั่วเฉินพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาทำราวกับหลานสาวเป็นสินค้าขายไม่ออก จึงเที่ยวพยายามจะยกเธอให้ใครต่อใคร “……” ‘นี่มันบ้าอะไรกัน?’ ‘เอ่อ…อย่ารีบร้อนไปนักสิครับ! ผมเพิ่งจะมาถึงปักกิ่งเป็นวันแรก อาวุโสก็จะยกหลานสาวให้เป็นของขวัญฉันทันทีเลยเหรอ!’ ฉีเล่ยรีบคว้าแก้วไวน์ขึ้นมากระดกจนหมดรวดเดียว พร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้างุนงง “อาวุโสหลี่ พวกเราสองคนเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานเองนะครับ และที่สำคัญ…ผมแต่งงานแล้วครับ!”

ตอนที่50 ของขวัญแรกพบ

หลังขึ้นไปชั้นสองและหาห้องนอนของตัวเองพบ ฉีเล่ยก็ตรงเข้าไปในห้องน้ำ จัดการอาบน้ำชำระร่างกายทันที

แต่ระหว่างที่กำลังชโลมครีมอาบน้ำลงบนร่างกาย ฉีเล่ยก็เพิ่งนึกถึงปัญหาบางอย่างขึ้นมาได้..

เขาไม่ได้นำเสื้อผ้าติดตัวมาด้วยเลยสักชุด!

จะให้ใส่ชุดเดิมหลังอาบน้ำสะอาดแล้วก็คงไม่ดีนัก เพราะตอนที่ช่วยหญิงสาวบนเครื่องบินนั้น ร่างกายของเขาก็มีเหงื่อไหลโทรมจนเหม็นอับไปหมด

ในกระเป๋าเดินทางของเขาเวลานี้ มีเพียงแค่ตำราแพทย์และตำราสมุนไพรเท่านั้น เขาไม่ได้นำเสื้อผ้าใส่มาด้วยเลยแม้แต่ตัวเดียว นี่เขาจะต้องนอนในสภาพห่อผ้าเช็ดตัวเล็กๆผืนเดียวจริงๆหรือ?

‘บ้าน่า! มันก็ดูมักง่ายเกินไป!’

ฉีเล่ยรีบล้างฟองสบู่เต็มตัวออก แล้วจึงรีบวิ่งออกไปเปิดตู้เสื้อผ้าภายในห้องดู เผื่อว่าจะมีเสื้อผ้าของใครทิ้งไว้ให้เขาใช้ปกปิดร่างกายได้บ้าง

นับว่าโชคยังดีที่ฉีเล่ยไปเจอเสื้อคลุมอาบน้ำอยู่ในตู้เสื้อผ้าพอดี น่าเสียดายที่เสื้อคลุมอาบน้ำตัวนั้นเป็นเสื้อคลุมสำหรับผู้หญิง

แต่ก็โชคดีที่เป็นไซส์ใหญ่ที่ฉีเล่ยพอจะใส่ได้ ส่วนสีนั้นเป็นสีชมพูหวานแหวว และมีลูกไม้แซมเล็กน้อย หลังจากสวมใส่แล้ว ฉีเล่ยก็เดินมายืนมองดูตัวเองหน้ากระจก

เขาเข้าใจได้กระจ่างแจ้งทันทีว่า เรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของยายสาวน้อยหน้าตาเย็นชาไร้อารมณ์นั่น เธอจงใจแกล้งส่งเขามาอยู่ในห้องรับรองของผู้หญิง และเป็นเพราะผ่านการเดินทางมาตลอดทั้งวัน ร่างกายของเขาจึงเหนียวเหนอะหนะ ทำให้อยากรีบเข้าไปอาบน้ำ จนลืมสังเกตรอบๆก่อน

“แล้วจะทำยังไงดีล่ะ?”

เสื้อคลุมอาบน้ำตัวนี้ เขาไม่กล้าใส่ออกไปข้างนอกแน่ ไม่อย่างนั้นถ้าเรื่องนี้หลุดไปเข้าหูคนอื่นเข้า มีหวังเขาคงไม่กล้าสู้หน้าผู้คนตลอดชีวิต

“แต่ถ้าไม่ใส่ จะให้เดินแก้ผ้าออกไปหรือยังไง?”

ฉีเล่ยนึกอะไรขึ้นได้ จึงรีบวิ่งไปที่หน้าต่างห้องนอน เขาตั้งใจที่จะร้องตะโกนเรียกหลานสาวของอาวุโสหลี่ให้ช่วยหาเสื้อผ้าให้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่า เธอเองก็ไม่ได้อยู่ที่ลานหน้าบ้านแล้ว

ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ฉีเล่ยจึงต้องจำใจหยิบผ้าเช็ดตัวผืนน้อยมาปิดส่วนสำคัญของร่างกายไว้ แล้วจึงค่อยๆย่องออกไปข้างนอกเงียบๆ และระมัดระวังไม่ให้ใครมาเห็นเข้า

หลังจากออกมาจากห้อง ฉีเล่ยก็ด้อมๆมองหาห้องนอนของหลี่ฮั่วเฉิน เพื่อที่จะเข้าไปยืมเสื้อผ้าของอีกฝ่ายใส่ก่อน

ฉีเล่ยย่องไปได้แค่ครึ่งทาง เสียงเอี๊ยดคล้ายประตูเปิดก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา และเมื่อเหลียวหลังมองกลับไป ก็พบใบหน้าของสาวน้อยที่กำลังจ้องมองมาด้วยดวงตาเบิกกว้าง

“นี่คุณ…คิดจะทำบ้าอะไร?”

หญิงสาวร้องตะโกนถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นเคย

“ผมเปล่าทำอะไรนี่!”

ฉีเล่ยกล่าวตอบไปด้วยสีหน้าที่ดูกระอักกระอ่วนไม่น้อย

ในความเป็นจริง เมื่อผู้หญิงเจอผู้ชายแก้ผ้าล่อนจ้อน มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนน้อยปิดอยู่อย่างนี้ อีกฝ่ายหญิงควรจะต้องหน้าแดงลามไปจนถึงใบหูสิ แล้วก็ต้องยกมือสองข้างปิดหน้าปิดตา พร้อมกับแอบมองลอดนิ้วมือ ปากก็ควรต้องกรีดร้องลั่น และสบถคำด่าออกมาสักคำอย่างเช่น ‘ไอ้โรคจิต! ไอ้วิตถาร!’ ก่อนจะวิ่งหนีออกไป

แต่…แต่…ปฏิกิริยาของสาวน้อยคนนี้ กลับเหนือความคาดหมายของฉีเล่ยอย่างสิ้นเชิง!

เธอเพียงแค่ยืนกอดอกแน่น ท่าทีจองหองอวดดีอย่างที่สุด ดวงตากลมโตคู่สวยที่จ้องมองฉีเล่ยเขม็งนั้น ดูเย็นชาเสียยิ่งกว่าอะไร

“แน่จริงก็ถอดเลยสิ! ไม่กล้าถอดรึไง?”

สาวน้อยแสยะยิ้มเย็น พร้อมกับร้องตะโกนท้าทายฉีเล่ยอย่างไม่เกรงกลัว

“คุณ…คุณชนะ…”

ฉีเล่ยจำต้องยอมจำนนแต่โดยดี แต่ทว่าปลายเสียงกลับเจือด้วยความโมโหไม่น้อย และได้แต่กระชับจับผ้าขนหนูผืนน้อยที่ปกปิดส่วนสำคัญไว้แน่น ก่อนจะจำใจรีบวิ่งกลับเข้าห้องตัวเองไปในทันที

ฉีเล่ยรู้สึกอับอายขายหน้า และสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก เขาทิ้งตัวนอนลงบนเตียงด้วยความหดหู่เศร้าสร้อย

‘แกล้งกันเกินไปแล้ว!’

“ในเมื่อออกไปไหนไม่ได้ ก็นอนมันทั้งแบบนี้ล่ะ!”

หลังจากบ่นพึมพำออกมา ในที่สุดฉีเล่ยก็เผลอหลับไปในทันที

และไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว จู่ๆ เสียงเคาะประตูที่ดังมาจากด้านนอก  ก็ได้ปลุกให้ฉีเล่ยตื่นขึ้นมาในสภาพสะลึมสะลือ

ฉีเล่ยยังคงโมโหไม่หาย เขาร้องคำรามออกมา “แม่สาวน้อย! คิดว่าคนอย่างฉันจะไม่กล้าถอดจริงๆหรือไง!? ฉันเป็นผู้ชายทั้งแท่ง จะต้องไปกลัวอะไรกับแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง!”

ยิ่งคิดฉีเล่ยก็ยิ่งแค้นสุดขีด เขาดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงนอนในสภาพร่างกายเปลือยเปล่าทันที พร้อมกับพูดขึ้นด้วยความโมโห

“คราวนี้ไม่ต้องชงต้องใช้มันล่ะ ไอ้ผ้าเช็ดตัวนี่!”

ฉีเล่ยตัดสินใจได้ลุกขึ้นเดินในสภาพเปลือยล่อนจ้อน มือจับประตูเปิดผางออกทันที!

“คิดว่าฉันไม่กล้าถอด.…”

“อะ-อาวุโสหลี่?”

หลี่ฮั่วเฉินยืนมองฉีเล่ยในสภาพเปลือยล่อนจ้อนอยู่หน้าประตูห้องนอน ตาของเขาแทบถลนออกจากเบ้า เขาร้องอุทานออกมาแผ่วเบาด้วยความตกใจ พร้อมกับยกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้า จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงสามารถสงบจิตสงบใจลงได้

“ฉีเล่ย นี่เธอ…”

ปัง!

ฉีเล่ยรีบปิดประตูใส่หน้าอาวุโสฉี แล้ววิ่งกลับไปที่เตียงนอนคว้าผ้าเช็ดตัวผืนน้อยนั้นมาทันที

และเมื่อเขาเปิดประตูออกมายืนอยู่ต่อหน้าหลี่ฮั่วเฉินอีกครั้ง ก็มีผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนน้อยพันอยู่รอบเอวแล้ว ชายหนุ่มฝืนยิ้มแห้ง พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วนว่า

“อาวุโสหลี่ ผมต้องขอโทษด้วยครับ พอดีผมเพิ่งอาบน้ำเสร็จ…”

“อาบน้ำ?”

“ใช่ครับ หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็ออกมาเปิดตู้เสื้อผ้าดู จึงได้เห็นว่าไม่มีเสื้อผ้าสำรองเตรียมไว้เลย” ฉีเล่ยระล่ำระลักอธิบายออกไป

“งั้นรึ? เป็นความประมาทเลินเล่อของฉันเองล่ะ” หลี่ฮั่วเฉินยกมือขึ้นกุม และรีบบอกฉีเล่ยไปว่า

“เอาล่ะๆ เธอรออยู่นี่ก่อน เดี๋ยวฉันจะไปเอาเสื้อผ้าของฉันมาให้ เธอใส่ไปก่อนก็แล้วกัน ว่าแต่ถงซีไม่อยู่เหรอ?”

“ถงซี?”

“หลานสาวฉันไงล่ะ นี่เธอยังไม่ได้พบกับถงซีอีกเหรอ?”

“อาวุโสหลี่ แล้วคุณคิดว่าที่ผมต้องนอนโป๊อยู่แบบนี้เป็นเพราะใครกันล่ะครับ?”

ฉีเล่ยอดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ เมื่อคิดว่าที่ตนเองต้องตกมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เพราะใคร? และถ้าไม่ใช่เธอคนนั้น ก็คงเป็นผีสางกระมัง?

หลี่ฮั่วเฉินทำสีหน้าหยอกเย้า พร้อมกับพูดขึ้นยิ้มๆ “ฮ่าฮ่า ในเมื่อเจอกันแล้ว ก็ถือว่ารู้จักกันแล้วนะ”

“ครับ รู้จักกันแล้วครับ” ฉีเล่ยพยักหน้าตอบอย่างช่วยไม่ได้

“อืม ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปเอาเสื้อผ้ามาให้เธอก่อน ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ก็ลงไปทานข้าวกันข้างล่างด้วยกัน”

หลี่ฮั่วเฉินร้องบอกฉีเล่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

ทั้งรูปร่างและความสูงของฉีเล่ยนั้น ค่อนข้างใกล้เคียงกับหลี่ฮั่วเฉิน เขาจึงสามารถใส่เสื้อผ้าของอีกฝ่ายได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร

เมื่อฉีเล่ยเดินลงมาชั้นล่าง เขาก็เห็นหลี่ฮั่วเฉินกับหลานสาวนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว มีสาวใช้หนึ่งคนที่ง่วนอยู่กับการจัดเตรียมอาหาร และสาเหตุที่ฉีเล่ยไม่ทันได้เจอสาวใช้คนนี้ ก็เพราะตอนที่เขามาถึงนั้น เธอออกไปซื้อของข้างนอกพอดี

“ฉีเล่ยมานั่งตรงนี้สิ วันนี้พวกเราสองคนมาดื่มฉลองกันหน่อยดีไหม?”

หลี่ฮั่วเฉินส่งแก้วเปล่าให้ฉีเล่ย และเมื่อชายหนุ่มตอบตกลง อีกฝ่ายก็รีบเปิดขวดไวน์รินให้ทันที

ก่อนหน้านี้ ฉีเล่ยไมสามารถดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ แต่หลังจากที่ได้รับสืบทอดทักษะทางการแพทย์จากบรรพชนสกุลเฉิน ร่างกายของเขาก็เปลี่ยนไป และสามารถดื่มแอลกอฮอล์ได้เป็นปกติ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับมากมายอะไร

แม้ว่าหลี่ถงซีจะนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับพวกเขาเช่นกัน แต่ทว่า สีหน้าของเธอก็ยังเย็นชาไร้อารมณ์ความรู้สึกอยู่ดี ในระหว่างนั้น ก็คอยแอบมองคนทั้งสองที่ดื่มกินอย่างเงียบๆ

หญิงสาวสังเกตเห็นว่า ฉีเล่ยกับปู่ของเธอนั้นจิบไวน์ พร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แม้สีหน้าของหญิงสาวจะยังคงเรียบเฉย แต่กลับแอบประหลาดใจอยู่ไม่น้อย

ระหว่างนั้น หลี่ฮั่วเฉินก็ได้บอกกับฉีเล่ยว่า “แล้วเธออยากจะเริ่มทำงานเมื่อไหร่ล่ะ? ถ้าไม่รีบไม่ร้อนอะไรนัก ก็พักผ่อนสักสองสามวันให้หายเหนื่อยก่อนก็ได้ อีกอย่าง พรุ่งนี้ก็ตรงกับวันหยุดเสาร์อาทิตย์พอดี”

“ครับ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ผมว่าจะไปหาซื้อเสื้อผ้ามาใส่ไปพลางๆก่อน”

ฉีเล่ยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะบอกกับหลี่ฮั่วเฉินไปว่า

“เฮ้อ.. ผมลืมไปสนิทเลยตอนที่จัดกระเป๋า หยิบทั้งตำราแพทย์กับตำราสมุนไพรมาใส่กระเป๋า แต่กลับลืมเสื้อผ้าซะได้! นี่ผมคงใกล้จะเป็นอัลไซเมอร์แล้วสินะครับ?”

“ฉันว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมากเลย ทั้งๆที่เธอมีทักษะฝีมือทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศมากอยู่แล้ว แต่กลับไม่ลืมที่จะใฝ่หาความรู้อยู่ตลอดเวลา นี่ถ้าเปรียบกับฉันตอนยังหนุ่ม เธอชนะขาดลอยเลยล่ะ!”

“อาวุโสหลี่ชมเกินไปแล้วครับ” ฉีเล่ยตอบกลับด้วยท่าทางสุภาพ และอ่อนน้อมถ่อมตน

“ไม่เลย ไม่เลย ฉันพูดตามความจริงต่างหาก”

หลังจากชนแก้วกันอีกสองสามรอบ จู่ๆหลี่ฮั่วเฉินก็เหลือบมองไปทางหลี่ถงซีซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม ก่อนจะหันกลับมาถามฉีเล่ยว่า

“ฉีเล่ย เธอคิดว่าหลานสาวฉันเป็นยังไงบ้าง?”

 “ห๊ะ?”

ฉีเล่ยถึงกับร้องอุทานออกมา และได้แต่อ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก

‘เป็นยังไงที่อาวุโสหลี่ถาม มันหมายความว่ายังไงกันแน่?’

“เอ่อ…เธอก็น่ารักดีครับ” ฉีเล่ยตอบแบบขอไปที

เขาไม่เข้าใจเลยว่า เหตุใดหลี่ฮั่วเฉินจะต้องถามเรื่องแบบนี้ขึ้นมาด้วย? อย่างไรเสียเขาก็ต้องตอบไปตามมารยาทอยู่ดี ไม่อย่างนั้นจะให้เขาตอบว่าอะไร? หลานสาวของคุณยืนกอดอกมองดูผมนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว พร้อมกับท้าทายให้ผมถอดมันออกอย่างนั้นหรือ?

แต่ฉีเล่ยก็ไม่ได้พูดอย่างที่ใจคิดออกไป “เพียงแต่ หลานสาวของอาวุโสหลี่เป็นคนค่อนข้างเย็นชาไปหน่อยครับ”

“แล้วคิดว่ายังไงบ้าง? ไม่เลวเลยใช่ไหม?”

“เอ่อ…ไม่เลวเลยครับ ไม่เลวเลย คุณหลี่เธอสวยมากเลยครับ”

ฉีเล่ยยังคงตอบแบบขอไปที แต่แล้วจู่ๆ ฉีเล่ยก็เริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล

“ดีๆ ถ้าเธอชอบหลานสาวฉัน ฉันก็จะให้พวกเธอสองคนแต่งงานกัน”

หลี่ฮั่วเฉินพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาทำราวกับหลานสาวเป็นสินค้าขายไม่ออก จึงเที่ยวพยายามจะยกเธอให้ใครต่อใคร

“……”

‘นี่มันบ้าอะไรกัน?’

‘เอ่อ…อย่ารีบร้อนไปนักสิครับ! ผมเพิ่งจะมาถึงปักกิ่งเป็นวันแรก อาวุโสก็จะยกหลานสาวให้เป็นของขวัญฉันทันทีเลยเหรอ!’

ฉีเล่ยรีบคว้าแก้วไวน์ขึ้นมากระดกจนหมดรวดเดียว พร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้างุนงง

“อาวุโสหลี่ พวกเราสองคนเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานเองนะครับ และที่สำคัญ…ผมแต่งงานแล้วครับ!”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset