ตอนที่58 เล่นแรงดีหนิ
สำหรับผู้หญิงการชิงดีชิงเด่นกันถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดแล้ว ดีกว่าสวยกว่า บนตัวของใครใส่แบรนด์แพงกว่า หรือแม้แต่เรื่องหน้าอกหน้าใจก็เช่นกัน โดยเฉพาะกับเรื่องผู้ชาย คนที่ควงมาในอ้อมแขนหล่อกว่าหรือรวยกว่า ฝ่ายไหนที่มีอิทธิพลมากกว่าย่อมคว้าชัยชนะไป
โดยรวมแล้วเมื่อเปรียบเทียบกับหลี่ถงซี ซูเสี่ยวหยานยังรู้สึกว่าตัวเธอยังไม่หมดหวัง
บรรดาเพื่อนร่วมงานทั้งหลายในมหาลัย เธอยินดีเอาใจพวกเขาเต็มที่ แต่กลับเป็นซูเสี่ยวหยานเสียเองที่ไม่ได้รับอะไรกลับไปเลย ผู้ชายที่ควงเธอเองก็อยากเลือกเอง ไม่ใช่พวกของเหลือหลังจากโดนคนอื่นปฏิเสธ และที่สำคัญที่สุด…รถคันที่ซูเซียวหยานได้มาก็คือBMWคันนั้นที่หลี่ถงซีไม่เอา
ในตอนนั้น BMWที่จอดในมหาลัยอยู่นานจนแทบเป็นอนุสรณ์สถาน ทั้งบรรดาอาจารย์และนักศึกษาทั้งหลายต่างทราบดีว่า มันมีที่มาอย่างไร ทุกคนรู้ว่า มันเป็นรถที่หานหมิงต้ามอบให้กับหลี่ถงซี และถ้าสักวันหนึ่งคนที่ขับออกไปเป็นหลี่ถงซีเองก็คงไม่แปลก
แต่ใช่ไง! ตอนนี้รถคันนั้นกลับเป็นของซูเสี่ยวหยาน คำถามคือ เธอยังมีหน้าขับรถคันนั้นไปเหยียบมหาลัยอีกได้อีกเหรอ?
โดยสรุปแล้ว ซูเสี่ยวหยานไม่อยากอยู่ร่วมชายคาที่ทำงานเดียวกับหลี่ถงซี ทุกครั้งที่พบเธอ มันก่อให้เกิดความรู้สึกรังเกียจอย่างอธิบายไม่ถูก
ก่อนหน้านี้ซูเสี่ยวหยานต้องการหาโอกาสแก้แค้นเพื่อระบายความโกรธอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะเยาะเย้ยดุด่าแค่ไหน สิ่งที่ได้รับจากหลี่ถงซีกลับมาคือความเย็นชาไม่แม้แต่แยแส และปฏิบัติต่อเธอราวกับธาตุอากาศ
ถ้าให้เปรียบคงเหมือนกับ ซูเสี่ยวหยานที่พยายามต่อยกระดาษ ทุกครั้งที่ชกออกไปแรงลมกลับทำให้กระดาษหลบได้ตลอด ถึงโดนก็ปราศจากความเสียหาย
แต่ในวันนี้ พวกเธอบังเอิญเจอกันที่ห้างสรรพสินค้า และนี่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้หลี่ถงซีไม่ได้ปฏิบัติกับเธอราวกับธาตุอากาศอีกต่อไปแล้ว
เหลือบหางตามองยอกย้อนกลับ น้ำเสียงของหลี่ถงซีเย็นยะเยือกประหนึ่งว่ากำลังอยู่ในขั้วโลกเหนือ
“ธุระของเธอเหรอ?”
“มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉันหรอก ก็พูดลอยๆ”
ซูเสี่ยวหยานยกมือขึ้นปิดปากพลางหัวเราะคิกคัก แสยะยิ้มมุมปากกล่าวต่อว่า
“คุณหลี่ อย่าไปใส่ใจเลยค่ะ สุดท้ายฉันก็เข้าใจนะคะ ว่าคุณเองก็หิวเป็นเหมือนกัน ถึงได้…ล่อลวงนักศึกษามากินแบบนี้! แต่ไม่อายฟ้าดินเลยนะคะ ถึงขนาดเอามาควงกลางที่สาธารณะแบบนี้ ไม่รู้ว่ายังเหลือจรรยาบรรณความเป็นครูอยู่รึเปล่า”
ครั้งนี้หลี่ถงซีตอบโต้เธอจริงๆ ซึ่งไม่รู้ว่าทำไมแต่นี่ทำให้ซูเสี่ยวหยานตื่นเต้นอย่างมาก! สิ่งเดียวที่ฉันกลัวคือการที่เธอไม่ตอบโต้ แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว! ตราบใดที่ตอบโต้ เธอผู้มีฝีปากจัดกว่าย่อมชนะในการโต้คารมแน่นอน!
อย่างไรก็ตามหลี่ถงซีหาใช่แม่พระอย่างที่คิด ตรงกันข้าม ไม่เพียงแต่ฝีปากของเธอที่กัดเจ็บจี้ใจดำ ทว่าแววตาของเธอที่กำลังจับจ้องซูเสี่ยวหยานในขณะนี้กลับเป็นไปด้วยความสมเพช
“ฉันเข้าใจนะ คนที่ไม่มีอะไรดีเลยอย่างเธอ คงชอบสร้างข่าวลือหาเรื่องทำให้คนอื่นเข้าเสื่อมเสีย เพราะนี่เป็นหนทางรอดทางเดียวของคนประเภทนี้”
หลี่ถงซีเหลือบหางตามองไปทางหานหมิงต้าเล็กน้อยและกล่าวต่อว่า
“หากินได้แค่ของเหลือที่คนอื่นไม่เอา”
ถ้าหลี่ถงซีไม่โต้ตอบอะไรกลับไปบ้าง ซูเสี่ยวหยานเองก็คงซ้ำเธออีกรอบ และหานหมิงต้าคนนี้เธอเองก็จำได้ชัดเจนว่า เป็นคนที่เคยตามตื๊อจีบมาก่อน การที่เข้ามาเสียบแทนแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับพวกขอทานรอกินของเหลือจากคนอื่นเลย และจากนี้ต่อไปไม่ว่า ซูเสี่ยวหยานจะพยายามทำดีแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ถูกตราหน้าว่าเป็นได้แค่ตัวสำรองของหลี่ถงซี สิ่งนี้คงเป็นดั่งเงาดำตามตัวเธอไปตลอดชีวิต
ซูเสี่ยวหยานจะไม่โกรธเกลียดแบบนี้เลยถ้าผู้ชายที่เธอควงแขนคนนี้จะเป็นคนที่ตามจีบตัวเธอเองก่อน แต่นี่กลับต้องมารับช่วงต่อจากผู้หญิงคนอื่นๆ ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่สามารถหลบพ้นเสียงนิททาจากคนรอบข้างได้
หลี่ถึงซีรู้สึกได้เลยว่า ผู้หญิงคนนี้ทั้งน่าสงสารและน่าสมเพชในเวลาเดียวกันจริงๆ
“ใครกันห่ะที่สร้างข่าวลือ?!”
ซูเสี่ยวหยานโกรธจัดชี้หน้าด่าฉีเล่ยเจือน้ำเสียงถากถางว่า
“ตะกี้พวกเธอสองคนคงกอด ทำตัวหนุงหนิงกันอยู่เลย พอฉันมาเห็นก็รีบผลักหนีออกจากกันเชียว หลักฐานคาตาแบบนี้ยังมีหน้ามาเล่นลิ้นอีกงั้นเหรอ?”
หนุงหนิง?
หนุงหนิงบ้านเตี๊ยสิ?
เหอะ เหอะ…
ฉีเล่ยลอบถอนหายใจเสียงหนึ่งด้วยความละเหี่ยใจ มันก็ใช่แหละ…เขาเองก็อยากกอดทำตัวหนุงหนิงกับหลี่ถงซี แต่เกรงว่าก่อนที่จะเข้าถึงตัว คงโดนหลี่ถงซีฆ่าตายก่อน แล้วที่สำคัญเลย สิ่งที่น่ากลัวกว่าไม่ใช่เฉินอวี้หลิวภรรยาของเขาที่รู้เรื่องเข้า แต่เป็นแม่ยาย…
โดยรวมแล้วนะ จะกล่าวหาอะไรก็กล่าวหาไปเถอะ แต่อย่าเล่นเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับ ‘ผู้หญิง’ เลยจะได้ไหม?
ฉีเล่ยย่อมไม่ทราบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างหญิงสองชายหนึ่งตรงหน้าเขาเป็นอย่างไร ดังนั้นจึงทำได้เพียงยืนอยู่ข้างสนามรับชมว่า หลี่ถงซีจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไรต่อไป
อย่างน้อยที่สุด ถ้าทราบถึงพฤติกรรมการแสดงออกของเธอ สิ่งนี้อาจช่วยให้การรักษาเป็นไปด้วยความสะดวกมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามแต่ อีเจ๊ที่อยู่ตรงข้ามกลับดึงเขาเข้ามาในสมรภูมิเฉยเลย
ฉีเล่ยยักไหล่อย่างไม่แยแสเท่าไหร่นักและกล่าวว่า
“งั้นผมขอถามกลับบ้างนะครับ ที่ว่าเห็นพวกเราหนุงหนิงกัน…เห็นด้วยตาข้างไหนครับ?”
“จะให้ฉันหลับตามองข้างเดียวรึไงย๊ะ? ไม่ต้องมาแก้ตัวเลย! เธอเป็นนักศึกษาแพทย์สาขาไหน?”
ซูเสี่ยวหยานจ้องไปที่ฉีเล่ยตาเขม็งพร้อมสบถถามออกมา
ด้วยลักษณะร่างกายที่ดูสมส่วนหุ่นดี ทั้งยังใบหน้าอันหล่อเหลาของลี่เล่ยนั่นอีก ประกอบกับชุดกีฬาสีขาวที่สวมใส่มาในวันนี้ หากดูโดยรวมแล้วเขาเหมือนกับนักศึกษาคนหนึ่งจริงๆ ดังนั้นซูเสี่ยวหยานจึงปักใจเชื่อไปทันทีว่า ฉีเล่ยจะต้องเป็นนักศึกษาแพทย์ในมหาลัยที่เธอทำงานอยู่อย่างแน่นอน
มิหนำซ้ำ เธอเองก็ทราบว่า หลี่ถงซีไม่มีน้องชายและแทบจะไม่มีทางเลยที่จะยอมออกมาซื้อของกับผู้ชายง่ายๆ นอกจากสถานะคำว่า ‘แฟน’ แล้ว ยังมีความสัมพันธ์แบบใดที่สามารถอธิบายเหตุการณ์ในตอนนี้ได้อีก?
“แสดงว่าเห็นดวงตาทั้งสองข้าง? ด้วยความเคารพนะครับ คุณกำลังป่วยอยู่”
ฉีเล่ยกล่าวน้ำเสียงดูจริงจังขึ้นทันที ไม่มีสิ่งใดที่เขาให้ความสำคัญไปกว่าอาการป่วยของผู้คนอีกแล้ว และเธอคนนี้กำลังป่วยด้วยโรคทางสายตา
“แกนั่นแหละป่วย! ป่วยกันทั้งครอบครัว! เป็นเด็กเป็นเล็กแท้ๆ ทำไมปากเสียขนาดนี้? แล้วอีกอย่างนะ เป็นแค่นักศึกษาแพทย์ กล้าดียังไงมาว่าอาจารย์อย่างฉัน!”
ซูเสี่ยวหยานตะคอกสวนกลับไปอย่างรวดเร็ว
เนื่องด้วยเสียงตะโกนแหกปากดังลั่นของเธอนี้เอง ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมารอบห้างรวมตัวกัน เข้ามามุงดูกันใหญ่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น และเพียงไม่นานฉีเล่ยและคนอื่นๆ ก็กลายมาเป็นจุดศูนย์กลางฝูงชน โดยมีผู้คนมากหน้าหลายตาเข้าลุมพร้อมกันเป็นวงกลม
และยิ่งมีคนมุงดูมากเท่าไหร่ ซูเสี่ยวหยานก็ยิ่งได้เปรียบมากขึ้นเท่านั้น เธอกักเก็บความเกลียดชังนี้ภายในใจมานานเกินพอแล้ว ยามนี้เร่งชี้หน้าไปที่ฉีเล่ยและหลี่ถงซีอย่างรวดเร็ว และกล่าวด้วยน้ำเสียงอันชอบธรรมดังลั่นว่า
“ทุกคนดูนี่เร็ว! เป็นถึงอาจารย์แท้ๆ แต่ทำตัวไร้ยางอายจริงๆ! มีอย่างที่ไหนแอบมาควงแขนเที่ยวกับนักศึกษาของตัวเอง! นี่ยังเหลือจรรยาบรรณความเป็นครูอยู่ไหม?!”
อาจารย์? นักศึกษา? ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างครูกับนักเรียนงั้นเหรอ?
เมื่อได้ยินถ่อยคำอันสุดแสนน่าตื่นตาตื่นใจเหล่านี้ บรรดาผู้คนโดยรอบต่างก็รีบจับกลุ่มซุบซิบนินทา พูดกันไม่หยุดจนปากแทบติดไฟ ทุกคนต่างมองไปที่ฉีเล่ยและหลี่ถงซีด้วยสายตาน่ารังเกียจ บ้างก็ยังมีชี้นิ้วใส่และกระซิบกระซากหัวเราะเยาะเย้ยเป็นครั้งคราว
หื้ม?
เล่นแรงดีหนิ!
ฉีเล่ยผงะชั่วครู่ก่อนหันศีรษะเหลือบมอง พลันพบเห็นว่าใบหน้าของหลี่ถงซีในเวลานี้ดูซีดเซียวลงอย่างมาก เหตุการณ์ในตอนนี้อาจไปกระตุ้นปมในใจของเธอไม่มากก็น้อย
เขายังสังเกตเห็นหยาดเหงื่อบนใบหน้าของเธอชัดเจน ภายใต้สถานการณ์แบบนี้คงไม่ดีนักแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้อาจกระทบไปถึงสังคมการทำงานของเธอที่มหาลัยได้ ถึงแม้ว่าอาศัยบุคลิกภาพของหลี่ถงซี ฉีเล่ยเชื่อว่า บรรดาอาจารย์ในมหาลัยมักจะแยกแยะได้ว่า อันไหนเรื่องจริงอันไหนเรื่องเท็จ
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ตาม ข่าวลือดังกล่าวก็ไม่มีทางจางหายไปในเร็ววันเร็วคืน ผลที่ตามมาไม่ใช่เล็กน้อยเลย เพราะเดิมทีหลี่ถงซีก็มีอาการป่วยทางจิตอยู่แล้ว แถมยังพูดไม่ค่อยเก่ง เหตุการณ์ในวันนี้จะยิ่งไปกระตุ้นอาการทางจิตของเธอ และเขากลัวว่า จะทำให้การรักษายากขึ้นไปอีก…
ไม่มีทางปล่อยให้จบลงแบบนี้แน่ ฉีเล่ยโน้มตัวเข้ากระซิบหูหลี่ถงซีเบาๆ ว่า
“ใจเย็นก่อน เดี๋ยวผมจัดการเอง”
พอเห็นทั้งคู่โน้มตัวใกล้ชิดเข้ากระซิบกันแบบนั้น ซูเสี่ยวหยานก็ได้โอกาสขยี้ต่อทันทีและรีบตะโกนขึ้นลั่นว่า
“ทุกคนเห็นกันไหม? ต่อหน้าคนมากมายแบบนี้ยังกล้าทำเรื่องไร้ยางอายกันอยู่อีก! ทุเรศจริงๆ!”
ฉีเล่ยผละออกมาอย่างใจเย็นพลางส่ายหัวเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปหาซูเสี่ยวหยานและต้องการจะไปกระซิบข้างหูของเธอ
“เป็นบ้าอะไรของแก! อย่าเข้ามาใกล้ฉัน! ถ้ามีอะไรอยากพูดก็พูดออกมาเลย!”
ฉีเล่ยยิ้มและก้าวย่างตรงเข้าไปใกล้ต่อ ราวกับไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องกระซิบข้างหูเธอให้ได้ ซูเสี่ยวหยานที่เจอไม้นี้เข้าไปถึงกับผงะ รีบก้าวถอยหนีทันที
“หยุด! อย่าเข้ามา! นี่แกกำลังจะทำอะไรกันแน่? ถ้ามีอะไรก็พูดออกมาตรงนี้เลย! ไม่งั้นฉันแจ้งตำรวจนะ!”
ฉีเล่ยแสยะยิ้มฉีกกว้างพลางเอ่ยถามขึ้นว่า
“แน่ใจนะครับ…ว่าจะให้พูดตรงนี้?”
ซูเสี่ยวหยานชี้นิ้วใส่ทันทีและกล่าวว่า
“นี่หมายความว่ายังไง? มีอะไรก็พูดออกมา! ดังๆ ตรงนี้ไปเลย!”
“ในเมื่อต้องการแบบนั้น ก็อย่าโทษกันทีหลังนะครับ”
สีหน้าการแสดงออกของฉีเล่ยแสร้งปั้นหน้าไร้เดียงสาเล็กน้อย และในที่สุดเขาก็หันกลับไปหาฝูงชน ยกมือป้องข้างปากตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นว่า
“ทุกคน! เธอฉี่แตก!!!”