ตอนที่61 ชูเฟิงอี้
ทั้งสองเดินเข้ามาตามแผ่นหินอ่อนที่จัดเรียงเป็นทางเดินยาว ผ่ากลางสวนตรงไปยังคฤหาสน์ด้านในสุด ฉีเล่ยกวาดสายตามองไปรอบๆทั้งซ้ายและขวา ชื่นชมทิวทัศน์จากสองข้างทาง
หากคฤหาสน์แห่งนี้เป็นบ้านพักตากอากาศส่วนตัวจริง นี่ทำให้เขาเข้าใจได้ถึงความจริงข้อหนึ่งคือ คนร่ำรวยใช้ชีวิตราวกับอยู่บนสวรรค์ก็ไม่ปาน แม้ว่าคฤหาสน์แห่งนี้จะเปรียบดั่งสวนสาธารณะกลางเมืองหลายแห่ง เรื่องความรมรื่นจากพฤกษาต้นไม้อาจอยู่ในระดับใกล้เคียง แต่หากเป็นเรื่องชนิดพืชพันธุ์ ที่แห่งนี้ชนะสวนสาธารณะเหล่านั้นขาดลอย
จากประตูรั้วเหล็กมาจนถึงตัวคฤหาสน์ ค่อนข้างมีระยะห่างพอสมควร ระหว่างทางปรากฏเหล่าบอดี้การ์ดสวมใส่สูทดำเหมือนด้านหน้า เฝ้าระวังอยู่เป็นระยะ บ้างก็กำลังเดินตรวจตราไปมา เดินมาได้ครึ่งทาง พ่อบ้านฟางพลางตบไหล่ฉีเล่ยไปหนึ่งทีและกล่าวว่า
“ตั้งแต่ที่นายท่านทราบถึงวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของคุณฉีที่ช่วยคุณหนูไว้ เขาก็ตั้งหน้าตั้งตารอที่จะพบคุณอยู่ตลอด ดังนั้นแล้วผมขอขอบคุณจากใจจริงก่อนเป็นอันดับแรก”
“นายท่าน?”
ฉีเล่ยชะงักฝีเท้าไปชั่วครู่ เขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่า นายท่านที่พ่อบ้านฟางกำลังพูดถึงคือเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้ หรือเป็น ‘คุณปู่’ ของชูซินซู
พอเห็นสีหน้าการแสดงออกอันฉงนใจของฉีเล่ย พ่อบ้านฟางก็กล่าวอธิบายอย่างยิ้มแย้มต่อทันที
“นายท่านคือคุณปู่ของคุณหนู แต่เป็นเพราะอายุของท่านที่มากแล้ว จึงทิ้งกิจการทุกอย่างของตระกูลให้กับคุณหนูรับช่วงต่อ”
ฉีเล่ยพยักหน้าตอบ แต่ภายในใจของเขาแทบไม่อยากจะเชื่อจริงๆ เนื่องจากความประทับใจแรกพบของเขาที่มีต่อชูซินซูนั้นไม่ค่อยดีนัก เธอก็แค่ผู้หญิงบ้าคนหนึ่ง แต่ใครจะไปคิดว่าเบื้องหลังของเธอจะชวนสะพรึงได้ขนาดนี้
รับสืบทอดธุรกิจจากคุณปู่ซึ่งเป็นเจ้าของคฤหาสน์หรูแบบนี้ คงไม่ใช่อะไรที่เล็กน้อยเลย และไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถควบคุมบริหารได้ไหว
พ่อบ้านฟางยังคงเดินนำทางต่อไป จนท้ายที่สุดทั้งสองก็เดินเข้าไปในตัวคฤหาสน์ด้านใน และเดินขึ้นบันไดหินอ่อน
คฤหาสน์แห่งนี้ถูกออกแบบวางรากฐานไว้อย่างไร้ที่ติตั้งแต่ก่อสร้างแล้ว ทั้งตำแหน่งแสงแดดที่สาดส่องเข้ามา ราวกับถูกคำนวณหมดแล้วว่า แสงควรตกกระทบตรงไหน ภายในบ้านถึงจะสวยและถูกหลักฮวงจุ้ยมากที่สุด ไม่เว้นแม้แต่ชนิดต้นไม้ที่นำมาจัดวางภายในตัวคฤหาสน์ ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่เดินเข้ามา ไม่มีแม้แต่อณูเศษฝุ่นสักนิดภายในสถานที่แห่งนี้
บรรดาคนใช้ที่เดินผ่านไปมาต่างมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้รับการอบรมมารยาทมาเป็นอย่างดีเยี่ยม
พ่อบ้านฟางพาฉีเล่ยมานั่งพักผ่อนในห้องโถงใหญ่ และรีบเชิญให้นั่งบนโซฟาตัวหรูพร้อมกล่าวว่า
“คุณฉี นั่งรอตรงนี้สักครู่นะครับ นายท่านนั่งเล่นอยู่ที่สวนหลังคฤหาสน์ เดี๋ยวผมจะรีบไปรายงานท่านว่าคุณมาถึงที่นี่แล้ว”
ฉีเล่ยพยักหน้าตอบตกลงไป
“ขอบคุณครับ”
ขณะเดียวกันเขาก็พลันรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา สวนหน้าคฤหาสน์ยังใหญ่ไม่พอรึไง ถึงยังมีสวนหลังบ้านอีก? สรุปแล้วที่ดินรวมทั้งหมดของคฤหาสน์แห่งนี้มันกี่ไร่กันเนี่ย?
หลังจากพ่อบ้านฟางเดินจากไป ไม่นานก็มีคนรับใช้เดินเข้ามาเสิร์ฟน้ำชาและขนมทานเล่นให้ ฉีเล่ยหยิบขนมชิ้นนั้นขึ้นมากินพลางจิบน้ำชาตาม สายตากวาดมองชื่นชมสิ่งตกแต่งรอบห้องโถงอย่างสบายอารมณ์
เหนือศีรษะของเขามีโคมไฟแชนเดอเรียคริสตัลขนาดใหญ่ โดยรอบผนังห้องมีภาพวาดสีน้ำมันแขวนประดับทั่ว ฉีเล่ยไม่ค่อยเข้าถึงเรื่องศิลปะมากมายขนาดนั้น แต่แค่มองผ่านๆก็รู้ได้เลยว่า พวกมันเป็นของเก่ามีมูลค่ามหาศาล
หลังจากนั่งรอไปสักพักหนึ่ง ฉีเล่ยก็เพิ่งเอะใจคิดได้ ชูซินซูบอกว่าให้เขามาเจอเธอไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมไปๆมาๆถึงมาพบคุณปู่ของเธอแทนได้?
ขณะที่ฉีเล่ยกำลังปั้นหน้างุนงงอยู่นั้นเอง จู่ๆก็มีเสียงดังฟังชัดดังลั่นออกมาจากด้านหลังเขา
“คุณเป็นใคร?”
ฉีเล่ยเหลียวหลังตามเสียงนั้นกลับไปทันที ก่อนจะเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังโซฟาที่นั่งอยู่
สวย…สวยมาก!
ปฏิกิริยาแรกของฉีเล่ยถึงกับใช้คำว่า ‘สวย’ เพื่อบรรยายรูปลักษณ์ของชายหนุ่มคนนี้
ชายหนุ่มคนนี้มีใบหน้างดงามราวกับนางฟ้าจากภาพวาดจีนโบราณ สีหน้าดูเยือกเย็น ผิวขาวนวลประดุจหยก นัยน์ตาใสบริสุทธ์เสมือนหยดน้ำค้างกลางหาวของฤดูใบไม้ร่วง ถ้าไม่ชิงเอ่ยปากเปล่งเสียงขึ้นมาก่อน ฉีเล่ยไม่มีทางรู้แน่ๆว่า อีกฝ่ายเป็นผู้ชาย
ไม่สิ ไม่สิ…ขนาดผู้หญิงแท้ๆยังสู้ความงดงามของชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้แม้สักนิด!
เพราะความสวยและน่ารักของเธอ…เห้ย!…ของเขาคนนี้ ทำเอาฉีเล่ยตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ
“นี่คุณเป็นใคร?”
ชายหนุ่มหน้าสวยเลิกคิ้วเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
ดูจากท่าทางการแสดงออกของเขาคนนี้ ดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจกับปฏิกิริยาแบบนี้ของฉีเล่ยเล็กน้อย
หลังจากได้สติขึ้นมา ฉีเล่ยรีบคลี่ยิ้มอ่อนกล่าวตอบไปว่า
“ผมชื่อ ฉีเล่ยครับ”
“ฉีเล่ย?”
ชายหนุ่มหน้าสวยนิ่งไปชั่วครู่พยายามครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะตอบไปว่า
“ใคร? ฉันไม่รู้จัก”
ฉีเล่ยไม่รู้จะตอบยังไงเช่นกัน จึงกล่าวถามไปแทนว่า
“แล้วคุณเป็นใครเหรอครับ?”
ชายหนุ่มหน้าสวยเผยท่าทีหยิ่งผยองขึ้นทันใด
“ชูซินฮัง”
“ชูซินฮัง? ใครเหรอครับ? ผมไม่รู้จัก”
ฉีเล่ยแกล้งปั้นน้ำเสียงให้เหมือนอีกฝ่าย และล้อเลียนกลับไปทีหนึ่ง
ชายหนุ่มหน้าสวยถึงกับผงะ ไม่คิดเลยว่า ฉีเล่ยจะกล้าพูดจากวนบาทาขนาดนี้ในครั้งแรกที่เจอกัน
จู่ๆใบหน้าสวยของเขาก็พลันแดงระเรื่อขึ้นทันทีด้วยความโกรธ ก่นเสียงเย็นถามสวนกลับไปว่า
“นี่นาย! นายรู้ไหมว่าตัวเองกำลังพูดอยู่กับใคร!?”
ฉีเล่ยที่เห็นความน่ารักของอีกฝ่าย ก็อดแกล้งต่อไม่ได้ จึงยิ้มตอบไปว่า
“ไม่รู้อ่ะครับ ถ้ารู้จะถามไหม?”
อันที่จริง แค่ฉีเล่ยได้ยินชื่อของอีกฝ่ายก็พอจะรู้อะไรขึ้นบ้างแล้ว
สกุลชู ชื่อกลางมีคำว่า‘ซิน’ ผนวกรวมกับท่าทางการแสดงออกอันหยิ่งผยองของเขาอีก คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากน้องชายของชูซินซู ถ้าไม่ใช่ ยังจะเป็นใครได้อีกล่ะ?
ชูซินฮังปั้นสีหน้ามืดทมิฬลงทันใด
“ไม่ว่านายจะเป็นใคร หรือมาที่นี่เพื่อขออะไร ฉันขอบอกไว้เลยว่า นายจะไม่ได้อะไรกลับไปทั้งสิ้น!”
ฉีเล่ยดูมีความสุขอย่างมากในตอนนี้ ชายหนุ่มตรงหน้าเขาน่าจะเรียนอยู่มัธยมปลายได้มั้ง? ตอนปั้นหน้าดุไม่รู้ว่าทำไมแทนที่เขาจะรู้สึกกลัว กลับรู้สึกว่าทำไมถึงน่ารักได้ขนาดนี้กัน?
แต่ยังไม่ทันจะได้หยอกล้อกับอีกฝ่ายต่อ ก็พลันมีเสียงดังลั่นจากประตูโถงด้านหนึ่งว่า
“อวดดี! แกเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง ทำไมถึงได้พูดจาโอหังขนาดนี้!”
ฉีเล่ยกวาดสายตามองตามต้นเสียงดังกล่าวทันที ก่อนจะเห็นชายชราคนหนึ่งที่ใบหน้ายังอ่อนเยาว์อยู่มาก
ชายชราคนนี้ดูยังไงก็น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อบ้านฟาง แต่ใบหน้ากลับดูไม่ค่อยมีริ้วรอยเหี่ยวย่นเท่าไหร่ สวมชุดถังจวง (เสื้อคอจีน) ผ้าไหมสีขาว ค่อยๆย่างเท้าเดินตรงเข้ามาอย่างมั่นคง แม้จะแบบนั้นแต่กลับทั้งกระฉับกระเฉงและรวดเร็ว
“คุณปู่”
เมื่อชูซินฮังเห็นชายแก่คนนี้ จากเสือน้อยผู้หยิ่งยโสกลับกลายมาเป็นแมวน้อยเนื้อตัวสั่นเทาในพริบตา และยืนตรงอยู่ข้างโซฟาด้วยความเคารพ
ชูเฟิงอี้จ้องหลายชายของเขาตาเขม็งและดุไปคำว่า
“หึ ไม่รู้จักมารยาท”
ขณะที่กล่าว ชูเฟิงอี้ก็เดินตรงไปหาฉีเล่ย เมื่อเห็นดังนั้น เขาก็รีบลุกขึ้นทักทายด้วยความสุภาพทันที
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ อาวุโสชู ผมชื่อฉีเล่ย วันนี้มารบกวนแล้วครับ”
ชายแก่ปั้นหน้ายิ้มแย้มดีใจอย่างมากที่ได้พบฉีเล่ย เขารีบกล่าวขึ้นด้วยความตื่นเต้นทันทีว่า
“พ่อหนุ่ม อายุอานามพอๆกับซินซูเลยนะเนี่ย เรียกฉันว่าปู่ก็ได้นะ ถ้าคุณหมอฉีไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไป?”
ฉีเล่ยรู้สึกประหลาดใจอย่างมากเมื่อได้ยิน แรกพบเจออีกฝ่ายก็เข้าตีสนิทใกล้ชิดถึงขนาดนี้ ราวกับว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรบางอย่างจากตัวเขา
สิ่งหนึ่งที่ควรทราบก่อนเลยก็คือ อย่างตระกูลหวู่ กว่าที่ฉีเล่ยจะได้รับความไว้วางใจจนสนิทชิดเชื้อ เขาต้องช่วยชีวิตสองพ่อลูกนั่นเสียก่อน
แต่นี่ฉีเล่ยเพียงเข้าปฐมพยาบาลเบื้องต้นเพื่อระงับอาการกำเริบของชูซินซูบนเครื่องบินเท่านั้น เขามั่นใจอย่างมากว่า ต่อให้เปลี่ยนจากเขาเป็นหมอท่านอื่น หญิงสาวก็ไม่น่าจะตายเช่นกัน
อย่างไรก็ตามแต่ ฉีเล่ยก็ไม่กล้าปฏิเสธอีกฝ่าย
“ครับคุณปู่ชู”
ชูเฟิงอี้ลูบเคราตัวเองเล็กน้อยและยิ้มตอบว่า
“ดี ดีมาก”
ชูเฟิงอี้นั่งตรงข้ามกับฉีเล่ย จับจ้องสายตามองไปทางเขาเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า
“ฉีเล่ย การที่เธอช่วยชีวิตหลานสาวของฉัน เท่ากับว่าเธอเป็นผู้มีพระคุณต่อตระกูลชูของเรา เพราะตอนนี้เองหลานสาวของฉันขึ้นมาเป็นเสาหลักประจำตระกูลชูของเรา ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอตอนนี้คงแย่แน่ ดังนั้นพวกเราถือว่าเป็นหนี้บุญคุณเธอแล้ว”
“เห้ออ…ตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ ตระกูลชูและตระกูลต่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตทางธุรกิจมาอย่างยาวนาน ตอนนี้ยิ่งรุนแรงกว่าครั้งเมื่อก่อนมาก แถมโชคดันไม่เข้าข้าง ตอนนี้ซินชูก็มาป่วยเป็นโรคปริศนา ทีแรกพวกเราก็ดีใจอยู่หรอกเมื่อรู้ข่าวว่า ผู้นำตระกูลต่งก็ป่วยเช่นกัน แต่ผ่านไปไม่กี่วัน มันกลับหายดีเป็นปลิดทิ้งซะได้! ในขณะที่ทางเรายัง… อนิจจา…”
ชายแก่เข้าเรื่องในทันที ฉีเล่ยเองก็กำลังรับฟังอย่างตั้งใจจนกระทั้งได้ยินคำว่า ตระกูลต่ง!
ตระกูลต่ง?
ผู้นำตระกูลต่ง? ตงซีหยุนรึเปล่านะ? ไม่..ไม่หรอกน่า คงไม่น่าจะบังเอิญขนาดนั้นจริงไหม?
แต่…รู้สึกว่าต่งซีหยุนเองก็อยู่ในปักกิ่งเหมือนกัน และถ้าจะให้บอกว่า ตระกูลไหนบ้างที่ใหญ่พอจะเป็นศัตรูทางธุรกิจกับตระกูลชูได้ก็คงมีแต่…
คงไม่ใช่เรื่องแน่นอนถ้าฉีเล่ยจะเอ่ยถามอะไรออกไปตอนนี้ และเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเช่นกัน ดังนั้นลืมๆมันไปซะ ลืมๆมันไป…
ชูเฟิงอี้กล่าวต่อว่า
“ในที่สุดหลายวันที่ฉันตั้งหน้าตั้งตารอ เธอก็มาแล้วจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ซินซูดันไม่อยู่ซะได้ ไม่อย่างนั้นฉันจะบังคับให้หลานสาวคุกเข่าขอบคุณเธอตรงนี้”
ฉีเล่ยอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะสบถกับตัวเองในใจว่า
‘ห่ะ? เธอไม่ได้อยู่ที่นี่? ทั้งๆที่ไม่อยู่แล้วจะเรียกฉันมาหาพระแสงอะไร?’
ทันทีที่ชูซินฮังได้ยินปู่ตัวเองพูดคำว่า ‘คุกเข่า’ ต่อหน้าชายคนนี้ ก็ถึงกับสงบสติอารมณ์ไม่ได้ จึงเอ่ยแทรกขึ้นว่า
“คุณปู่ นี่ปู่อายุเท่าไหร่แล้ว จะให้พี่สาวมาทำเรื่องไร้สาระแบบนั้นต่อหน้าหมอนี่ได้ยังไง? รู้ถึงไหนอายถึงนั่น!”
ทันทีที่สิ้นเสียงพูด ชูซินฮังก็หันขวับจ้องมองฉีเล่ยตาเขม็งอย่างไม่เป็นมิตร เขารู้สึกไม่ชอบไอ้หมอนี่เลย และก็ไม่อยากให้มันมามีสัมพันธ์เกี่ยวข้องอะไรกับพี่สาวตัวเองด้วย