ตอนที่67 ปรมาจารย์ในคราบชายหนุ่ม
หญิงชราเหลือบมองเม็ดพริกไทยในมือฉีเล่ย เอ่ยถามขึ้นทันทีด้วยความสงสัยว่า
“นี่มีประโยชน์อะไรเหรอ?”
ฉีเล่ยพยักหน้าหนักแน่นกล่าวว่า
“มีประโยชน์แน่นอนครับ”
หลินหมิงซางกล่าวเสริมขึ้น
“ถ้ามีประโยชน์จริงก็พาฉีเล่ยขึ้นไปห้องชั้นบนเลย”
ภายในห้อง มีเด็กหญิงอายุประมาณ5-6ขวบกำลังร้องห่มร้องไห้ไม่หยุดเพราะอาการปวดฟัน แก้มทั้งสองข้างบวมเป่งเห็นได้ชัดว่าอาการค่อนข้างหนัก
ฉีเล่ยเดินตรงเข้ามายิ้มให้เด็กหญิงคนนั้นพร้อมกับเม็ดพริกไทยในมือและกล่าวว่า
“อย่าร้องนะคนดี เดี๋ยวพี่สุดหล่อจะป้อนเม็ดพริกไทยให้นะ อย่าบ้วนออกมาล่ะ ลองกัดดูแล้วอาการปวดจะหายเป็นปลิดทิ้งเลย”
บางทีอาจเป็นเพราะรอยยิ้มหวามอันแสนเป็นมิตรของฉีเล่ย จึงทำให้เด็กหญิงผงกหัวเชื่อฟังแต่โดยดี อ้าปากน้อยๆออกให้ฉีเล่ยป้อนเม็ดพริกไทยอย่างง่ายดาย จากนั้นก็บอกให้เธอลองกัดเม็ดพริกไทยเหล่านั้นให้แตก
ภาพฉากต่อมาช่างน่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก ในเวลาไม่ถึงสิบวินาที เด็กหญิงตัวน้อยที่ร้องงองแงไม่หยุดก่อนหน้า ตอนนี้กลับสงบลงแล้ว แก้มทั้งสองข้างที่บวมเป่งก่อนหน้าค่อยๆยุบตัวลงจนสามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เมื่อเห็นเด็กหญิงตัวน้อยหยุดร้องไห้แล้ว หลินหมิงซางลอบถอนหายใจเสียงแผ่วด้วยความโล่งอก
“ไปกันเถอะ ลงไปนั่งคุยกันต่อด้านล่าง”
คล้อยหลังสิ้นเสียง หลินหมิงจางเหลือบมองฉีเล่ยเล็กน้อยเผยให้เห็นแววประหลาดใจออกมา
หลังจากทั้งสามคงมานั่งบนโซฟาชั้นล่างของตัวบ้าน หลินหมิงซางก็หันมายิ้มให้ฉีเล่ยและกล่าวว่า
“เธอเองก็มีของใช่ย่อยนะ”
ยามที่ผู้เฒ่าผู้แก่เอ่ยปากชม ร้อยทั้งร้อยต้องรู้จักวางกิริยามารยามถ่อมเนื้อถ่อมตัวเสมอ
แต่อย่างไร ฉีเล่ยรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่เขาควรได้รับ และยิ้มตอบไปว่า
“อันที่จริง โดยสามัญสำนึกของแพทย์แผนจีน ถ้าไม่รู้จริงคงไม่กล้าลงมือช่วยเหลือเด็กสุ่มสี่สุ่มห้าครับ”
ไม่ใช่ว่าฉีเล่ยไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว แต่เป็นเพราะเขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมในแง่ทักษะทางการแพทย์
คล้อยหลังได้ยินคำกล่าวของฉีเล่ย ชายชราทั้งสองถึงกับผงะตกใจเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมองหน้ากัน สุดท้ายก็อดระเบิดหัวเราะออกมาไม่ได้
หลี่ฮั่วเฉินยื่นมือไปตบไหล่ฉีเล่ยกล่าวว่า
“ฉีเล่ย ยิ่งอยู่ด้วยกันฉันก็ยิ่งชอบเธอมากขึ้นเรื่อยๆ การจะมาเป็นแพทย์แผนจีน สิ่งหนึ่งที่ควรมีติดตัวคือความมั่นใจและเชื่อมั่นในฝีมือตัวเอง ถ้าแม้กระทั่งแพทย์ผู้รักษายังไม่สามารถเชื่อใจในฝีมือตัวเอง แล้วพวกเขาจะสร้างความศรัทธาให้แก่ผู้ป่วยได้ยังไงจริงไหม?”
หลังจากพูดจบ หลี่ฮั่วเฉินก็อธิบายรายละเอียดความเป็นมาที่ได้พบฉีเล่ยให้กับหลินหมิงซางฟัง กล่าวว่า ตอนนั้น เขาบังเอิญไปพบกับฉีเล่ยที่กำลังทำงานในฐานะแพทย์ฝึกหัดอยู่ แต่จู่ๆเขาก็ออกความเห็นค้านกลางห้องผู้ป่วยต่อหน้าบรรดาอาจารย์แพทย์อีกหลายท่าน ทั้งยังเสนอวิธีรักษาในแบบฉบับของตัวเอง และความน่าทึ่งในการจับชีพจร วินิจฉัยอาการได้แม่นยำราวกับตาเห็น ก่อนจะตบท้ายด้วยกระบวนการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงมากจนน่าทึ่ง พร้อมออกใบสั่งยาได้อย่างเชี่ยวชำนาญยิ่งกว่าอาจารย์แพทย์ผู้มีประสบการณ์บางท่านเสียอีก หลี่ฮั่วเฉินเล่ารายละเอียดจำแนกออกเป็นฉากๆเสมือนกับว่าเขาถ่ายคลิปวีดีโอเก็บไว้ในวันนั้น อธิบายเหตุการณ์จุดเล็กจุดน้อยเก็บจนครบสมบูรณ์แบบ
หลี่ฮั่วเฉินเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยปักกิ่งทั้งยังเป็นถึงรองคณะศาสตราจารย์แพทย์แห่งประเทศจีน กล่าวได้ว่า เขามีศักดิ์เป็นหัวหน้าทางสายตรงของหลินหมิงซาง ในแง่ความสัมพันธ์การทำงาน ชายชราคนนี้เป็นศาสตราจารย์มือเก๋าที่หลินหมิงซางชื่นชมและเคารพอย่างมาก จึงเป็นธรรมดาที่เขาย่อมเชื่อในสิ่งที่หลี่ฮั่วเฉินเล่ากล่าวมาทุกคำพูด
ครั้งนี้ที่หลี่ฮั่วเฉินพาฉีเล่ยมาพบเจอหน้าแบบนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า พามาทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว เพราะจะอย่างไรการจะมาเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยสาขาการแพทย์แผนจีน สุดท้ายก็ควรแจ้งให้คณบดีสาขาทราบก่อน
หลังจากได้ฟังเรื่องที่หลี่ฮั่วเฉินเล่าไป หลินหมิงซางก็พอจะเข้าใจเรื่องราวและความสามารถโดยผิวเผินของฉีเล่ยบ้างแล้ว แต่ถ้าจะบอกให้มาเข้าสอนในฐานะอาจารย์ทันทีคงไม่ใช่เรื่องง่ายแบบนั้น มีทักษะทางการแพทย์มากพอย่อมสามารถเป็นแพทย์ได้ แต่การจะขึ้นมาเป็นอาจารย์แพทย์ คุณสมบัติเท่านี้กลับยังไม่เพียงพอแน่นอน
หลินหมิงซางเป็นคณบดีสาขาแพทย์แผนจีน เขามีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบทั้งในฝ่ายอาจารย์และนักศึกษา เขาต้องวางแผนเพื่อที่จะจัดระเบียบการศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบายของทางมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างบุคลากรคุณภาพมารับใช้สังคมต่อไป ดังนั้นฉีเล่ยจำเป็นต้องได้รับการประเมินก่อน
ซึ่งทัศนคติที่เที่ยงตรงไม่โอนเอนแบบนี้นับเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมมาก เพียงแต่สิ่งนี้ทำให้หลี่ฮั่วเฉินไม่พอใจสักเท่าไหร่
เขาถึงกับสบถกับตัวเองภายในใจว่า
‘นี่ฉันเป็นถึงอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งนี้เชียวนะ ในเมื่อฉันอนุญาตให้ผ่านเข้าทำงานได้แล้ว แต่ทำไมยังต้องประเมินอะไรอีก? หรือต้องเรียกกิ๊กเก่าของหมอนี่มายืนยัน?’
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงกล่าวกับหลินหมิงซางขึ้นว่า
“จำคัมภีร์จับชีพจรที่เคยให้แกยืมอ่านได้ไหม?”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นหลินหมิงซางก็ตกใจอย่างมาก หันขวับไปถามฉีเล่ยพร้อมดวงตาที่เบิกกว้างเท่าไข่ห่าน
“หรือว่าเธออ่านคัมภีร์จับชีพจรแล้วเข้าใจ?!”
“ใช่ครับ ผมแตกฉานแล้ว”
ฉีเล่ยพยักหน้ายิ้มตอบ
“แต่ถ้าจะพูดให้ถูกเลยก็คือ ผมเข้าใจวิธีตรวจจับชีพจรแบบนั้นก่อนที่จะเจอคัมภีร์เล่มนี้แล้ว”
หลินหมิงซางถึงกับไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
ในฐานะคณบดีสาขาแพทย์แผนจีน ทั้งชีวิตของเขาเคยอ่านหนังสือตำราที่เกี่ยวกับศาสตร์แพทย์จีนจนกระจ่างชัดแจ้งหมดแล้ว เว้นเสียแต่คัมภีร์จับชีพจรเล่มนี้ หลี่ฮั่วเฉินเคยนำมาให้ยืมอ่าน
หลินหมิงซางยังจดจำช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดี เขาหยิบหนังสือเล่มนี้พกติดตัวเพื่ออ่านทุกครั้งที่มีเวลาว่าง ทั้งตอนกินและตอนก่อนนอน หรือแม้แต่เก็บไปฝันก็ยังมี ทุกอากัปกิริยาของเขาจะต้องอ่านหนังสือเล่มนี้และพยายามทำความเข้าใจอยู่ตลอด จนแล้วจนรอดผ่านไปครึ่งเดือนเต็ม ไม่ว่าจะพลิกอ่านซ้ำๆไปมากี่ร้อยรอบ แต่ความเข้าใจของเขาต่อหนังสือเล่มนี้แทบจะเป็นศูนย์
สุดท้ายนี้ตอนที่นำคัมภีร์จับชีพจรมาคืนให้แก่หลี่ฮั่วเฉิน สภาพของหลินหมิงซางดูซูบผอม ผมหงอกผมขาวเพิ่มขึ้นเกือบครึ่งหัว
ทั้งนี้เองหลินหมิงซางยังรู้ดีว่า เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเขาคนเดียวเท่านั้น แต่คนที่เคยอ่านและพยายามทำความเข้าใจต่อคัมภีร์จับชีพจรของหลี่ฮั่วเฉินยังมีอีกมากมาย ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นแพทย์ชั้นนำ บางคนฝีมือเก่งกาจยิ่งกว่าเขามาก แต่คำตอบที่ได้จากทุกคนเมื่อคืนคัมภีร์เล่มนี้คือ ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจและก็ไม่เข้าใจอะไรเลย และสภาพของแต่ละคนก็ย่ำแย่ไม่ต่างจากหลินหมิงซาง อ่านกันทั้งวันทั้งคืน แต่ไม่ว่าจะพยายามอ่านแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์!
หลินหมิงซางถึงกับนั่งไม่ติดโซฟาอีกต่อไปเมื่อได้ยินว่า ชายหนุ่มตรงหน้าเขาสามารถเข้าใจเนื้อหาภายในนั้นได้ เขาก็รีบโน้มตัวมาคว้าไหล่ของฉีเล่ยด้วยมือทั้งสองข้างทันที รีบเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นว่า
“บอกฉันมาที! อ่านแล้วเธอได้ประโยชน์อะไรบ้าง? ทำไมฉันที่พยายามอ่านมันแทบตายจนแทบท่องได้ถึงไม่เข้าใจเลยล่ะ?”
ฉีเล่ยทราบดีว่าทำไมชายชราคนนี้ถึงดูตื่นเต้นขนาดนั้นเมื่อได้ยิน เขาคลี่ยิ้มตอบและอธิบายให้หลินหมิงซางฟังสั้นๆว่า
“ทักษะเหล่านั้นที่มีบันทึกในคัมภีร์จำเป็นต้องใช้กำลังภายใน”
ฉีเล่ยเว้นช่องไฟหยุดไปครู่หนึ่งและกล่าวต่อว่า
“ร่างกายมนุษย์มีเส้นลมปราณหลักทั้งหมด8จุดเชื่อมผสานทั่วทุกส่วน แต่ละเส้นสามารถแยกย่อยได้อีก720จุด ไม่ว่าแต่ก่อนจะเคยป่วยเป็นโรคอะไร ตอนนี้กำลังประสบภาวะใดอยู่ หรือคาดคะเนได้กระทั่งอนาคตว่ามีโอกาสสุ่มเสี่ยงเป็นโรคใด ทั้งหมดสามารถวินิจฉัยได้จากเส้นลมปราณเหล่านี้ทั้งสิ้น ถามว่าทำไมกำลังภายในถึงจำเป็นต่อศาสตร์ดังกล่าว? ผมขอตอบ ณ ที่นี้เลยว่า เวลาวินิจฉัยเส้นลมปราณ เราจำต้องกรอกเทลมปราณกระแสหนึ่งเข้าสำรวจในเส้นลมปราณทั่วร่างกายของผู้ป่วย ควบคู่ไปกับการสอบถามพฤติกรรมอาการ และผู้คนโดยส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดที่ว่า การจับชีพจรคือแก่นแท้ของศาสตร์แพทย์แผนจีน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง การจับชีพจรเป็นทักษะระดับเบื้องต้นที่สุดแล้วในบรรดาทักษะแพทย์แผนจีนทั้งหมด อาศัยแค่การจับชีพจร ช่วยวินิจฉัยได้ไม่ถึง1%ด้วยซ้ำ”
“…..”
หลินหมิงซางถึงกับอ้าปากค้างเติ่ง พูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปครู่ใหญ่
จนสุดท้ายก็ได้สติขึ้นถอนหายใจเสียวยืดยาวกล่าวว่า
“อายุยังน้อยแท้ๆ แต่สามารถเปิดโลกทัศน์ให้ตาแก่อย่างฉันได้ขนาดนี้เชียว นี่เจอกันยังไม่ถึงครึ่งวันด้วยซ้ำ กลับเพิ่งรู้สึกเข้าใจกระจ่างแจ้งก็ตอนนี้นี่แหละ ไอ้ที่ฉันศึกษาร่ำเรียนมาครึ่งค่อนชีวิตนี่มันดูไร้สาระไปเลย…”
ฉีเล่ยกล่าวปลอบใจไปว่า
“คณบดีหลินไม่เห็นต้องพูดดูถูกตัวเองแบบนี้เลยครับ ยังมีแพทย์แผนจีนอีกหลากหลายแขนงที่หายสาบสูญไป มันไม่ใช่ความผิดของคนในยุคปัจจุบันแบบเราเลย เรื่องนี้มันผิดพลาดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว เพราะบรรพบุรุษเหล่านั้นไม่รู้จักรักษามรดกสมบัติให้ดีต่างหาก ส่งผลให้คนรุ่นหลังที่ร่ำเรียนศึกษาได้ไม่สมบูรณ์แบบนี้”
หลินหมิงซางพยักหน้าและถามต่อว่า
“ความสามารถขนาดนี้ เธอไปสอนพวกนักศึกษาได้สบาย แต่เธอเองก็ยังดูเด็กมาก อายุไม่น่าจะแตกต่างจากพวกนักศึกษาเท่าไหร่ ถ้าแบบนี้เธอจะคุมเด็กพวกนั้นอยู่เหรอ?”
ฉีเล่ยยักไหล่ตอบอย่างไม่แยแส
“คนเป็นอาจารย์ขึ้นอยู่กับองค์ความรู้ไม่ใช่อายุครับ”
หลินหมิงซางกล่าวต่อว่า
“ก็ดี เริ่มสอนเมื่อไหร่ฉันก็หวังว่าเธอจะสามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติของพวกนักศึกษาได้นะ ถ้าเกิดเด็กพวกนั้นสร้างปัญหาอะไรให้เธอก็มาบอกฉันได้ตลอดไม่ต้องเกรงใจ ถ้าไม่ติดปัญหาอะไรก็เริ่มเข้าทำงานพรุ่งนี้ได้เลย ฉันจะเอาชื่อเธอเข้าตำแหน่งอาจารย์ให้ทันที”
“ไม่มีปัญหาครับ เริ่มงานพรุ่งนี้ได้เลย”
ฉีเล่ยพยักหน้าตอบ