ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 67 ปรมาจารย์ในคราบชายหนุ่ม

ตอนที่67 ปรมาจารย์ในคราบชายหนุ่ม

หญิงชราเหลือบมองเม็ดพริกไทยในมือฉีเล่ย เอ่ยถามขึ้นทันทีด้วยความสงสัยว่า

“นี่มีประโยชน์อะไรเหรอ?”

ฉีเล่ยพยักหน้าหนักแน่นกล่าวว่า

“มีประโยชน์แน่นอนครับ”

หลินหมิงซางกล่าวเสริมขึ้น

“ถ้ามีประโยชน์จริงก็พาฉีเล่ยขึ้นไปห้องชั้นบนเลย”

ภายในห้อง มีเด็กหญิงอายุประมาณ5-6ขวบกำลังร้องห่มร้องไห้ไม่หยุดเพราะอาการปวดฟัน แก้มทั้งสองข้างบวมเป่งเห็นได้ชัดว่าอาการค่อนข้างหนัก

ฉีเล่ยเดินตรงเข้ามายิ้มให้เด็กหญิงคนนั้นพร้อมกับเม็ดพริกไทยในมือและกล่าวว่า

“อย่าร้องนะคนดี เดี๋ยวพี่สุดหล่อจะป้อนเม็ดพริกไทยให้นะ อย่าบ้วนออกมาล่ะ ลองกัดดูแล้วอาการปวดจะหายเป็นปลิดทิ้งเลย”

บางทีอาจเป็นเพราะรอยยิ้มหวามอันแสนเป็นมิตรของฉีเล่ย จึงทำให้เด็กหญิงผงกหัวเชื่อฟังแต่โดยดี อ้าปากน้อยๆออกให้ฉีเล่ยป้อนเม็ดพริกไทยอย่างง่ายดาย จากนั้นก็บอกให้เธอลองกัดเม็ดพริกไทยเหล่านั้นให้แตก

ภาพฉากต่อมาช่างน่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก ในเวลาไม่ถึงสิบวินาที เด็กหญิงตัวน้อยที่ร้องงองแงไม่หยุดก่อนหน้า ตอนนี้กลับสงบลงแล้ว แก้มทั้งสองข้างที่บวมเป่งก่อนหน้าค่อยๆยุบตัวลงจนสามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า

เมื่อเห็นเด็กหญิงตัวน้อยหยุดร้องไห้แล้ว หลินหมิงซางลอบถอนหายใจเสียงแผ่วด้วยความโล่งอก

“ไปกันเถอะ ลงไปนั่งคุยกันต่อด้านล่าง”

คล้อยหลังสิ้นเสียง หลินหมิงจางเหลือบมองฉีเล่ยเล็กน้อยเผยให้เห็นแววประหลาดใจออกมา

หลังจากทั้งสามคงมานั่งบนโซฟาชั้นล่างของตัวบ้าน หลินหมิงซางก็หันมายิ้มให้ฉีเล่ยและกล่าวว่า

“เธอเองก็มีของใช่ย่อยนะ”

ยามที่ผู้เฒ่าผู้แก่เอ่ยปากชม ร้อยทั้งร้อยต้องรู้จักวางกิริยามารยามถ่อมเนื้อถ่อมตัวเสมอ

แต่อย่างไร ฉีเล่ยรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่เขาควรได้รับ และยิ้มตอบไปว่า

“อันที่จริง โดยสามัญสำนึกของแพทย์แผนจีน ถ้าไม่รู้จริงคงไม่กล้าลงมือช่วยเหลือเด็กสุ่มสี่สุ่มห้าครับ”

ไม่ใช่ว่าฉีเล่ยไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว แต่เป็นเพราะเขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมในแง่ทักษะทางการแพทย์

 คล้อยหลังได้ยินคำกล่าวของฉีเล่ย ชายชราทั้งสองถึงกับผงะตกใจเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมองหน้ากัน สุดท้ายก็อดระเบิดหัวเราะออกมาไม่ได้

หลี่ฮั่วเฉินยื่นมือไปตบไหล่ฉีเล่ยกล่าวว่า

“ฉีเล่ย ยิ่งอยู่ด้วยกันฉันก็ยิ่งชอบเธอมากขึ้นเรื่อยๆ การจะมาเป็นแพทย์แผนจีน สิ่งหนึ่งที่ควรมีติดตัวคือความมั่นใจและเชื่อมั่นในฝีมือตัวเอง ถ้าแม้กระทั่งแพทย์ผู้รักษายังไม่สามารถเชื่อใจในฝีมือตัวเอง แล้วพวกเขาจะสร้างความศรัทธาให้แก่ผู้ป่วยได้ยังไงจริงไหม?”

หลังจากพูดจบ หลี่ฮั่วเฉินก็อธิบายรายละเอียดความเป็นมาที่ได้พบฉีเล่ยให้กับหลินหมิงซางฟัง กล่าวว่า ตอนนั้น เขาบังเอิญไปพบกับฉีเล่ยที่กำลังทำงานในฐานะแพทย์ฝึกหัดอยู่ แต่จู่ๆเขาก็ออกความเห็นค้านกลางห้องผู้ป่วยต่อหน้าบรรดาอาจารย์แพทย์อีกหลายท่าน ทั้งยังเสนอวิธีรักษาในแบบฉบับของตัวเอง และความน่าทึ่งในการจับชีพจร วินิจฉัยอาการได้แม่นยำราวกับตาเห็น ก่อนจะตบท้ายด้วยกระบวนการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงมากจนน่าทึ่ง พร้อมออกใบสั่งยาได้อย่างเชี่ยวชำนาญยิ่งกว่าอาจารย์แพทย์ผู้มีประสบการณ์บางท่านเสียอีก หลี่ฮั่วเฉินเล่ารายละเอียดจำแนกออกเป็นฉากๆเสมือนกับว่าเขาถ่ายคลิปวีดีโอเก็บไว้ในวันนั้น อธิบายเหตุการณ์จุดเล็กจุดน้อยเก็บจนครบสมบูรณ์แบบ

หลี่ฮั่วเฉินเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยปักกิ่งทั้งยังเป็นถึงรองคณะศาสตราจารย์แพทย์แห่งประเทศจีน กล่าวได้ว่า เขามีศักดิ์เป็นหัวหน้าทางสายตรงของหลินหมิงซาง ในแง่ความสัมพันธ์การทำงาน ชายชราคนนี้เป็นศาสตราจารย์มือเก๋าที่หลินหมิงซางชื่นชมและเคารพอย่างมาก จึงเป็นธรรมดาที่เขาย่อมเชื่อในสิ่งที่หลี่ฮั่วเฉินเล่ากล่าวมาทุกคำพูด

ครั้งนี้ที่หลี่ฮั่วเฉินพาฉีเล่ยมาพบเจอหน้าแบบนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า พามาทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว  เพราะจะอย่างไรการจะมาเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยสาขาการแพทย์แผนจีน สุดท้ายก็ควรแจ้งให้คณบดีสาขาทราบก่อน

หลังจากได้ฟังเรื่องที่หลี่ฮั่วเฉินเล่าไป หลินหมิงซางก็พอจะเข้าใจเรื่องราวและความสามารถโดยผิวเผินของฉีเล่ยบ้างแล้ว แต่ถ้าจะบอกให้มาเข้าสอนในฐานะอาจารย์ทันทีคงไม่ใช่เรื่องง่ายแบบนั้น มีทักษะทางการแพทย์มากพอย่อมสามารถเป็นแพทย์ได้ แต่การจะขึ้นมาเป็นอาจารย์แพทย์ คุณสมบัติเท่านี้กลับยังไม่เพียงพอแน่นอน

หลินหมิงซางเป็นคณบดีสาขาแพทย์แผนจีน เขามีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบทั้งในฝ่ายอาจารย์และนักศึกษา เขาต้องวางแผนเพื่อที่จะจัดระเบียบการศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบายของทางมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างบุคลากรคุณภาพมารับใช้สังคมต่อไป ดังนั้นฉีเล่ยจำเป็นต้องได้รับการประเมินก่อน

ซึ่งทัศนคติที่เที่ยงตรงไม่โอนเอนแบบนี้นับเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมมาก เพียงแต่สิ่งนี้ทำให้หลี่ฮั่วเฉินไม่พอใจสักเท่าไหร่

เขาถึงกับสบถกับตัวเองภายในใจว่า

‘นี่ฉันเป็นถึงอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งนี้เชียวนะ ในเมื่อฉันอนุญาตให้ผ่านเข้าทำงานได้แล้ว แต่ทำไมยังต้องประเมินอะไรอีก? หรือต้องเรียกกิ๊กเก่าของหมอนี่มายืนยัน?’

เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงกล่าวกับหลินหมิงซางขึ้นว่า

“จำคัมภีร์จับชีพจรที่เคยให้แกยืมอ่านได้ไหม?”

ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นหลินหมิงซางก็ตกใจอย่างมาก หันขวับไปถามฉีเล่ยพร้อมดวงตาที่เบิกกว้างเท่าไข่ห่าน

“หรือว่าเธออ่านคัมภีร์จับชีพจรแล้วเข้าใจ?!”

“ใช่ครับ ผมแตกฉานแล้ว”

ฉีเล่ยพยักหน้ายิ้มตอบ

“แต่ถ้าจะพูดให้ถูกเลยก็คือ ผมเข้าใจวิธีตรวจจับชีพจรแบบนั้นก่อนที่จะเจอคัมภีร์เล่มนี้แล้ว”

หลินหมิงซางถึงกับไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

ในฐานะคณบดีสาขาแพทย์แผนจีน ทั้งชีวิตของเขาเคยอ่านหนังสือตำราที่เกี่ยวกับศาสตร์แพทย์จีนจนกระจ่างชัดแจ้งหมดแล้ว เว้นเสียแต่คัมภีร์จับชีพจรเล่มนี้ หลี่ฮั่วเฉินเคยนำมาให้ยืมอ่าน

หลินหมิงซางยังจดจำช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดี เขาหยิบหนังสือเล่มนี้พกติดตัวเพื่ออ่านทุกครั้งที่มีเวลาว่าง ทั้งตอนกินและตอนก่อนนอน หรือแม้แต่เก็บไปฝันก็ยังมี ทุกอากัปกิริยาของเขาจะต้องอ่านหนังสือเล่มนี้และพยายามทำความเข้าใจอยู่ตลอด จนแล้วจนรอดผ่านไปครึ่งเดือนเต็ม ไม่ว่าจะพลิกอ่านซ้ำๆไปมากี่ร้อยรอบ แต่ความเข้าใจของเขาต่อหนังสือเล่มนี้แทบจะเป็นศูนย์

สุดท้ายนี้ตอนที่นำคัมภีร์จับชีพจรมาคืนให้แก่หลี่ฮั่วเฉิน สภาพของหลินหมิงซางดูซูบผอม ผมหงอกผมขาวเพิ่มขึ้นเกือบครึ่งหัว

ทั้งนี้เองหลินหมิงซางยังรู้ดีว่า เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเขาคนเดียวเท่านั้น แต่คนที่เคยอ่านและพยายามทำความเข้าใจต่อคัมภีร์จับชีพจรของหลี่ฮั่วเฉินยังมีอีกมากมาย ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นแพทย์ชั้นนำ บางคนฝีมือเก่งกาจยิ่งกว่าเขามาก แต่คำตอบที่ได้จากทุกคนเมื่อคืนคัมภีร์เล่มนี้คือ ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจและก็ไม่เข้าใจอะไรเลย และสภาพของแต่ละคนก็ย่ำแย่ไม่ต่างจากหลินหมิงซาง อ่านกันทั้งวันทั้งคืน แต่ไม่ว่าจะพยายามอ่านแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์!

หลินหมิงซางถึงกับนั่งไม่ติดโซฟาอีกต่อไปเมื่อได้ยินว่า ชายหนุ่มตรงหน้าเขาสามารถเข้าใจเนื้อหาภายในนั้นได้ เขาก็รีบโน้มตัวมาคว้าไหล่ของฉีเล่ยด้วยมือทั้งสองข้างทันที รีบเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นว่า

“บอกฉันมาที! อ่านแล้วเธอได้ประโยชน์อะไรบ้าง? ทำไมฉันที่พยายามอ่านมันแทบตายจนแทบท่องได้ถึงไม่เข้าใจเลยล่ะ?”

ฉีเล่ยทราบดีว่าทำไมชายชราคนนี้ถึงดูตื่นเต้นขนาดนั้นเมื่อได้ยิน เขาคลี่ยิ้มตอบและอธิบายให้หลินหมิงซางฟังสั้นๆว่า

“ทักษะเหล่านั้นที่มีบันทึกในคัมภีร์จำเป็นต้องใช้กำลังภายใน”

ฉีเล่ยเว้นช่องไฟหยุดไปครู่หนึ่งและกล่าวต่อว่า

“ร่างกายมนุษย์มีเส้นลมปราณหลักทั้งหมด8จุดเชื่อมผสานทั่วทุกส่วน แต่ละเส้นสามารถแยกย่อยได้อีก720จุด ไม่ว่าแต่ก่อนจะเคยป่วยเป็นโรคอะไร ตอนนี้กำลังประสบภาวะใดอยู่ หรือคาดคะเนได้กระทั่งอนาคตว่ามีโอกาสสุ่มเสี่ยงเป็นโรคใด ทั้งหมดสามารถวินิจฉัยได้จากเส้นลมปราณเหล่านี้ทั้งสิ้น ถามว่าทำไมกำลังภายในถึงจำเป็นต่อศาสตร์ดังกล่าว? ผมขอตอบ ณ ที่นี้เลยว่า เวลาวินิจฉัยเส้นลมปราณ เราจำต้องกรอกเทลมปราณกระแสหนึ่งเข้าสำรวจในเส้นลมปราณทั่วร่างกายของผู้ป่วย ควบคู่ไปกับการสอบถามพฤติกรรมอาการ และผู้คนโดยส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดที่ว่า การจับชีพจรคือแก่นแท้ของศาสตร์แพทย์แผนจีน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง การจับชีพจรเป็นทักษะระดับเบื้องต้นที่สุดแล้วในบรรดาทักษะแพทย์แผนจีนทั้งหมด อาศัยแค่การจับชีพจร ช่วยวินิจฉัยได้ไม่ถึง1%ด้วยซ้ำ”

“…..”

หลินหมิงซางถึงกับอ้าปากค้างเติ่ง พูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปครู่ใหญ่

จนสุดท้ายก็ได้สติขึ้นถอนหายใจเสียวยืดยาวกล่าวว่า

“อายุยังน้อยแท้ๆ แต่สามารถเปิดโลกทัศน์ให้ตาแก่อย่างฉันได้ขนาดนี้เชียว นี่เจอกันยังไม่ถึงครึ่งวันด้วยซ้ำ กลับเพิ่งรู้สึกเข้าใจกระจ่างแจ้งก็ตอนนี้นี่แหละ ไอ้ที่ฉันศึกษาร่ำเรียนมาครึ่งค่อนชีวิตนี่มันดูไร้สาระไปเลย…”

ฉีเล่ยกล่าวปลอบใจไปว่า

“คณบดีหลินไม่เห็นต้องพูดดูถูกตัวเองแบบนี้เลยครับ ยังมีแพทย์แผนจีนอีกหลากหลายแขนงที่หายสาบสูญไป มันไม่ใช่ความผิดของคนในยุคปัจจุบันแบบเราเลย เรื่องนี้มันผิดพลาดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว เพราะบรรพบุรุษเหล่านั้นไม่รู้จักรักษามรดกสมบัติให้ดีต่างหาก ส่งผลให้คนรุ่นหลังที่ร่ำเรียนศึกษาได้ไม่สมบูรณ์แบบนี้”

หลินหมิงซางพยักหน้าและถามต่อว่า

“ความสามารถขนาดนี้ เธอไปสอนพวกนักศึกษาได้สบาย แต่เธอเองก็ยังดูเด็กมาก อายุไม่น่าจะแตกต่างจากพวกนักศึกษาเท่าไหร่ ถ้าแบบนี้เธอจะคุมเด็กพวกนั้นอยู่เหรอ?”

ฉีเล่ยยักไหล่ตอบอย่างไม่แยแส

“คนเป็นอาจารย์ขึ้นอยู่กับองค์ความรู้ไม่ใช่อายุครับ”

หลินหมิงซางกล่าวต่อว่า

“ก็ดี เริ่มสอนเมื่อไหร่ฉันก็หวังว่าเธอจะสามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติของพวกนักศึกษาได้นะ ถ้าเกิดเด็กพวกนั้นสร้างปัญหาอะไรให้เธอก็มาบอกฉันได้ตลอดไม่ต้องเกรงใจ ถ้าไม่ติดปัญหาอะไรก็เริ่มเข้าทำงานพรุ่งนี้ได้เลย ฉันจะเอาชื่อเธอเข้าตำแหน่งอาจารย์ให้ทันที”

“ไม่มีปัญหาครับ เริ่มงานพรุ่งนี้ได้เลย”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบ

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset