ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 75 แม่หนูป่วย

ตอนที่75 แม่หนูป่วย

มู่เซียวหยานกล่าวผ่านมือถือไปว่า

“เอาเถอะ รอแกกลับมาฉันค่อยจัดการทีเดียว แล้วตะกี้ว่ายังไงนะ? กำลังมีความรัก? ลูกสาวฉันกำลังมีความรักเหรอเนี่ย? บอกทีว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใครถึงโคตรซวยแบบนี้?”

เหอจื่อเดือดจัดจนลูกโป่งแตกดัง ‘ป๊อป’

“มู่เซียวหยาน! นี่ยังเป็นแม่ฉันอยู่รึเปล่า? นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่รู้จักคำว่าความรัก แล้วไหงถึงพูดจาชวนน่าโมโหแบบนี้? ไม่เอาแล้ว ไม่พูดแล้ว! แค่นี้แหละ!”

“อัยย๊ะ! ใจเย็นก่อนลูกสาวสุดสวยของแม่ แหมมม…แค่หยอกเล่นหยอกหน่อยทำเป็นน้อยใจ แค่ล้อเล่นเอง ลูกสาวของฉันทั้งสวยทั้งมีเสน่ห์ได้แม่มาเต็มๆ เสียดายที่ได้สายเลือดดีจากแม่คนนี้แค่ครึ่งเดียว แต่ก็อย่างว่านะ ใครได้ลูกสาวคนนี้ไปเป็นคู่ครองถือว่าโชคดีที่สุดในบรรดาสิบชาติที่ผ่านมาแล้ว เออ แกเองอายุปูนนี้แล้ว หัดมีแฟนบ้าง แม่สนับสนุน!”

“แต่เขา…เขาเป็นอาจารย์ของฉัน”

เหอจื่อกระซิบเสียงแผ่วตอบกลับไป

“เอาเลย!”

ทีแรกมู่เซียวหยานยังไม่ทันฟังได้ใจความจึงเอ่ยตอบสวนกลับไปทันที แต่พอได้ยินแบบนั้นถึงกับชะงัก

“ดะ-เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อนนะ…อาจารย์?!”

“โถ่ว…รสนิยมลูกสาวฉัน… นี่ฉันเลี้ยงแกไม่เหมือนแม่คนอื่นเขาทำกันรึไง? แต่ช่างเถอะ ช่างเถอะ…หวังว่าจะเป็นผู้ชายที่ดีนะ”

พอกล่าวออกไปแบบนั้น มู่เซียวหยานเอ่ยถามต่อด้วยท่าทีประหม่าว่า

“เอ่อ…ลูกแม่…แม่ถามจริงๆนะ อาจารย์ที่ว่า…แบบพวกผู้ชายหัวล้านๆ อายุ50งี้เหรอ?”

“มู่เซียวหยาน! ฉันไม่เล่น!”

เหอจื่อโกรธจัดจนแทบจะกระโดดขึ้นม้านั่ง เธอถึงกับยกมือก่ายหน้าผากด้วยความปวดหัว พ่อของเธอดันไปทำบาปอะไรไว้เมื่อชาติก่อนกัน ชาตินี้ถึงลงเอ่ยแต่งงานกับผู้หญิงแบบนี้ได้?

มู่เซียวหยานเองก็โมโหเช่นกัน

“เจ้าเด็กคนนี้! แม่จริงจังนะ! แค่อยากจะบอกว่า ถ้าได้ก็ดี! อาจารย์แพทย์อายุ50กว่าส่วนใหญ่มีฐานะกันทั้งนั้น! พอเขาเข้ามาเยี่ยมบ้านเราเลยดีไหม? อืม…แม่ควรเรียกเขาว่ายังไงดี? ลูกเขยหรือพี่ใหญ่ดี…”

เหอจื่อระเบิดอารมณ์ใส่ทันทีว่า

“แม่ฉันนี่ก็แม่ฉันจริงๆ! ขอบอกไว้ก่อน เขาไม่ได้แก่อย่างที่แม่คิด! เขาอายุแค่ยี่สิบต้นๆ เอง!”

“ห่ะ? อาจารย์แพทย์อายุยี่สิบต้นๆ? แก…แกรีบพาเขามาที่บ้านเลย! ไม่ก็ชวนค้างที่หอแกไปเลย! แต่ถ้าแกไม่เอาจริงๆ เดี๋ยวแม่ออกโรงเอง!”

“….”

เหอจื่อยืนแข็งค้างอยู่ริมสระบ่อ พอได้ยินแม่ตัวเองเสนอขึ้นมาแบบนี้แทบจะปามือถือลงน้ำ

ส่วนความรู้สึกตอนนี้น่ะเหรอ? เธออยากร้องไห้เสียงดังๆ แต่กลับไม่มีน้ำตา

ออกโรงเอง? นี่กำลังหาแฟนให้ลูกหรือหาพ่อเลี้ยงให้ลูกกันแน่?

เนื่องจากคณะแพทย์สาขาการแพทย์แผนจีนกำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาจารย์ผู้สอน ทำให้อาจารย์ที่สังกัดอยู่ที่อาคารนี้ไม่ได้มากมายเท่าไหร่ หลังจากฉีเล่ยสอนหนังสือจบ เขาก็กลับเข้ามาในห้องพักอาจารย์เพื่อพักผ่อน และทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ก่อนจะเดินทางกลับไปที่ห้องเรียนเพื่อเข้าสอนต่อในคาบที่สอง

ยังคงเป็นห้องเรียน406ดังเดิม

และก็ยังเป็นวิชาเดียวกับก่อนหน้านี้

พอกลับเข้ามาคลาส นักศึกษาทุกคนต่างนั่งประจำที่เตรียมตัวเรียนต่อด้วยความกระตือรือร้น และไม่มีแม้แต่คนเดียวที่โดดหรือหายหน้าไปไหน

วิธีการบรรยายของฉีเล่ยค่อนข้างเข้าใจง่ายเพราะเขามักจะเอาเรื่องหลักการแพทย์จีนไปประยุกต์กับประสบการณ์ต่างๆ ที่พบเจอมา สรุปได้คำเดียวว่า ฟังเพลินมาก

และอีกหนึ่งข้อสำคัญที่ฉีเล่ยให้ความสำคัญคือ เน้นทำไม่เน้นพูด เขาสั่งให้นักศึกษาจับคู่กันและลองให้พวกเขาสอบถามซึ่งกันและกันดู ก่อนจะเดินเข้าไปสอนทีละคู่ด้วยตัวเองให้รู้ถึงวิธีจับชีพจรที่ถูกต้อง และจุดสำคัญต่างๆ บนร่างกายเบื้องต้น บทเรียนทั้งหมดทั้งมวลนี้ ทำให้นักศึกษาทุกคนได้ทดลองจริงๆ ซึ่งมันไม่น่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย

เมื่อฉีเล่ยสอนจนกริ๊งเลิกเรียนดังขึ้นอีกครั้ง ฉีเล่ยค่อยกลับมาหน้าห้องและบอกเลิกเรียน ทว่าทุกคนกลับรู้สึกว่า สิ่งที่ตนเองเรียนอยู่ยังไม่พอ

“ทำไมหมดคาบเร็วจัง?”

“อาจารย์ฉีครับ วิชาการวินิจฉัยคาบหน้าเมื่อไหร่เหรอครับ?”

“น่าจะวันพุธนะครับ ก็มะรืนเดี๋ยวก็เจอกันแล้วครับ”

“ถ้าอย่างนี้…หยินหยินก็ไม่ได้เจออาจารย์ฉีตั้งวันนึงเต็มๆ เลยใช่ไหมค่ะ? หนูคิดถึงแย่เลย”

เหอจื่อปั้นหน้าดูลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะรีบเก็บอุปกรณ์การเรียนบนโต๊ะลงกระเป๋าและวิ่งออกจากห้อง ตะโกนเรียกฉีเล่ยที่กำลังเดินจากออกไป

“อาจารย์ฉี!”

ฉีเล่ยเหลียวหลังกลับมามอง พอเห็นว่าเป็นนักศึกษาสาวคนแรกที่เขาได้ทำความรู้จักในคาบแรก เขาก็ยิ้มกล่าวขึ้นทันทีว่า

“ผมบอกแล้วใช่ไหมครับ? ฝันของคุณต้องเป็นจริงแน่นอน?”

เหอจื่อเชิดหน้าใส่อยู่ทีสองทีก่อนกล่าวว่า

“แต่ถ้าจำไม่ผิด…อาจารย์ในอุดมคติของหนูต้องหล่อด้วยนะ ถ้าบอกว่า ทำให้ฝันเป็นจริง นั้นหมายความว่าอาจารย์ฉีกำลังชมตัวเองว่าหล่ออยู่นะคะ?”

“อ้าว? แล้วผมไม่หล่อหรอกเหรอ?”

ฉีเล่ยยกมือถูไถคางไปมาราวกับกำลังใช้ความคิด

“ผมว่าตัวผมเองก็หล่อในระดับนึงเลยนะ”

“ไม่เห็นหล่อ!”

ดูเหมือนว่าเหอจื่อที่เห็นฉีเล่ยยังคงยืนยันแบบนั้น เธอก็รีบสะบัดหน้าหนีก่อนจะพูดโกหกสวนกลับไป ทว่าใบหน้าที่แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำของเธอกลับไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย

“ถึง…ถึงแบบนั้นก็เถอะ อาจารย์เองก็…ก็ดูมีสไตล์อยู่บ้าง แถมเป็นคนตรงไปตรงมาดี… หนูเคยเห็นอาจารย์ใส่สูทตั้งหลายคนนะคะ แต่ไม่เห็นมีคนไหนเหมาะเท่ากับอาจารย์ฉีอีกแล้ว”

ฉีเล่ยหัวเราะ

“งั้นก็ขอบคุณนะที่ชม”

พอพูดจบฉีเล่ยก็หันเหลียวกลับและเดินจากไป ทว่าเหอจื่อก็ตะโกนมาอีกว่า

“เดี๋ยวก่อนค่ะ!”

ฉีเล่ยชะงักฝีเท้าหันกลับมาอีกรอบว่า

“มีอะไรอีกงั้นเหรอ?”

เหอจื่อกล่าวตอบทันที

“อาจารย์ฉี หนูมีบางอย่างต้องเตือนก่อนค่ะ”

ฉีเล่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“มีอะไรรึเปล่า?”

เมื่อเข้าสบตากับฉีเล่ย ท่าทางการแสดงออกของเหอจื่อเริ่มดูลังเล ขณะเดียวก็มือทั้งสองข้างของเธอก็จับแขนเสื้อของตัวเองแน่น

ฉีเล่ยเบิกตากว้างด้วยความสงสัยไม่น้อยเช่นกัน ทำไมสาวสวยแบบนี้ถึงมาเรียนสาขาแพทย์จีนได้

นี่เป็นครั้งแรกที่ฉีเล่ยมาที่นี่ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้เลยว่า เหอจื่อมีชื่อเสียงขนาดไหนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้

ในข่าวลือว่า วันแรกของการรายงานตัวนักศึกษา มีคณะกรรมการนักเรียนคนหนึ่งได้เข้ามาตีสนิทและพูดคุยกับเหอจื่อ ขณะที่เขากำลังช่วยถือของให้เธอ อีกฝ่ายก็ใช้โอกาสนี้แต๊ะอั๋งเหอจื่อที่ไม่ทันตั้งตัว ทำให้เธอโกรธจัดจับร่างของอีกฝ่ายทุ่มลงนสระบัวกลางมหาวิทยาลัยโดยตรง

ในเหตุการณ์ดังกล่าว ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างยืนตกตะลึงค้างแข็งเป็นเสาหิน ไม่มีใครคาดถึงเลยว่า เด็กสาวหน้าตาน่ารักอย่างเธอจะมีทักศะการต่อสู้ที่น่าสะพรึงขวัญขนาดนี้ และตามที่พวกเขาประเมินเอาไว้ นั่นไม่ใช่ความอข็งแกร่งทั้งหมดของเหอจื่อ

ด้วยเหตุนี้เอง ชื่อเสียงของเหอจือจึงแพร่หลายไปทั่วมหาวิทยาลัยตั้งแต่วันแรก

โดยปกติแล้ว ในคลาสเรียนเธอจะนั่งโต๊ะคนเดียวตามลำพัง โดยที่ไม่มีเพื่อนคนอื่นกล้านั่งข้างกับเธอเลยสักคน เป็นเพราะเหตุนี้เอง พอฉีเล่ยที่มาใหม่จู่ๆ ก็มานั่งข้างๆ เธอทั้งแบบนั้น ก็เลยทำให้เหอจื่อสนอกสนใจในตัวเขา

ณ ทางเดินหน้าชั้นเรียน เหอจื่อลังเลอยู่นานก่อนที่ในที่สุดจะพูดออกมา

“อาจารย์ฉี ภูมิหลังครอบครัวของโห่วเจียนไม่ธรรมดาเลยนะคะ”

“โห่วเทียน?”

“นักศึกษาที่อาจารย์ไล่ออกไปไงค่ะ”

“อ้อ เขาชื่อโห่วเจียนนี่เอง”

ฉีเล่ยพยักหน้าและกล่าวต่อว่า

“ไม่ใช่ว่าผมอยากจะไล่เขาออกหรอก แต่เป็นเขาต่างหากที่ไม่อยากเรียนกับผม ถ้าทางเบื้องบนรู้เข้า หวังว่าตอนนั้นคุณจะเป็นพยานให้ผมนะครับ”

เหอจื่ออธิบายต่อด้วยความกังวลว่า

“หนูไม่ได้หมายความถึงแบบนั้น ที่อยากจะเตือนอาจารย์ก็คือ…โห่วเจียนคนนี้สนิทสนมกับคนนอกมหาลัยมาก กลัวว่าหมอนั่นจะกลับมาแก้แค้น…”

แทนที่ฉีเล่ยจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องดังกล่าว เขากลับตอบพร้อมเสียงหัวเราะกลับไปแทน

“ฮ่าฮ่า ถ้าคนนอกมหาลัยน่ากลัว ผมที่มาจากนอกมหาลัยเช่นกันก็คงน่ากลัวไม่ต่าง แล้วคุณคิดว่าผมน่ากลัวไหมล่ะ?”

เมื่อเห็นว่าฉีเล่ยยังทำเป็นเล่น เหอจื่อก็กระทืบเท้าทีหนึ่ง ปั้นหน้าหงุดหงิดใส่

“นี่ยังจะมาทำเป็นเล่นอยู่อีก ยังไงก็เถอะ…หนูเตือนแล้วนะ ดูแลตัวเองด้วย!”

พอเห็นฉีเล่ยกำลังจะหมุนตัวเดินจากไปอีกครั้ง จู่ๆ ท่าทีของเหอจื่อก็พลันร้อนใจขึ้นอีกครั้งและรีบกล่าวขึ้นว่า

“อาจารย์ฉี! นะ-หนู…หนู…เอ่อ…เบอร์โทรของอาจารย์…เบอร์อะไรเหรอคะ? มะ-มะ-ไม่ใช่ว่าหนูอยากได้เบอร์อาจารย์หรอกนะคะ! แต่…แต่แม่หนู…เป็นโรคประหลาด คือ..คือ…ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็อยากโทรถาม…”

“โรคประหลาด? ประหลาดยังไง?”

“เอ่อ…คือว่า…”

เหอจื่อรีบเร่งใช้ความคิดอย่างหนักและกล่าวขึ้นต่อว่า

“ทุกครั้งที่มีวันนั้นของเดือน…เธอจะรู้สึกปวดท้อง ชอบโวยวายไม่หยุด…”

อันที่จริงมู่เซียวหยานไม่มีอะไรผิดปกติทั้งนั้น เพียงว่าเหอจื่อต้องการหาข้ออ้างเพื่อขอเบอร์ของฉีเล่ย…

ซึ่งเธอก็คิดข้ออ้างไม่ออก เลยแถออกไปทั้งแบบนี้

ฉีเล่ยซักถามต่อทันทีด้วยความสงสัยว่า

“เท่าที่ฟังจากอาการไม่น่าจะเป็นโรคประหลาดนะ? ก็แค่ประจำเดือนปกติไม่ใช่เหรอ? พอวันนั้นของเดือนมา ควรแนะนำให้แม่หาอะไรอุ่นๆ มาประคบบริเวณหน้าท้องน้อย ดื่มน้ำผสมกับน้ำตาลทรายแดงให้เยอะๆ นี่เป็นความรู้พื้นฐานสำหรับการดูแลสุภาพ คุณเองก็เป็นนักศึกษาแพทย์ก็ควรจะเข้าใจดี?”

เหอจื่อกระชับจับชายเสื้อตัวเองแน่น ใบหน้าเห่อร้อนกลายเป็นสีแดงก่ำราวกับจะมีควันออกมา

ถ้าหนูไม่ได้เบอร์อาจารย์มา แล้วหนูจะติดต่อกับอาจารย์ได้ยังไง?!

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset