ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 77 ตาลุงซง

ตอนที่77 ตาลุงซง

เนื่องจากทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว ฉีเล่ยจึงตัดสินใจวางหนังสือเล่มนั้นลง และเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า

“ผมสงสัยว่าอาจารย์ซงเคยอ่านพวกหนังสือปรัชญามาก่อนรึเปล่าครับ? ตามที่นีทเชอ[1]กล่าวไว้ว่า นิยามของคำว่าความรัก มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับอายุ,พรมแดนหรือแม้แต่เพศ”

ทุกคนที่กำลังสนทนาอย่างสนุกสนาน แต่กลับไม่คิดเลยว่าจู่ๆฉีเล่ยจะกล่าวแทรกขึ้นมาแบบนี้แถมยังออกตัวเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจน เป็นนผลมาให้อาจารย์ทุกคนในห้องต่างจับจ้องมาทางเขาด้วยความประหลาดใจยิ่ง

ในสายตาของพวกเขาเหล่านี้ ฉีเล่ยเป็นอาจารย์หน้าใหม่ที่เพิ่งมาทำงาน ตามกฎทางสังคมแล้ว พวกหน้าใหม่ไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นใดๆทั้งสิ้น มีหน้าที่เพียงแค่หุบปากและรับฟังไปเฉยๆ โดยไม่ว่าเจ้าตัวจะพอใจหรือไม่ก็ตาม

สำหรับกรณีของฉีเล่ยเรียกว่า พวกอยู่ไม่เป็น

พูดตามตรงๆก็คือโลกสวยเกินไป เข้ากับสังคมคนหมู่มากไม่ได้

มีอาจารย์คนหนึ่งที่ดูท่าจะใจดีไม่น้อย แอบขยิบตาส่งสัญญาณให้ฉีเล่ยหยุดสร้างปัญหา เพราะอาจารย์ทุกคนในห้องพักอาจารย์ทราบดีว่า ใครก็ตามที่กล้ามีเรื่องกับตาลุงซงล้วนจบไม่สวย

ในเมื่อคุณเป็นผู้มาใหม่ก็ควรปฏิบัติตนในฐานะผู้มาใหม่เช่นกัน

ตามที่คาดไว้ คล้อยหลังได้ยินคำพูดของฉีเล่ย สีหน้าของตาลุงซงพลันมืดทมิฬลงทันใด เขาจ้องตาเขม็งใส่กล่าวเย้ยเยาะขึ้นว่า

“เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ? นิยามของความรัก?”

“ผมบอกว่านิยามของความรักไม่ได้เกี่ยวข้องกับอายุ,พรมแดนหรือแม้แต่เพศ นี่เป็นคำกล่าวของนีทเชอบนหน้าหนังสือปรัชญาชื่อดังขณะที่สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยเซาท์แทมป์ตัน ช่างมันเถอะครับ รู้สึกว่าหนังสือปรัชญาดังกล่าวมันมีแต่ฉบับภาษาอังกฤษ อาจารย์ซงไม่น่าจะรู้จัก”

ใครก็ตามที่ได้ยินประโยคคำกล่าวนี้ของเขาย่อมเข้าใจได้โดยธรรมชาติว่า ฉีเล่ยกำลังเปรียบอาจารย์ซงเป็นดั่งการเล่นพิณให้วัวฟัง

ในมุมมองของอาจารย์ซง คำพูดนี้ของฉีเล่ยยิ่งกว่าคมมีดปักเข้ากลางขั้วหัวใจเสียอีก

คนรุ่นเขาจะไปรู้เรื่องอะไร? ภาษาอังกฤษอ่านออกรึเปล่าก็ยังไม่รู้? ในยุคที่ยังหนุ่มคงโดนพ่อแม่ของทั้งฝ่ายหญิงฝ่ายชายจับคลุมถุงชนให้แต่งงานกันอยู่เลยมั้ง? แค่มองหน้ากันก็เขินจนทำอะไรไม่ถูก เพียงจับมือถือว่าเสียผีอะไรแบบนั้น

กล่าวได้ว่า ในมุมมองเรื่องความรักของคนรุ่นอาจารย์ซงค่อนข้างล้าหลังมาก

ภรรยาของอาจารย์ซงก็ไม่ได้จัดว่าสวยอะไรเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเงินเดือนของเขาเพิ่มมากขึ้น เขาก็ยิ่งอยากหอบเงินก้อนนี้หนีให้พ้นจากมนุษย์เมียให้ไกลที่สุด

โดยปกติแล้ว อาจารย์ซงมักจะใช้เวลาโดยส่วนใหญ่อยู่กับมหาวิทยาลัย แม้จะส่งเงินให้ภรรยาประจำทุกเดือน แต่เขาก็แทบจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องชีวิตครอบครัวเลย เขาปล่อยให้ภรรยาของตนเป็นแม่บ้านเต็มตัว ทั้งเรื่องอาหาร ซักผ้า ทำความสะอาดบ้าน หรือแม้แต่เลี้ยงลูกๆหลานๆก็ตาม

ดังนั้น หากจะบอกว่าเขาเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับความรักแค่ไหน ก็แทบตอบได้ทันทีว่าเป็นศูนย์

และเพียงเพราะเขาไม่เข้าใจทั้งเรื่องความรักทั้งไม่ยอมเปิดรับวัฒนธรรมชาวตะวันตก แม้แต่ภาษาอังกษยังไม่คิดที่จะแตะต้อง ประโยคคำกล่าวนี้ของฉีเล่ยจึงยิ่งเจาะทะลวงขั้วหัวใจเขาสาหัสยิ่งขึ้นไปอีก

ปัง!

อาจารย์ซงยกฝ่ามือตบโต๊ะเสียงดังลั่น

“ใครบอกว่าฉันไม่เข้าใจ! ฉันนี่นะ อาบน้ำร้อนมาก่อนเธอไม่รู้เท่าไหร่! เด็กๆอย่างเธอจะไปรู้อะไร!!”

ฉีเล่ยขมวดคิ้วใส่

ถ้าจะให้บอกว่าเขารังเกียจคนประเภทไหนที่สุด คงนิยมสรุปได้ว่า คนที่ในหัวคิดแต่เรื่องต่ำทราม และใช้ความอาวุโสเข้าข่มเหงอวดเก่ง เพียงเพราะอายุมากกว่า ทั้งๆที่ในความเป็นจริงกลับไม่มีอะไรเลย ซึ่งน่าเสียดายนักที่คนทั้งสองประเภทที่กล่าวมาข้างต้นดันสอนอยู่ในมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งแห่งนี้ด้วย

ฉีเล่ยเอนหลังพิงเบาะนั่งอย่างสบายอารมณ์ แถมยังยื่นมือไปเปิดหน้าต่างให้ลมถ่ายเทเข้ามา พลางตอบไปว่า

“อาบน้ำร้อนมันไม่ดีนะครับ เดี๋ยวผิวแห้ง”

“นี่เธอยังจะเถียงอีกเหรอ! ไอ้เด็กเหลือขอ! ไอ้…ไอ้สารเลว! กล้าข้ามหัวผู้ใหญ่งั้นเหรอ?! นิสัยแย่มาก! เด็กเหลือขออย่างเธอเข้ามาสอนที่นี่ได้ยังไง? มารยาทน่ะรู้จักไหม!?”

อาจารย์ซงดูกระวนกระวายอย่างมากราวกับมดน้อยในกระทะร้อน จนเส้นประสาทปูดโปนขึ้นตามหน้าผาก ทั้งยังชี้หน้าโวยวายฉีเล่ยไม่หยุดไม่หย่อนเสมือนหมาบ้า

ฉีเล่ยยักไหล่อย่างไม่แยแส

“ผมยังไม่ได้เถียงอะไรเลยสักคำนะครับ”

“นี่เธอ! ยังจะเถียงอยู่อีก! ฉันไม่เสียเวลาเถียงกับเธอแล้ว! ฉันจะไปรายงานเรื่องนี้ให้หัวหน้าคณะอาจารย์กัวฟัง! อยากจะรู้เหลือเกินว่า เขาปล่อยให้ไอ้เด็กเหลือขออย่างเธอเข้ามาสอนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ยังไง!”

ที่ผ่านมา อาจารย์ซงล้วนถูกเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องเอ่ยปากยกย่องชื่นชมมาโดยตลอด แล้วมีหรือที่จะทนให้ฉีเล่ยถอนหงอกได้แบบนี้? ในอดีตเคยมีอาจารย์หนุ่มสาวที่หัวรั้นแบบฉีเล่ยเช่นกัน แต่พอโดนเขาขึ้นเสียงหรือทุบโต๊ะใส่ สุดท้ายก็ได้แต่ก้มหน้าคอตกกันไปหมด

ไม่ว่าจะในกรณีใด แม้ว่าคำพูดของอาจารย์หนุ่มสาวเหล่านั้นจะถูกต้องแค่ไหนก็ตาม แต่เมื่อโดนคำว่า ข้ามหัวผู้ใหญ่ ล้วนต้องยอมจำนนโดยปริยาย และอาศัยที่อาจารย์ซงเป็นอาวุโสของที่นี่ ทุกครั้งที่เกิดเรื่อง เขามักจะเอาไปฟ้องหัวหน้าคณะอาจารย์กัวโดยตรง!

“เห้อออ…เป็นรุ่นน้องนี่ก็เหนื่อยนะครับ แค่ผมอยากออกความเห็นที่แตกต่างเท่านั้น ถึงกับต้องโดนรายงานเป็นเรื่องใหญ่โต หรืออาจารย์ซงอยากให้ทุกคนปากเสียแบบคุณเหรอครับ?”

ปลายคิ้วของฉีเล่ยกระตุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเบะปากใส่

“คิดว่า เกิดก่อนจะต้องเก่งกว่าคนอื่นเสมอไปเหรอครับ? ตรรกะของอาจารย์ซงค่อนข้างบิดเบี้ยวไม่น้อยเลยนะครับ แต่เอาเถอะ อย่างที่คนอื่นพูดกันว่า ไม้แก่ดัดยาก ต่อให้ผมอธิบายไปสักเท่าไหร่คุณคงไม่เข้าใจ เอาเป็นว่าผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่หักหน้า”

ประโยคนี้เป็นคำขอโทษอย่างชัดแจ้ง แต่ความหมายในคำกล่าวที่ว่ากลับไม่ได้หมายถึงการขอโทษกันเลยสักนิด น้ำเสียงของฉีเล่ยไม่เพียงจะไร้ซึ่งความสำนึกใดๆ แต่ยังดูไม่แยแสเลยสักนิด ดูยังไงก็เป็นการเสียดสีประชดประชันมากกว่า

แต่ใครสั่งให้เขามานินทาหลี่ถงซีลับหลังล่ะ?

ถ้ารู้ว่าคนอื่นแอบนินทาคุณลับหลังบ้างจะรู้สึกยังไง?

สีหน้าของอาจารย์ซงบิดเบี้ยวน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม เสมือนกับในปากของเขาอมแมลงวันเน่าประมาณกิโลหนึ่งอยู่ เหลือบมองฉีเล่ยเจือแววอาฆาตอยู่หลายส่วน โดยไม่แม้แต่เหลียวมองใครใดๆอีก เขามุ่งหน้าตรงไปยังห้องทำงานของหัวหน้าคณะอาจารย์กัวทันที

“นายเสร็จแน่”

อาจารย์ร่างอ้วนท้วมขยับแว่นของตนเล็กน้อย และกล่าวต่อว่า

“ภรรยาของหัวหน้าคณะอาจารย์กัวเป็นลูกพี่ลูกน้องกับอาวุโสซง ก็เลยไม่มีใครกล้าทำอะไรเขา แต่นายนี่สิ เพิ่งมาใหม่วันนี้วันแรกแท้ๆ ทำไมถึงไปหาเรื่องใส่ตัวแบบนี้? นายก็ควรรู้นะ อาจารย์วิชาการวินิจฉัยเคยโดนไล่ออกไปสองคนแล้ว”

“สองคนนั่นโดนไล่ออกเพราะว่าอาจารย์ซงเหรอครับ?”

ฉีเล่ยเอ่ยถาม

“เปล่า เปล่า สองคนนั้นโดนนักศึกษาไล่”

อาจารย์ร่างอ้วนท้วมกล่าวตอบ

“ครับ ตราบใดที่พวกนักศึกษาไม่ไล่ผมออก ก็ไม่มีใครไล่ผมออกได้เช่นกัน”

อาจารย์ร่างอ้วนท้วมหมุนเก้าอี้มองมาทางเขาพลางส่ายหัวใส่

“นายยังไร้เดียงสาเกินไป นอกจากปัจจัยที่เกิดขึ้นจากตัวเราแล้ว ในสังคมการทำงานยังมีปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้อยู่อีกมากมาย ดูจากอายุแล้ว…นายน่าจะเพิ่งเรียนจบสดๆร้อนๆเลยใช่ไหม? อืม อืม…สามารถเข้ามาสอนที่นี่ได้ตั้งแต่อายุแค่นี้ นับว่านายเป็นคนที่มีความสามารถมากเลยนะ ดังนั้นถือซะว่าการมาสอนที่นี่เป็นบทเรียนก็แล้วกัน หลังจากย้ายไปสอนที่อื่นแล้วก็จำเอาไว้ล่ะ ต้องใส่ใจกับสังคมการทำงานด้วย”

ฉีเล่ยไม่ได้เอ่ยตอบใดๆทั้งสิ้น เพียงยิ้มและพยักหน้าตอบอีกฝ่ายไป

อาจารย์ซงหายตัวไปนานมาก บรรยากาศภายในห้องพักอาจารย์เงียบจนผิดปกติ ทุกคนกำลังรอพายุลูกใหญ่ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า และพวกเขาทั้งหมดล้วนคิดว่า ชะตากรรมของฉีเล่ยถึงฆาตแล้ว

อย่างไรก็ตาม ฉีเล่ยไม่แม้แต่สนใจเลยสักนิด ในแง่ความของความสัมพันธ์ เบื้องหลังของเขามีทั้งคณบดีหลี่และหัวหน้าภาคหลินคอยสนับสนุนอยู่ ไม่ว่าหัวหน้าคณะอาจารย์ซีจะอายุเท่าไหร่ แต่ตำแหน่งที่ขึ้นต้นหน้าชื่อของเขายังเป็นแค่‘หัวหน้าคณะอาจารย์’เท่านั้น ซึ่งตัวเองเองก็ได้รับจดหมายแนะนำเป็นการส่วนตัวจากหลินหมิงซาง เขาน่าจะรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร

ฉีเล่ยที่ยังไม่เห็นว่าตาลุงนั่นยังไม่กลับมาสักที เขาก็คาดคะเนได้ทันทีว่า อีกฝ่ายคงมีปากเสียงกับหัวหน้าคณะอาจารย์ซีเพราะไม่ยอมรับฟังคำขอของตน ตอนนี้คงละอายใจเกินกว่าจะมีหน้ากลับมาในห้องพักอาจารย์  หรือไม่ก็คงหนีกลับบ้านไปแล้ว

สำหรับผลลัพธ์ดังกล่าว มันทำให้ฉีเล่ยพึงพอใจอย่างยิ่ง

ไม่มีศัตรูตั้งแต่แรกเห็น นอกเสียจากคุณจะต้องเคยไปทำอะไรขัดแย้งกับเขาเสียก่อน สำหรับเรื่องนี้ก็เช่นกัน

ขณะเดียวกันนั้นเอง สายตาของบรรดาอาจารย์ที่เหลือในห้องต่างจับจ้องไปที่ฉีเล่ย ก่อนจะเริ่มจับกลุ่มกระซิบกระซากกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันส์

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset