ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 78 แค่พิการพอ

ตอนที่78 แค่พิการพอ

จบคาบสอนประมาณบ่ายกว่า ฉีเล่ยเดินทางออกจากตัวอาคารสาขาแพทย์แผนจีนและมุ่งหน้าไปยังที่จอดรถใต้อาคารสาขาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันทันที จากระยะไกลเขาสามารถมองเห็นได้ทันทีว่า หลี่ถงซีกำลังนั่งรอเขาอยู่ในรถแล้ว

ในเวลานี้เป็นช่วงที่เปลี่ยนถ่ายคาบระหว่างนักศึกษาเซตเช้าและเซตบ่าย ท่ามกลางฝูงชนที่พลุกพล่าน ยิ่งฉีเล่ยเดินเข้าใกล้รถของหลี่ถงซีมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกถึงสายตาไม่เป็นมิตรมากเท่านั้น แถมในบรรดากลุ่มคนที่มุงดูยังมีคนหนึ่งหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเขาอีก

ดูเหมือนว่า‘ข่าวของหลี่ถงซี’จะกระจายไปทั่วอาคารสาขาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันแล้วจริงๆ

ฉีเล่ยเปิดประตูขึ้นรถ คลี่ยิ้มขื่นขึ้นทันที

“รีบไปเถอะ ถ้ายังไม่ออกรถตอนนี้ มีหวังผมคงโดนลูกศิษย์ที่รักคุณนักรักคุณหนาฆ่าทิ้งเอา”

“น่าเบื่อ”

หลี่ถงซีเหลือบสายตาจับจ้องนักศึกษากลุ่มนั้นที่กำลังแอบถ่ายรูปตนทั้งคู่ สบถไปทีหนึ่งก่อนจะเข้าเกียร์เหยียบคันเร่งแล่นออกจากมหาวิทยาลัยทันที

“ปกติคุณไม่ชอบกินข้าวที่มหาวิทยาลัยเหรอ?”

บนรถBMW ฉีเล่ยเอ่ยถามหลี่ถงซีขึ้น เขาได้ยินจากหัวหน้าคณะอาจารย์ซีว่า ภายในมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีโรงอาหารสำหรับอาจารย์โดยเฉพาะ ถ้าอาจารย์คนใดไม่สะดวกออกไปทานข้างนอกหรือมีงานค้างคา ก็สามารถเข้ามาทานที่โรงอาหารได้ตลอด

หลี่ถงซีพยักหน้าตอบ

“อืม”

ฉีเล่ยเอ่ยถามต่อว่า

“แล้วทำไมข่าวลือนี้ยังไม่หยุดกันอีก? ผมเป็นอาจารย์ ดังนั้นคุณช่วยไปอธิบายกับทุกคนไม่ได้เหรอครับว่า ผมไม่ใช่นักศึกษา?”

หลี่ถงซีกล่าวตอบน้ำเสียงเย็นชาว่า

“มันยุ่งยาก ไม่จำเป็น”

“ปวดหัวเลย”

ฉีเล่ยยกมือนวดขมับเล็กน้อยพลางสบถกับตัวเองเบาๆ

เดิมทีเขาคิดว่าเธอจะขับรถกลับไปยังบ้านสกุลหลี่โดยตรง แต่พอเห็นเส้นทางที่ดูแปลกตาไปกลับทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย หลี่ถงซีเลี้ยวเข้าถนนหลักมุ่งหน้าไปห้างสรรพสินค้า

ฉีเล่ยกวาดสายตามองท้องถนนและเอ่ยถามขึ้นว่า

“จะไปทานอาหารในห้างเหรอครับ?”

หลี่ถงซีส่ายหัว

“ฉันอยากซื้อมือถือ”

“ซื้อมือถือ? อยากเปลี่ยนมือถือใหม่เหรอครับ?”

“….”

หลี่ถงซีชะงักชะงันอยู่นาน เธอพยายามบังคับปากเอ่ยตอบไปเพียงสองคำว่า

“ของนาย”

ฉีเล่ยล้วงกระเป๋ากางเกงพลันหยิบมือถือเครื่องเก่าอย่างโนเกียขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว นี่ก็…แปดปีแล้วสินะ? ตอนที่เขาแต่งงาน…แล้วเข้ามาบ้านสกุลเฉิน เขาก็พยายามเก็บเล็กผสมน้อยมาโดยตลอดเพื่อซื้อโทรศัพท์โนเกียเครื่องนี้ และชีวิตที่ต้องอยู่ภายใต้ความทุกข์ทรมานมาแบบนั้น ทำให้เขาไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนมือถืออีกเลย

คิดไม่ถึงจริงๆว่า หลี่ถงซีจะสังเกตเห็นด้วยว่า มือถือเครื่องปัจจุบันที่ฉีเล่ยใช้อยู่จะเก่ามาก ถึงต้องการซื้อเครื่องใหม่ให้แบบนี้

เอาใจใส่ดีแหะ

หลี่ถงซีพาฉีเล่ยมายังแอปเปิ้ลสโตร์ทันที เดินเข้าไปที่หน้าเคาน์เตอร์และบอกพนักงานขายไปว่า

“ขอรุ่นล่าสุดมาเลย หน่วยความจำก็เอาแบบมากที่สุดเหมือนกัน”

“ได้ค่ะ กรุณารอสักครู่นะคะ”

พนักงานขายพยักหน้าตอบอย่างสุภาพและไปหยิบไอโฟนรุ่นX MAXออกมาให้หลี่ถงซี

เมื่อรับมือถือเครื่องดังกล่าวมาแล้ว เธอก็ส่งให้ฉีเล่ย

“ลองดู”

ฉีเล่ยรับเครื่องมาจับๆถือๆสักพักก่อนพยักหน้ากล่าวเสริมขึ้นว่า

“ครั้งนี้ผมจ่ายเอง”

คราวที่แล้วอีกฝ่ายซื้อเสื้อผ้าให้ยกชุด ถ้าครั้งนี้เธอยังจะซื้อมือถือให้อีก ฉีเล่ยก็หน้าด้านเกินทนแล้ว

การที่ใครสักคนแอบนินทาเขาว่า‘เกาะผู้หญิงกิน’ มันคงเป็นเรื่องที่ไม่น่าฟังอย่างยิ่ง

หลี่ถงซีไม่ได้ปริปากตอบใดๆทั้งสิ้น แต่ชี้ให้ฉีเล่ยลองกดเปิดเครื่องดูว่าเครื่องไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม

ฉีเล่ยพยักหน้าก่อนพลิกไอโฟนเครื่องนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า พยายามกดสองสามปุ่มบริเวณเครื่อง แต่กดยังไงก็ไม่ติดสักที แถมจู่ๆยังเอ่ยถามขึ้นมาอีกว่า

“โทรศัพท์รุ่นนี้ไม่มีแบตเตอรี่เหรอครับ?”

พนักงานสาวคนหนึ่งถึงกับหน้าแดงระเรื่อทันทีด้วยความประหม่า กลั้นขำเล็กน้อย เธอยิ้มตอบไปว่า

“คุณผู้ชายค่ะ ปุ่มเปิดปิดจะอยู่ด้านบนค่ะ ส่วนปุ่มที่คุณผู้ชายกดเมื่อครู่คือปุ่มปรับลดเสียงค่ะ และเนื่องจากไอโฟนใช้เทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน จึงถูกฝังอยู่ภายในตัวเครื่องแล้วค่ะ”

“โอ้…”

ฉีเล่ยดูค่อนข้างทึ่งเล็กน้อย

“นี่เป็นครั้งแรกเลยครับที่ได้ลองใช้มือถือที่ไม่มีปุ่ม เครื่องเก่าของผมนี่ปุ่มเยอะแยะเต็มไปหมด”

“ก็นั่นมันโนเกีย นี่มันไอโฟน”

หลี่ถงซีกล่าวตอบโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ

ฉีเล่ยทราบดี ยิ่งเขาพูดมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งดูน่าอายมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่เอ่ยถามอะไรอีกต่อไป เขาลองเปิดไอโฟนขึ้นมาและศึกษาระบบการใช้งานเบื้องต้นอยู่สักพักใหญ่ แล้วเตรียมที่จะจ่ายเงิน

หลี่ถงซีรีบวิ่งตัดหน้าฉีเล่ยและยื่นบัตรเครดิตให้ทางพนักงานสาวคนนั้นทันที

“ผมมีเงิน จ่ายเองได้ครับ”

ฉีเล่ยรีบยื่นมืออกมาห้ามหญิงสาวไว้

“ฉันรู้”

หลี่ถงซีสะบัดแขนอีกฝ่ายออก

“…”

ในท้ายที่สุดนี้ หลี่ถงซีก็เป็นฝ่ายซื้อให้อีกครั้ง เมื่อเห็นเธอเซ็นใบเสร็จเรียกเก็บเงิน ฉีเล่ยก็หัวเราะน้ำเสียงดูขมขื่นใจอย่างมาก

“ทำไมฉันรู้สึกเหมือนโดนจำกัดอิสระภาพเลย?”

หลังออกจากร้านมาแล้ว ทั้งสองก็เดินตามเส้นทางไปยังโซนอาหาร หาอะไรอร่อยๆกินกัน

ผ่านบริเวณทางเข้าใหญ่ของห้าง ขณะนี้มีกลุ่มคนหนุ่มสาวในชุดแฟชั่นกำลังเต้นโคฟเวอร์อยู่บนเวที ทั้งจังหวะเพลงและลีลาการออกสเต็ปของพวกเขาได้ดึงดูดความสนใจของวัยรุ่นแถวนั้นเป็นอย่างมาก ถึงขั้นจับกลุ่มกรีดร้องให้กำลังใจกันไม่หยุด บางคนหยิบมือถือออกมาถ่ายคลิปวิดีโอไว้

เมื่อฉีเล่ยกับหลี่ถงซีเดินผ่านตรงนั้นไป ก็มีชายหนุ่มคนหนุึ่งหันขวับมองตามในทันควัน หรี่ตาแคบจ้องสังเกตพวกเขาอย่างรวดเร็ว

ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากโห่วเจียน นักศึกษาหนุ่มที่เดินออกจากคลาสเรียนของฉีเล่ยไปในช่วงเช้า

“เห้ยพวกเรา หยุดก่อน! หยุดก่อน! เห็นไอ้หมอนั่นไหม? มันนี่แหละเป็นอาจารย์บัดซบที่ฉันเคยเล่าให้ฟัง! ไปสั่งสอนมันกันหน่อยดีกว่า!”

ตั้งแต่สมัยมัธยมต้นได้แล้ว เขามักจะโดดเรียนอยู่บ่อยครั้ง ตามรุ่นพี่ประมาณสามสี่คนไปซ้อมเต้นกันตามท้องถนน ทั้งยังรับสมัครนักเต้นมาเพิ่มอีกมากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตัวเขาเองประสบความสำเร็จมาไม่น้อยกับเรื่องการเต้น ทุกครั้งที่ทางโรงเรียนจัดกิจกรรมส่งเสริมกีฬาและศิลปะ เขามักจะอาสาขึ้นบนเวทีและแสดงทักษะการเต้นออกมาอย่างเปิดเผย

โห่วเจียนเป็นคนที่มีอิทธิพลอย่างมากในโรงเรียนช่วงมัธยมปลาย อาศัยท่าเต้นการออกสเต็ปสุดคล่องแคล่ว ทำให้เขาสามารถขโมยหัวใจของพวกสาวๆได้ไม่น้อยเลย

แต่ใช่ว่าความสามารถในการเต้นของเขาจะตีเป็นคะแนนสอบได้ โห่วเจียนเป็นนักเรียนที่มีพรรสวรรค์ด้านการเต้นการแสดง ดูยังไงก็ไม่มีทางสอบเข้ามหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งมาได้เลย

อย่างไรก็ตาม ดั่งแบรนด์กีฬาที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งยุคอย่าง หลี่หนิง มีสโลแกนประจำแบรนด์ว่า ‘อะไรก็เกิดขึ้นได้’

คนจีนมักคิดเสมอว่า เงินสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างบนโลกได้ แต่ถ้ามองในความเป็นจริง มันกลับไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย โห่วเจียนมีพ่อที่ร่ำรวยทั้งยังทรงอำนาจ เขาไม่มีความสามารถมากพอที่จะเข้ามหาวิทยาลัยไหนได้เลย แต่ด้วยอำนาจของเงินตรา แม้แต่มหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าไป แต่ใช่ว่าเข้าไปแล้วจะสามารถจบออกมาได้ เพราะแบบนี้เอง จึงกล่าวได้ว่า ท้ายที่สุดแล้ว เงินก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้เลย

โห่วเจียนเป็นเด็กเหลือขอ ถูกตามใจตั้งแต่เด็กประหนึ่งคุณชาย และยอมไม่ได้แน่นอนถ้าถูกทำให้อับอายโดยคนอื่น พอถูกฉีเล่ยทำให้เขากลายมาเป็นตัวตลกของทั้งคลาสเรียน สิ่งแรกที่อยู่ในหัวของเขาเลยก็คือ การแก้แค้น

นี่จะเห็นได้ว่า การเลี้ยงดูที่ดีมันสำคัญต่อเยาวชนขนาดไหน?

โห่วเจียนเพิ่งเล่าเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นให้เพื่อนพ้องนักเต้นได้ฟัง แล้วบังเอิญเหลือเกินที่ฉีเล่ยเดินผ่านหน้าไปพอดี

เขารีบตะโกนให้ทุกคนหยุดเต้นและเข้ามารวตัวฟังทางนี้

“พี่โห่วมีอะไรครับ?”

“เออไอ้โห่วมีเรื่องวะ เห็นไอ้หมอนั่นไหม? เดี๋ยวพวกเราต้องไปรุมกระทืบมัน”

“ไหน? คนไหนที่จะให้ผมจัดการครับ?”

โห่วเจียนชี้ไปที่แผ่นหลังของฉีเล่ยและกล่าวว่า

“ไอ้คนที่เดินกับผู้หญิง ใส่สูทสีน้ำเงิน!”

“โอ้โห…สาวข้างๆหมอนั่นโคตรแจ่มเลยวะ สงสัยเธอจะหลงทางต้องพาไปส่งถึงบ้านสักหน่อยแล้ว หึหึ!”

โห่วเจียนหัวเราะ

“แกรู้ไหมว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร?”

“ใครเหรอ?”

ชายผมเหลืองเอ่ยถามขึ้น

“เทพธิดาน้ำแข็งประจำมหาวิทยาลัยฉันเอง หลังจากสั่งสอนหมอนั่นเสร็จ ทำไมไม่เอาเธอไปนอนด้วยสักคืนล่ะ?”

“เชี่ย! ฉันฟันผู้หญิงมาก็เยอะนะ แต่ยังไม่เคยลองอาจารย์เลยว่ะ! ได้เลยพี่โห่ว! พวกเราไปกันเถอะ!”

พอกล่าวจบ กลุ่มนักเต้นก็พุ่งออกไปทันที

“เออ อย่าเอาถึงตายล่ะ แค่พิการก็พอ”

ตะโกนไล่หลังพวกนั้นพร้อมคลี่ยิ้มด้วยความพึงพอใจ

เอาตายงั้นเหรอ? ถ้าเอาให้ตายกันไปข้างจะไปสนุกอะไร? หักแขนหักขาให้มันพิการดีกว่า จะได้ใช้ชีวิตที่เหลือจมอยู่กับความทุกข์ทรมานและความอัปยศ!

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset